ทุ สะ นะ โส


[ 13 ธ.ค. 2554 ] - [ 18274 ] LINE it!

ทุ สะ นะ โส
 
 
 
     วันคืนล่วงไปๆ สรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าเป็นต้นไม้ ใบหญ้า รถรา บ้านช่อง คน สัตว์ สิ่งของทั้งหมดเหล่านี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เหมือนดอกไม้ แต่เดิมเราเคยเห็นมันเป็นต้นเล็กๆ ไม่นานก็เจริญเติบโตขึ้น แตกใบแผ่กิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผล ให้ความสดชื่นแก่ทุกชีวิต แต่ไม่นานดอกไม้ที่ดูสวยสดงดงามนั้น ก็เหี่ยวแห้งร่วงโรยไปตามกาลเวลา ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมสลาย เราจึงไม่ควรประมาทในชีวิต
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า
 
                         “ยาทิสํ วปเต พีชํ        ตาทิสํ  ลภเต ผลํ
                          กลฺยาณการี กลฺยาณํ    ปาปการี จ ปาปกํ
 
     บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว”
 
     การกระทำใดๆ ในโลกนี้ ที่ไม่ให้ผลนั้นย่อมไม่มี ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วล้วนให้ผลทั้งสิ้น เหมือนใครหว่านพืชเช่นไร ต้องได้รับผลเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรรมที่ทำลงไปโดยมีเจตนามุ่งร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ เป็นกรรมที่ให้ผลร้ายแรง ผลกรรมจะตอบสนองกลับมาหาผู้ทำเองเหมือนการปาธุลีทวนลม ทำให้ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ละโลกแล้วต้องไปตกนรกหมกไหม้ ได้รับทุกข์ทรมานอีกยาวนาน เป็นแสนเป็นล้านปี
 
     * ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล วันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จออกเลียบพระนคร ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่งเปิดหน้าต่างมองดูขบวนเสด็จ ทันทีที่ได้เห็น ทรงมีพระทัยเสน่หาในหญิงนั้น จึงตรัสสั่งให้ราชบุรุษไปสืบดูว่า หญิงนั้นมีสามีหรือยัง ราชบุรุษสืบดูแล้วกราบทูลว่าหญิงนั้นมีสามีแล้ว แต่พระราชาไม่อาจหักห้ามพระทัยได้ จึงหาทางที่จะกำจัดสามีของนาง
 
     พระองค์มีรับสั่งให้สามีของหญิงนั้นมาเข้าเฝ้า แล้วให้ทำหน้าที่คอยรับใช้พระองค์ แม้เขาจะกราบทูลว่า ตัวเขาเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่รู้ขนบธรรมเนียมในวัง แต่พระราชายังทรงยืนยันตามพระราชประสงค์ของพระองค์ เขาจึงต้องทำตามพระราชประสงค์นั้น
 
     ต่อมา พระราชาทรงรับสั่งให้เขาไปนำเอาดินสีแดงและดอกอุบลสีแดงจากสระโบกขรณี ซึ่งอยู่ห่างจากพระนคร ๑ โยชน์ มาถวายพระองค์ให้ทันภายในวันนั้น ถ้ามาไม่ทันจะต้องได้รับโทษ พระราชาทรงมีรับสั่งกับนายประตูว่า วันนี้ให้รีบปิดประตูเมืองเร็วกว่าเดิม และห้ามเปิดให้ใครเข้าเด็ดขาด ฝ่ายบุรุษนั้น เมื่อได้ดินและดอกอุบลแล้วรีบกลับมา แต่ประตูเมืองได้ปิดลงเสียก่อน แม้จะขอร้องนายประตูอย่างไรก็ไม่ได้ผล เขารู้สึกเคว้งคว้าง เศร้าสลดใจ หมดที่พึ่ง จึงเข้าไปอาศัยนอนในวัดพระเชตวัน
 
     ในคืนนั้น พระราชาถูกความรุ่มร้อนเข้าครอบงำ ทรงกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดทรงเคลิ้มหลับไป แล้วทรงพระสุบิน คือฝันว่าได้ยินเสียงประหลาด ๔ คำว่า “ทุ สะ นะ โส”  เมื่อรุ่งเช้าพระองค์จึงตรัสเล่าความฝันให้ปุโรหิตฟัง ปุโรหิตแม้ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไร แต่ด้วยความโลภอยากได้เครื่องสักการะต่างๆ จึงกราบทูลว่า พระสุบินนี้เป็นลางร้าย จะมีอันตรายเกิดแก่พระองค์หรือราชสมบัติ  
 
     เมื่อพระราชารับสั่งให้หาทางแก้ไข ปุโรหิตจึงแบ่งพวกพราหมณ์ออกเป็น ๓ กลุ่ม ทยอยเข้าไปกราบทูลพระราชาเหมือนๆ กันว่า “พระองค์จะทรงพ้นจากภัยครั้งนี้ได้ จะต้องนำสิ่งมีชีวิตอย่างละ ๕๐๐ มาบูชายัญ” พระราชาฟังกลุ่มแรกกราบทูลแล้วทรงนิ่ง เมื่อกลุ่มแรกออกไปแล้ว กลุ่มที่ ๒ และกลุ่มที่ ๓ เข้าไปกราบทูลตามลำดับ โดยเนื้อความเดียวกัน ในที่สุดพระราชาก็ทรงเชื่อ มีรับสั่งให้พราหมณ์จัดเตรียมพิธีบูชายัญ พราหมณ์จึงให้นำสัตว์มีชีวิตต่างๆ มามากมาย จนเกิดเสียงอื้ออึงไปทั่ว  
 
     พระนางมัลลิกาอัครมเหสีทรงทราบเรื่อง จึงทรงกราบทูลพระราชาให้เสด็จมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระราชากราบทูลเรื่องที่ทรงพระสุบินถึงคำทั้ง ๔ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ความเสื่อมหรือความเจริญมิได้มีแก่มหาบพิตร แต่เสียงกล่าวคำนั้นเป็นเสียงของสัตว์นรก ๔ ตน” แล้วตรัสเล่าว่า
 
     ในอดีตกาล พระนครนี้มีบุตรเศรษฐี ๔ คน แม้มีทรัพย์สมบัติมากมาย ก็ไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ กลับเป็นผู้ประมาททำแต่บาปอกุศล ไม่ตั้งอยู่ในศีล ประพฤติผิดในภรรยาคนอื่น เมื่อละโลกแล้วได้ไปบังเกิดในโลหกุมภีนรก รับทุกข์ทรมานมานาน ๖๐,๐๐๐ ปี สัตว์นรก ๔ ตนนั้น เมื่อขึ้นมาถึงขอบปากโลหกุมภี แต่ละตนต่างปรารถนาจะบอกความในใจของตน จึงเปล่งคำพูดออกมา โดยสัตว์นรกตนแรกต้องการจะกล่าวว่า
 
     “พวกเราเมื่อมีโภคทรัพย์สมบัติอยู่ ไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้ทำที่พึ่งสำหรับตน จัดว่ามีชีวิตอยู่อย่างชั่วช้า” แต่กล่าวได้เพียงอักษรตัวแรกเป็นภาษาบาลีว่า “ทุ” เท่านั้น ก็ต้องจมลงไป  
 
     ตนที่ ๒ ต้องการจะกล่าวว่า “เราไหม้อยู่ในนรกตั้ง ๖๐,๐๐๐ ปีเต็ม  เมื่อไรจักสิ้นสุดกันเสียที” แต่กล่าวได้เพียงอักษรตัวแรกว่า “สะ” เท่านั้น ก็จมลงไป   
 
     ตนที่ ๓ ต้องการจะกล่าวว่า “ไม่มีสิ้นสุด จะสิ้นสุดได้แต่ที่ไหน ความสิ้นสุดไม่ปรากฏเลย พวกเราเอ๋ย ก็เพราะข้ากับเจ้าทำบาปกรรมไว้มากในครั้งนั้น” แต่กล่าวได้เพียงคำว่า “นะ” เท่านั้น ก็จมลงไปอีก  
 
     ตนที่ ๔ ต้องการจะกล่าวว่า “ถ้าเราพ้นไปจากโลหะกุมภีนรกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักให้ทาน รักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ จักสร้างกุศลไว้ให้มาก” แต่กล่าวได้เพียงคำว่า “โส” เท่านั้น ก็จมลงเสวยผลกรรมต่อไป   
 
     สัตว์นรกเหล่านั้น ไม่อาจกล่าวคำเหล่านี้ได้หมดประโยค กล่าวได้แต่อักษรตัวแรกเท่านั้น แล้วก็จมลงไปอีก ภัยที่เกิดจากเสียงนั้นมิได้มีแก่พระองค์ แต่กรรมที่พระองค์จะบูชายัญด้วยการเข่นฆ่าสัตว์มีชีวิตจำนวนมากมาย จะทำให้ต้องไปตกนรกได้รับทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนาน” พระราชาได้สดับความจริงแล้วทรงหวั่นพระทัย เกิดหิริโอตตัปปะ และบังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ ที่ได้ให้ความแจ่มแจ้งในพระสุบิน
 
     แล้วทรงกราบทูลว่า “เวลาแค่เพียงคืนเดียว ปรากฏแก่ข้าพระองค์เสมือน ๒ คืน”  ฝ่ายสามีของหญิงนั้น ได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ระยะเพียงโยชน์เดียว ปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือน ๒ โยชน์ พระเจ้าข้า” 
 
     พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “คืนหนึ่งยาวนานสำหรับคนนอนไม่หลับ โยชน์หนึ่งยาวไกลสำหรับคนเมื่อยล้า แต่วัฏสงสารยาวนานสำหรับเหล่าคนเขลาผู้ไม่รู้พระสัทธรรม”
 
     เมื่อจบพระธรรมเทศนา สามีของหญิงนั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล พระราชาทรงเกิดความสลดสังเวชพระทัยในการกระทำของพระองค์ จึงไม่ประสงค์จะได้หญิงนั้นอีก จึงปล่อยสามีของเขาไป
 
     เพราะฉะนั้น ให้ทำแต่กุศลกรรมกันเถิด บาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อยอย่าได้ทำ เมื่อเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล คนพาลย่อมสำคัญว่าบาปนั้นเป็นเหมือนน้ำผึ้งมีรสหวาน แต่เมื่อใดที่บาปให้ผล เขาจะได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส แม้จะมีเงินทองทรัพย์สมบัติมากมายก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นหมู่ญาติ หรือบุคคลยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่สามารถช่วยได้ ใครทำกรรมใดไว้ ตนจะต้องรับผลของกรรมนั้น
 
     เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกนี้ไม่นานนัก ประเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว แต่เวลาในปรโลกนั้น ยาวนานกว่าเวลาในโลกมนุษย์นี้อย่างเทียบกันไม่ได้ ดังนั้น ให้ใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ สร้างบุญบารมีให้เต็มที่ เพราะมีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะติดตัวเราไปในภพเบื้องหน้า ผู้ที่ฉลาดควรรีบสั่งสมแต่บุญกุศล ให้ตั้งใจทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายกันให้ได้ เราจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์กัน

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๒๔ หน้า ๔๓๘
  


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
โทษของการวางเพลิงโทษของการวางเพลิง

โทษของการกักขังสัตว์โทษของการกักขังสัตว์

โทษของการเห็นผิดโทษของการเห็นผิด



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน