การอุบัติและการจุติของชาวสวรรค์


[ 21 พ.ค. 2554 ] - [ 18265 ] LINE it!

ตายแล้วไปไหน
ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร
 
การอุบัติและการจุติของชาวสวรรค์
 
มนุษย์ที่ทำบุญกุศลไว้มาก ครั้นละโลกแล้วได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ
ทวยเทพบนสวรรค์ชั้นต่างๆ เกิดแบบโอปปาติกะคือเกิดแล้วโตทันที
 
     เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ บุคคลผู้ทำกุศลกรรมสมควรไว้ ครั้นเมื่อละโลกแล้ว ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ ตามกำลังแห่งบุญของตน ตามปกติแล้วเหล่าทวยเทพจะเกิดแบบโอปปาติกะ คือ เมื่อเกิดปุ๊บก็โตทันที ไม่มีกำเนิดอย่างอื่น ยกเว้นสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เทพบุตรจะมีวัยงามในช่วงอายุราว 18-20 ปี ส่วนเทพธิดาจะมีวัยงามในช่วงอายุราว 16-18 ปี มีวัยหนุ่ม วัยสาว งดงามตลอดเวลา ไม่มีวันร่วงโรยรา ไม่มีความแก่ ฟันไม่หัก ผมไม่หงอก เหมือนมนุษย์ เมื่อบังเกิดขึ้นแล้ว ร่างกายจะมีผิวพรรณวรรณะที่เปล่งปลั่ง มีแผ่รัศมีสว่างไสวคลุมกาย เป็นปริมณฑลทรงกลม บางตนมีรัศมี 10 วา บางตน 1 โยชน์ บางตน 2 โยชน์ จนถึง 12 โยชน์ก็มี ตามกำลังบุญที่ตนได้สั่งสมไว้
 
วิมานทวยเทพล้วนวิจิตรงดงามอลังการตามกำลังบุญที่เคยกระทำไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์
เหล่าทวยเทพบนสรวงสวรรค์ไม่ต้องทำมาหากิน
กิจกรรมแต่ละวันก็เที่ยวเพลิดเพลินกับการชมสวน สังสรรค์ระหว่างทวยเทพทั้งหลาย
 
     วิมานปราสาทอันเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าทวยเทพ ล้วนมีความวิจิตรงดงาม ใหญ่โตโอฬาร ประดับตกแต่งด้วยรัตนชาติอันอลังการ มีขนาดแตกต่างกัน มีข้าวของเครื่องใช้ล้วนประกอบด้วยความประณีต มีความเป็นอยู่ที่แสนจะสุขสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิดขึ้น โดยไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องหุงหาอาหาร มีบริวาร คอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าอันเป็นทิพย์ก็มีความวิจิตรงดงาม ไม่ต้องตัด ไม่ต้องซัก บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ อยากจะเปลี่ยนชุดไหนอย่างไรก็ได้เพียงจิตปรารถนาสิ่งใดความสำเร็จก็เกิดขึ้น โดยพลัน กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย บรรยากาศสิ่ง แวดล้อมของชาวสวรรค์จะเป็นฤดูที่สบาย ไม่มีฤดูร้อน ไม่มีฤดูหนาว ไม่มีฤดูฝน นับว่าเป็นดินแดนอันแสนสุขอีกภูมิหนึ่ง
 
     แม้ชาวสวรรค์จะมีความสุขสบายถึงเพียงนี้ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีความทุกข์อยู่เช่นกัน เพราะดินแดนที่ปราศจากความทุกข์มีอยู่เพียงแห่งเดียว คือ พระนิพพาน ตราบใดที่กิเลสยังไม่หมดจากใจ ตราบนั้น ความทุกข์ก็ย่อมรุมเร้าเผาจิตใจให้เศร้าหมองอยู่ร่ำไป ชาวสวรรค์ก็เป็นผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส ยังมีกิเลสตัณหาครอบงำจิตอยู่เหมือนกัน แต่เป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าของชาวโลกทั่วไป แม้ไม่มีการเจ็บป่วย แก่เฒ่าชรา แต่ชาวสวรรค์ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงจากความตาย หรือเรียกว่า จุติ ได้เช่นกัน เพียงแต่ความตายของชาวสวรรค์ไม่ต้องทุกข์ทรมานเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงความตายของเหล่าทวยเทพ จะมีลางบอกเหตุ ที่เรียกว่าบุพนิมิตที่จะทำให้จุติจากสวรรค์ มีอยู่ 5 ประการ ดังที่มีกล่าวไว้ใน จวมานสูตร2 ว่า
 
นิมิต 5 ประการของทวยเทพก่อนจะจุติ
นิมิต 5 ประการจะเกิดกับเทวดาผู้ที่จะต้องจุติจากเทพนิกาย
ส่วนจะไปที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับบุญบาปที่ตนสั่งสมไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์
 
     “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เทวดาเป็นผู้จะต้องจุติจากเทพนิกาย เมื่อนั้น นิมิต 5 ประการ ย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง 1 ผ้าย่อมเศร้าหมอง 1 เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ 1 ผิวพรรณเศร้าหมอง ย่อมปรากฏที่กาย 1 เทวดาย่อมไม่ยินดีในทิพอาสน์ของตน 1”
 
     จากพระสูตรนี้ เวลานิมิตปรากฏ เริ่มตั้งแต่ดอกไม้ที่เทพบุตรเทพธิดาประดับนั้น จะเหี่ยวแห้งลง คือ หมดความงดงาม เหมือนทิ้งไว้กลางแดดให้เหี่ยวแห้งฉะนั้น ต่อมาภูษาทิพย์ที่เทพบุตรเทพธิดานุ่งห่มตามปกติ สีสันที่เคยสดใส ก็จะหม่นหมองลงเรื่อยๆ เมื่อเทพบุตรเทพธิดาเห็นความผิดปกติของภูษาทิพย์แล้วก็เกิดความสลดใจ ความทุกข์ระทมใจนี่เอง เป็นเหตุให้หยาดเหงื่อไหลออกจากรักแร้ทั้ง 2 ซึ่งปกติแล้วเทวดาจะไม่มีเหงื่อ เพราะสรีระกายของเขาจะสะอาดเกลี้ยงเกลา เหมือนแก้วมณีที่บริสุทธิ์โดยกำเนิด เมื่อหมดบุญไม่ใช่แค่เหงื่อไคลเท่านั้น แม้แต่เหงื่อกาฬก็จะไหลออกจากร่างกายอีกด้วย ร่างกายของเทพบุตร เทพธิดานั้นจะหนักอึ้ง ด้วยข่ายมุกดาที่ตนประดับ
 
     เมื่อนิมิตเริ่มบังเกิดขึ้น เทพบุตร เทพธิดาเห็นความเปลี่ยนแปลงในตน รัศมีกายจะค่อยๆ ลดลง เกิดความไม่ยินดีในเทวโลก หมดความชื่นชมในทิพยอาสน์ของตน เทพบุตรแม้เห็นเทพธิดาอยู่ล้อมรอบ ก็ไม่ยินดี คล้ายเวลาเจ็บป่วยไม่เห็นอะไรที่จะสวยงาม แม้มหรสพจะขับกล่อมไพเราะเพียงใดก็เบื่อหน่าย ไม่อยากดู ไม่อยากฟัง
 
     สำหรับเทพบุตรผู้มีบุญนั้น จุตินิมิตจะปรากฏให้รู้ตลอด 7 วันในเทวโลก เมื่อจุตินิมิตปรากฏชัดมากขึ้น เทพบุตร เทพธิดานั้น จะเกิดความโศกเข้าครอบงำจิตใจ เกิดความคิดกระวนกระวาย เพราะคิดว่า เราจะต้องจากสมบัติอันเป็นทิพย์นี้ไปเสียแล้ว เทพบางองค์ไม่สามารถระงับความทุกข์ได้จึงเที่ยวพร่ำเพ้อพิไรรำพัน บางองค์ตั้งสติได้แม้ไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา แต่ใจนั้นรุ่มร้อน ไม่สามารถอดกลั้นความทุกข์ไว้ได้ บุพนิมิตเหล่านี้จะมาปรากฏให้เห็นทั้งตนเอง และเทพเหล่าอื่นที่ได้เห็น ถ้าเป็นเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ จะหลบอยู่แต่ในวิมาน ไม่กล้าออกมาให้ใครเห็น เมื่อครบ 7 วันในเทวโลก เทวดาที่มีจุตินิมิตปรากฏก็จะดับวูบไปเลย ส่วนจะไปเกิดที่ไหนก็แล้วแต่บุญบาปที่ตนสั่งสมไว้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์
 
ลักษณะของสวนนันทวัน
ภายในสวนนันทวันที่เป็นอุทยานสวรรค์
เมื่อใกล้เวลาจุติเทวดาผู้รู้ตัวว่าจะต้องไปเกิดในภพภูมิที่สูงกว่าจะมาที่นี่เพื่อเตรียมตัวจุติ
 
     ส่วนเทพผู้มีบุญมาก ที่ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต เมื่อรู้ว่าตนจะสิ้นอายุขัย จะไม่หวั่นกลัวต่อ มรณภัย คือมีความพร้อมเสมอสำหรับการเกิดใหม่ เพราะเคยสั่งสมบุญ ให้ทาน รักษาศีลไว้ดีแล้ว เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เมื่ออยู่เทวโลกก็มิได้ประมาทเที่ยวเพลิดเพลินเหมือนอย่างเทพองค์อื่น และมีความมั่นใจว่า เมื่อจุติแล้วจะต้องไปเกิดในภูมิที่สูงขึ้น หรือเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลสูง มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อบุพนิมิตบังเกิดจะพากันไปสู่สวนนันทวัน ซึ่งเป็นอุทยานสวรรค์ มีแท่นจุติให้กับเหล่าเทพที่รู้ตัวว่าจะจุติ เหล่าเทพทั้งหลาย ที่ทราบข่าวก็จะพากันมาอวยพรให้บังเกิดในภูมิที่ดีมีสุข
 
     เรื่องราวของการอุบัติ และการจุติของเทวดา เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ที่มีเกิดและมีดับ เทวดาแม้จะสุขสบายเพียงไร แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันที่จะจุติ ละจากอัตภาพที่ตนดำรงอยู่เช่นกัน เทวดาทั้งหลายที่ยังตกอยู่ในความประมาท ไม่รู้เรื่องราวความจริงของชีวิตก็มาก หลงระเริงเพลิดสนุกสนานใน ทิพยสมบัติอันไม่จีรัง เมื่อวาระแห่งสุดท้ายของชีวิตมาถึง ย่อมเศร้าโศก พร่ำเพ้อพิไรรำพัน เรื่องนี้ก็เป็นแง่คิดที่ให้กับการดำรงชีวิตของเราท่านทั้งหลาย ไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท หมั่นสั่งสมความดีงาม ฝึกฝนตนเองไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานให้ได้
 
2)จวมานสูตร, ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ, มก. เล่ม 45 ข้อ 261 หน้า 501.
 
บทความที่เกี่ยวข้องกับการอุบัติและการจุติของชาวสวรรค์
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เรื่องของชาวสวรรค์เรื่องของชาวสวรรค์

บุพกรรมใดตายไปเป็นเปรตโครงกระดูกบุพกรรมใดตายไปเป็นเปรตโครงกระดูก

เปรตกินลูกตัวเอง และ เรื่องเล่าเปรตแม่น้ำโขงเปรตกินลูกตัวเอง และ เรื่องเล่าเปรตแม่น้ำโขง



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ตายแล้วไปไหน