ผลแห่งการเข้าถึงพระรัตนตรัย


[ 23 ก.ย. 2557 ] - [ 18299 ] LINE it!

ผลแห่งการเข้าถึงพระรัตนตรัย

     พระรัตนตรัยเป็นสรณะอันประเสริฐสุด มีพระคุณอย่างจะนับจะประมาณมิได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระพุทธญาณอันลึกซึ้งกว้างไกลเป็นอจินไตย ทรงรู้แจ้งโลกและแทงตลอดทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์ ก็ยังไม่อาจจะพรรณนาพระคุณของพระรัตนตรัยให้หมดสิ้นได้ เพราะพระรัตนตรัยมีคุณเป็นอนันต์ แม้แสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาลก็เล็กเกินไป

     เราจะซาบซึ้งคุณของพระรัตนตรัยก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัตนทั้งสาม คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ถ้าเข้าถึงอย่างนี้ ถือว่าได้บรรลุจุดประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นหลักชัยของชีวิต

มีวาระพระบาลีที่กล่าวไว้ใน สมยสูตร ว่า

“เยเกจิ พุทฺธํ สรณํ คตา เส
น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ
ปหาย มานุสํ เทหํ
เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติ

     “ชนเหล่าใดถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่ง ชนเหล่านั้น จักไม่ไปสู่อบายภูมิ ละกายมนุษย์แล้ว จักยังหมู่เทวดาให้บริบูรณ์”

     พระคาถานี้คืออนุสติเตือนใจให้ทราบว่า “อัปปมาโณ พุทโธ พระพุทธเจ้ามีคุณไม่มีประมาณ” เพียงแค่ทำจิตให้เลื่อมใส หมั่นตรึกระลึกนึกถึงพุทธคุณบ่อยๆ ก็สามารถปิดประตูอบายภูมิได้ ครั้นละโลกไป จะได้ไปเป็นสหายแห่งเทวดา นี่ถ้าหากเพิ่มความเพียรพยายามให้มากขึ้น ด้วยการตั้งใจลงมือปฏิบัติให้ถูกส่วนให้เข้าถึงพุทธะภายใน ก็สามารถไปสู่อายตนนิพพานได้  

     ดังนั้น นอกจากเราจะปลูกความเลื่อมใสศรัทธาแล้ว พุทธศาสนิกชนที่ดีต้องลงมือปฏิบัติให้ได้รู้แจ้ง เห็นแจ้งในธรรมที่พระพุทธองค์ได้สั่งสอนอีกด้วย

     * เหมือนในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี มีเด็กน้อยคนหนึ่งเป็นผู้มีบุญมาก ตั้งแต่เล็กเรื่อยมาพ่อแม่จะสอนให้ทำบุญทำกุศลมิได้ขาด และยังหมั่นพาไปวัดฟังธรรมอยู่เป็นประจำ เด็กน้อยจึงเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย มีความตั้งใจว่า ถ้าหากโตขึ้น จะออกบวชและจะขอบวชไปจนตลอดชีวิต อุทิศตนให้พระพุทธศาสนา แต่เผอิญวันหนึ่ง พ่อและแม่ได้ประสบอุบัติเหตุ ทำให้ตาบอดสนิท ไม่อาจจะเยียวยารักษาได้ ครั้นจะทิ้งพ่อแม่ไปบวชเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใครดูแลท่านทั้งสอง เพราะฉะนั้น จึงต้องคอยปรนนิบัติเลี้ยงดูท่านเรื่อยมา

     ต่อมาวันหนึ่ง ท่านคิดว่า เราต้องอุปัฏฐากรับใช้พ่อและแม่อยู่ที่บ้าน ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้บวชแน่ ดังนั้นชีวิตนี้ควรจะยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ อย่างน้อยจะช่วยให้พ้นจากทุกข์ในอบายได้ เย็นวันนั้น ท่านจึงได้เข้าไปหาพระนิสภเถระซึ่งเป็นอัครสาวกของพระวิปัสสีพุทธเจ้า แล้วรับเอาสรณะทั้งสามคือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นที่พึ่ง  

     ท่านได้น้อมรับเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เมื่อกลับไปที่บ้านไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด หรือจะทำภารกิจอะไรก็ตาม ก็นึกถึงแต่พระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ และหมั่นสวดสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยอยู่อย่างนั้น เป็นเวลาถึงหนึ่งแสนปี ด้วยผลบุญนั้นหลังจากละโลกไปแล้ว ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทพบุตรผู้มีรัศมีกายสว่างไสว มีนางเทพอัปสรเป็นบริวารมากมาย ได้เสวยสุขอยู่ในทิพยวิมานอันโอฬาร

     และบุญนั้นเองยังส่งผลให้ท่านได้เป็นพระอินทร์ถึง ๘๐ ครั้ง ตำแหน่งพระอินทร์นี่เป็นของกลางๆ   ใครมีบุญมากก็ได้เป็นใหญ่ในเทวโลก และส่วนใหญ่ที่หลวงพ่อสังเกต ก็เห็นจะมีแต่ผู้ที่ทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ชักชวนมหาชนให้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนานี่แหละ เมื่อท่านจุติจากสวรรค์มาเกิดในมนุษยโลก ก็ได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองทวีปทั้ง ๔ ถึง ๗๕ ครั้ง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่พรั่งพร้อมไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ คือ ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว นางแก้ว จักรแก้ว และแก้วมณี ปกครองชาวโลกทั่วชมพูทวีป ให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ทำให้โลกได้รับความสงบสุขร่มเย็น

     นอกจากนั้น ยังได้เกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองประเทศด้วยทศพิธราชธรรมอีกนับชาติไม่ถ้วน ได้เกิดเป็นมหาเศรษฐีอีกหลายชาติ ไม่เคยพลัดไปตกในอบายภูมิเลย ความเต็มเปี่ยมของชีวิตในระดับโลกิยะ ก็มีสองอย่าง คือ ไม่เป็นพระราชา หรือจักรพรรดิ ก็เป็นมหาเศรษฐี

     แล้วบุญแห่งความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยนั้น ยังตามส่งผลให้ท่านได้เข้าถึงความเป็นผู้เลิศ ๘ ประการ คือ ได้รับการเคารพบูชายกย่องสรรเสริญไปทั่วสารทิศ จะมีผู้นำเครื่องสักการบูชามามอบให้ท่านอยู่เป็นประจำ บุญนั้นส่งผลให้ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รู้แจ้งแทงตลอดในศาสตร์ทั้งปวง ยากที่จะหาใครมีปัญญาเทียบเท่าท่านได้ แล้วยังมีเทวดาคอยปกป้องคุ้มครองรักษาให้ท่านอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากภยันตรายในทุกสถาน จะเดินทางไปแห่งหนตำบลใดก็ไม่ต้องหวั่นหวาด มีแต่ความสุขสบายในที่ทั้งปวง แม้เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ยังประพฤติปฏิบัติธรรมตามท่านอีกด้วย

     นอกจากนี้ ท่านยังมีโภคทรัพย์สมบัติบังเกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ได้รูปสมบัติที่งดงาม มีผิวพรรณวรรณะผ่องใส เปล่งปลั่งประดุจทองคำ เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสของผู้ที่ได้พบเห็น มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ มีพวกพ้องบริวารมากมาย เป็นที่รักที่ชอบใจของมหาชน ใครเห็นก็อยากเข้าใกล้ เข้าใกล้แล้วก็ได้ความสบายใจกลับไป ไม่ว่าจะเกิดไปกี่ภพกี่ชาติ ท่านยังเป็นผู้มียศใหญ่ มีตำแหน่งหน้าที่สูงกว่าใครๆ เป็นที่ยอมรับนับถือของทุกๆ คน

     มาในชาติสุดท้าย สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้มาเกิดในตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติพวกพ้องบริวารมากมาย เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ ได้ไปวัที่ดแห่งหนึ่งพร้อมกับพวกเด็กทั้งหลาย แล้วได้ฟังธรรมจากพระเถระที่กล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัย และอานุภาพของพระรัตนตรัย ท่านบังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

     ในช่วงนั้นบุญเก่าตามมาถึง ทำให้ท่านระลึกถึงสรณะที่เคยรักษาเอาไว้ ตั้งแต่ครั้งเมื่อสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ทำให้ท่านเกิดมหาปีติ จึงได้นั่งทำสมาธิเจริญภาวนา ทำจิตให้เป็นหนึ่งมีอารมณ์เดียว คือมีพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ ในที่สุดก็ได้บรรลุอรหัตผล เมื่อหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงบอกลาบิดามารดา สละฆราวาสวิสัยออกบวชเป็นบรรพชิต ได้ทูลขอบวชกับพระบรมศาสดา เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ได้บรรลุวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔  วิโมกข์ ๘ และจรณะ ๑๕ ท่านเป็นผู้ได้บรรลุธรรมแบบสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือปฏิบัติได้สะดวก ตรัสรู้ได้อย่างรวดเร็ว รู้แจ้งแทงตลอดในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่เยาว์วัย

     เมื่อท่านมีลูกศิษย์ ท่านมักจะกล่าวสอนศิษย์อยู่เสมอว่า “ขอให้ท่านทั้งหลาย จงรับเอาไตรสรณคมน์เถิด แล้วจงยังจิตของตนให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ให้มีพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ ท่านทั้งหลายจะได้พบอมตมหานิพพาน สามารถกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ แม้ตัวท่านก็ได้สำเร็จสมปรารถนาทุกอย่าง เพราะอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยอันไม่มีประมาณ”

     เราจะสังเกตเห็นว่า อานุภาพของพระรัตนตรัยยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ จะเป็นเหตุให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ดังนั้น พระรัตนตรัยจึงเป็นสิ่งที่จะต้องยึดเอาเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ได้ ตราบใดที่เรายังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ฝึกใจให้หยุดนิ่งให้เข้าถึงให้ได้ ถ้าเรามีความเพียร ทำกันอย่างสมํ่าเสมอในทุกอิริยาบถ โดยไม่ให้เผลอสติ ถ้าทำอย่างนี้ได้จะเข้าถึงกันทุกๆ คน เพราะฉะนั้น เราควรจะเอาจริงเอาจัง ตั้งใจปฏิบัติให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้ โดยหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นประจำสมํ่าเสมอ จนกว่าจะสมปรารถนา เข้าถึงพระธรรมกายที่ชัดใสสว่างกันทุกคน

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๙๒  

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
สัญญาแห่งความเลื่อมใสสัญญาแห่งความเลื่อมใส

ต้นแบบแห่งความดีต้นแบบแห่งความดี

เวสารัชชธรรม ๔เวสารัชชธรรม ๔



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน