วิธีการเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ


[ 29 มิ.ย. 2555 ] - [ 18264 ] LINE it!

ข้อคิดรอบตัว
 
ก่อนวันสิ้นชีพ
 
        ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นที่เมืองเซนได เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2555นั้น เป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ที่ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้เกิดความเสียหายมากมายมหาศาล นับเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะเป็นประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดก็ตาม
 

เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นครั้งล่าสุดนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

 
        ที่ผ่านมาตอนที่เกิดแผ่นดินไหวที่โกเบในปี พ.ศ. 2538 มันไหวแรงก็จริงแต่เสียหายหนักคือเมืองเดียว แต่ทั้งเมืองก็แย่แล้ว เพราะคนตาย 6 พันกว่าคน ตึกรามบ้านช่องถล่มหมด เพราะว่าแนวแผ่นดินไหวมันอยู่ใต้เมืองพอดี มันเลยเป็นคลื่นกระแทกทางตรง ตึกเลยล้มเสียหายมาก
 
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่ประเทศญี่ปุ่น
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่ประเทศญี่ปุ่น
 
        แต่ในครั้งนี้ มันแรงและเป็นแถบ เกิดความเสียหายกว้างขวางมากแล้วยังเกิดสึนามิตามมาอีกสูงเป็น 10 เมตรทั้งแถบชายทะเล กวาดลึกเข้าไปเป็น 10 กิโลเมตร เหมือนปรมาณูลงราบเรียบไปหมดเลย อย่างที่เราได้เห็นภาพในข่าวตามช่องต่างๆ ต้องบอกว่าน่ากลัวมากจริงๆ แต่ก็น่าชื่นชมคนญี่ปุ่นเขาอย่างหนึ่ง คือเวลาเกิดเหตุอะไรขึ้นมาเขาจะช่วยกัน มีน้ำใจต่อกัน และทุกคนอยู่ในวินัย รอฟังคำสั่งของทางราชการว่าจะแนะนำอย่างไร แล้วเขาก็จะทำตาม เราจึงไม่เห็นภาพของความโกลาหลวุ่นวาย ทุกคนจะเคลื่อนไหวตามระบบระเบียบที่วางเอาไว้ ทำใจยอมรับสภาพแล้วเดินหน้าสู้กับความจริง และไม่ยอมทิ้งความหวังต่ออนาคต ต่างชาติประทับใจตรงนี้มาก และแผ่นดินไหวครั้งนี้ก็หนักกว่าโกเบมาก เราจะเห็นความีวินัยของคนญี่ปุ่นและความฮึดสู้ของพวกเขา ความสามัคคีและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
 
คนญี่ปุ่นเขาน่าชื่นชมตรงที่ทุกคนอยู่ในวินัยและมีน้ำใจต่อกัน
คนญี่ปุ่นเขาน่าชื่นชมตรงที่ทุกคนอยู่ในวินัยและมีน้ำใจต่อกัน
 
        โดยสรุปคือ เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงใดๆ ขึ้นมาแล้ว ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเราต้องมีน้ำใจต่อกัน ไม่เกี่ยงเชื้อชาติศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ขอให้ช่วยกัน แล้วเราจะพบว่าถ้าทั้งโลกช่วยกัน เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างอบอุ่น
 

เราพอจะมีวิธีการเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติอย่างไรบ้าง?

 
        มีหลักความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า จริงๆ แล้วคนเรานั้นต้องตาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ คนทั่วไปก็เลยไม่พยายามจะคิดเรื่องนี้ จริงๆ แล้ว เราควรคิดถึงความตายบ่อยๆ ซึ่งมี 2 แบบ คือ
 
        1. คนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พอนึกถึงความตาย นึกแล้วมันหดหู่ ก็เลยไม่นึกและหาอะไรทำเพลินๆ ไป ตายเมื่อไหร่ก็รู้เอง ถึงเวลาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ช่วยไม่ได้ จบ
 
        2. ผู้ที่รู้หลักว่าจะต้องทำตัวอย่างไรในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะเป็นการเตรียมตัวตายที่ดี ถ้าอย่างนี้ละก็ ยิ่งนึกถึงความตายบ่อยเท่าไหร่จะยิ่งทำให้เกิดความไม่ประมาทในการทำความดี การนึกถึงความตายอย่างนี้ถือว่าเป็นมงคล
 
        มีตัวอย่างคือ วันหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์ว่า อานนท์เธอนึกถึงความตายบ่อยแค่ไหน พระอานนท์ก็ตอบว่านึกถึงทุกวันเลย พระพุทธองค์บอกว่าเธอยังประมาทอยู่นะ ทางที่ดีต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกเลย หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีสตินั่นเอง ไม่ประมาทแล้วก็จะขวนขวายทำความดีทุกชนิด ทั้งทาน ศีล ภาวนา เพื่อให้เกิดบุญกุศลติดตัวเราไป แล้วเราก็จะไม่กลัวความตายเพราะรู้ว่าเมื่อตายก็ต้องไปดี แล้วชีวิตเราก็จะดีขึ้นๆ ทุกวันนั่นเอง
 
เราควรจะทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างถูกต้องคุ้มค่าจริงๆ?
 
        เราทราบว่า คนเราพอตายแล้วมันไม่จบ บางคนก็คิดว่าตายแล้วสูญหรือเปล่า ถ้าคิดว่าตายแล้วสูญก็จะเป็นแบบหนึ่ง ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กินดื่มเที่ยวสนุกให้เต็มที่ แต่ถ้าตายแล้วไม่สูญต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งจะไปเกิดที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับบุญและบาปที่ทำเอาไว้ ความคิดก็จะเป็นอีกแบบ เมื่อรู้ว่าบุญบาปมีจริงก็จะไม่กล้าทำบาปอกุศลต่างๆ
 
        มีชาวต่างชาติที่สนใจและอยากรู้เรื่องราวการเวียนว่ายตายเกิด พวกเขาก็ศึกษากันเป็นวิทยาศาสตร์เลย จัดตั้งกันขึ้นมาเป็นทีม มีทั้งแพทย์ นักวิจัยทางสังคม มีทีมงานทางสื่อ เพราะถ้าทำวิจัยคนเดียวอาจเกิดข้อพิพาทว่ามีอคติได้ ที่ไหนมีข่าวว่ามีเด็กระลึกชาติได้ เขาจะส่งทีมไปเลย ถ่ายทำวีดีโอบันทึกประวัติเรื่องราวต่างๆ เด็ก 3-4 ขวบที่สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้ ว่าตัวเองชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นอะไร ยังไง ที่ไหน แล้วพูดทักทายอะไรต่างๆ ถูกหมดเลย ต่อให้มีคนตั้งใจมาเตี๊ยมแต่ไม่มีปัญญาเตี๊ยม เพราะเวลาถามแต่ละคนก็ซักไซ้ไล่เลียงกันเป็นทีม แล้วไม่ใช่กรณีเดียวแต่มีหลายร้อยตัวอย่าง ก็สรุปได้ว่าคนเรานั้นตายแล้วไม่สูญ มีการเวียนว่ายตายเกิดแน่นอน
 
        ปกติฝรั่งนั้นศาสนาเขาสอนว่า ตายแล้วจะไม่มาเกิดอีก แต่พอความจริงออกมาอย่างนี้ สามรถจับต้องได้ ระบุชื่อได้ มีภาพเสียง ระบบหลักฐานทุกอย่างครบหมดอย่างนี้ ก็ทำให้ปัจจุบันฝรั่งกว่าครึ่งก็เชื่อว่าคนเรานั้นตายแล้วไม่สูญ ทั้งที่มันขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาเขา แต่ต้องยอมรับความจริงว่ามันมีจริงๆ เรื่องนี้ เพราะเขาก็ศึกษาแบบวิทยาศาสตร์กันเลย
 
        อีกด้านหนึ่งที่เราเคยได้ยินมาที่ว่าบางคนพอใกล้จะตาย คตินิมิตมา คนที่ทำบุญมามากก็จะเห็นเป็นเทพบุตรนางฟ้ามา ก็คือมีบริวารมารอบ้าง เห็นเทวรถมารอบ้าง แต่บางคนพอใกล้ตายก็ร้องโวยวาย กลัว เพราะเห็นยมฑูตมารอจะเอาตัวไปนรก มีกรณีตัวอย่างไว้มาก
 
        บางคนเป็นคนฆ่าหมู ก่อนตายก็ร้องเหมือนหมูเลย เพราะคตินิมิตของกรรมที่เคยทำเอาไว้มาปรากฏให้เห็น มาบอกให้รู้ว่าตัวเองจะต้องไปที่ไหน ก็จะกลัว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ชี้ให้เห็นว่าชีวิตหลังความตายนั้นมีอยู่ คนเราตายแล้วไม่สูญ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เพราะฉะนั้นจะไปเกิดที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วละ อยู่ที่เราว่าจะเลือกแบบไหน
 
        ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่ามีจริงหรือไม่ เราก็ทำความดีกันเอาไว้เผื่อเหนียว ถ้าเกิดว่าไม่มีก็จ้าวกันไปมันไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเกิดว่าบุญบาปนรกสวรรค์มีจริงเราก็รอด อย่างนี้ปลอดภัยกว่า แล้วเวลาอยู่บนโลกก็มีความสุข มีชีวิตที่ดีมีคุณภาพกว่า ลองไปดูชีวิตของคนที่เห็นแก่ได้ดูนะ ครอบครัวนั้นจะแย่หมด เพราะในครอบครัวนั้นก็พร้อมที่จะเป็นคู่ศึกแย่งชิงกันตลอด ใจเครียดไม่มีความสุข ฉะนั้นถ้าเราทำความดีเผื่อเหนียว บนโลกนี้เราก็เหมือนเทวดาเดินดินแล้ว เมื่อละโลกเราก็ยังไปดีอีก ควรจะเป็นอย่างนี้
 
คนที่เคยทำผิดพลาดมาในอดีต แล้วมาทำความดีในปัจจุบันนั้นจะช่วยหักล้างกันได้หรือไม่?
 
        จะช่วยทำให้ทุเลาเบาบางลง พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านให้หลักไว้ว่า อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด แล้วบาปอกุศลทั้งหลายก็ต้องไม่ทำอีก และตั้งใจสร้างบุญกุศลทุกวักอย่างเต็มที่ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ขอให้ทุกวันที่ผ่านไปเป็นวันที่เราควรได้กำไรชีวิต อย่าให้ขาดทุนชีวิต ในแต่ละวันเราควรประกอบเหตุในทางที่เป็นแต่บุญกุศลเท่านั้น
 
ภาพคตินิมิตที่เราเห็นก่อนใกล้ตายนั้น จะมีผลต่อการที่เราจะไปดีหรือไม่ดีอย่างไร?
 
        คือบุญที่สร้างไว้จะเหนี่ยวนำภาพดีมาให้เห็น เมื่อเป็นอย่างนั้นใจเราก็จะใส พอใจใสเราก็จะไปสวรรค์ แต่ถ้าเกิดว่าคนไหนทำบาปไว้มากก็จะเหนี่ยวนำเอาคตินิมิตที่ร้ายๆ มาให้เห็น อาจเป็นภาพสัตว์ที่เคยฆ่าบ้าง ภาพยมฑูตมารอบ้าง ภาพในมหานรกเลยก็มี ยิ่งกลัวยิงตกใจเอะอะโวยวาย ใจก็ยิ่งเศร้าหมอง พอจิตเศร้าหมองก็ต้องไปอบาย เพราะฉะนั้นใจเราก่อนตายนั้นสำคัญมาก ใจใสไปสวรรค์ ใจหมองไปอบาย อย่าประมาทว่าเอาไว้รอก่อนตายแล้วค่อยคิดแต่เรื่องดีๆ เพราะพอถึงเวลามันจะไม่ทัน ต้องทำจนคุ้นจนชิน
 
        มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง มีคนๆ หนึ่งเขาป่วยเป็นมะเร็ง จริงๆ เขานับถือศาสนาอื่น แต่มีญาติที่นับถือศาสนาพุทธแล้วมาที่วัดพระธรรมกาย ก็เลยขอให้พระที่วัดช่วยไปเยี่ยมและแนะนำให้เขาทำสมาธิ โดยการให้นึกถึงสัญลักษณ์ทางศาสนาของเขาก็ได้ เพื่อให้เขานึกถึงแล้วสบายใจ แล้วบอกเขาให้ทำสมาธิให้ใจนิ่งๆ และทุกขเวทนาจะลดน้อยลง แล้วใจจะผ่องใส และสิ่งดีๆ จะเริ่มเกิดขึ้น ความเจ็บปวดลดน้อยลง จิตใจดีขึ้น ก็สามารถจากโลกนี้ไปอย่างสง่างาม ญาติๆ ต่างก็ทึ่งกันหมดเลย หันมาเปลี่ยนเป็นนับถือพุทธศาสนากันหมดเลย เพราะเห็นตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้น คือขอให้รู้หลักว่าจะเผชิญหน้ากับความตายอย่างไรโดยไม่เกรงกลัว
 
        คนในโลกส่วนใหญ่จะไม่รู้ พอไม่รู้มันก็กลัว แต่ถ้าเราทำความดีอยู่ทุกๆ วัน มีกำไรชีวิตทุกวัน ต่อให้มัจจุราชมารอตรงหน้าเราก็ไม่หวาดหวั่น เพราะรู้ว่าถึงตายก็ไปดี
 
เราควรจะมีหลักการในการใช้ชีวิตให้มีสติและเป็นสุขในปัจจุบันได้อย่างไร?
 
        ในการดำเนินชีวิตนั้น อย่างที่บอกคือมีน้ำใจต่อกัน แล้วพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสว่า จากนี้ไปยิ่งไม่ประมาทในการทำความดี ตั้งใจทำดีให้เต็มที่มากขึ้น ให้เตือนตัวเองว่าเราไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะเราเองอาจจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้วันใดวันหนึ่ง ขณะยังมีชีวิตอยู่ก็ให้สร้างบุญสร้างกุศลและมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ทุกๆ คน แล้วเราจะอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข เมื่อละโลกไปแล้วก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
การบวชจะช่วยทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้อย่างไรการบวชจะช่วยทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้อย่างไร

ทำอย่างไรให้ความฝันกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ทำอย่างไรให้ความฝันกลายเป็นจริงขึ้นมาได้

สันติภาพโลกคืออะไรทำอย่างไรจะก่อให้เกิดสันติภาพโลกขึ้นมาได้สันติภาพโลกคืออะไรทำอย่างไรจะก่อให้เกิดสันติภาพโลกขึ้นมาได้



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ข้อคิดรอบตัว