พระอรหันต์รู้ได้ยาก


[ 22 ต.ค. 2557 ] - [ 18414 ] LINE it!

พระอรหันต์รู้ได้ยาก

     ร่างกายของมนุษย์เป็นอุปกรณ์สำคัญ ที่สามารถสร้างความดีได้อย่างเต็มที่ และเป็นฐานสำหรับรองรับคุณธรรมความดีทั้งหลาย เป็นที่ฝึกฝนอบรมจิตใจ ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ จนสามารถเข้าถึงพระธรรมกาย และสามารถกำจัดกิเลสอาสวะที่หมักดองอยู่ในจิตใจให้หมดสิ้นไปได้ การที่จะเข้าถึงธรรมอันประเสริฐ คือพระธรรมกายที่มีอยู่ภายในตัวของเราได้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยวางภารกิจเครื่องกังวลใจ โดยการหยุดใจไว้ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งถาวรของใจ ให้หมั่นประกอบความเพียรไม่เกียจคร้าน และประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างสมํ่าเสมอ ไม่ช้าจะสามารถทำใจหยุด ใจนิ่งได้ แล้วความสุขอันเกิดจาก ใจหยุด ใจนิ่ง จะพรั่งพรูออกมาเป็นรางวัล สำหรับผู้มีความเพียร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน รัตนสูตร ว่า

"เย สุปฺปยุตฺตา มนสา ทฬฺเหน    
นิกฺกามิโน โคตมสาสนมฺหิ
เต ปตฺติปตฺตา อมตํ วิคยฺห    
ลทฺธา มุธา นิพฺพุตึ ภุญฺชมานา

     พระอริยบุคคลเหล่าใด ในศาสนาของพระโคดม เป็นผู้ประกอบดีแล้ว ด้วยกิริยาทางกายและวาจาอันบริสุทธิ์ มีใจมั่นคง เป็นผู้ไม่มีความห่วงใยในกายและชีวิต พระอริยบุคคลเหล่านั้น บรรลุอรหัตผลที่ควรบรรลุ หยั่งลงสู่อมตนิพพาน ดับกิเลสได้ เสวยผลแห่งความดับเย็นอยู่ "

     พระอรหันต์ คือพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีใจหยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัตตลอดเวลา ใจท่านมั่นคงอยู่ในกลางพระนิพพาน จึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย และห่างไกลจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ทั้งสังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูง อาสวะ โยคะ โอฆะ อนุสัยกิเลสหลุดออกจากใจของท่านไปหมด ท่านจึงเสวยเอกันตบรมสุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เข้ามาอยู่ในใจของท่าน

     การจะสังเกตว่าใครเป็นพระอรหันต์ ผู้ห่างไกลจากกิเลส เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะตามปกติแล้ว ปุถุชนทั่วไปจะไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของพระอริยเจ้าได้ พระโสดาบันไม่สามารถรู้วาระจิตของพระสกทาคามี พระสกทาคามีไม่รู้วาระจิตของพระอนาคามี และพระอนาคามีไม่สามารถรู้วาระจิตของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ปุถุชนทั่วไปจึงไม่สามารถจำแนกแยกแยะได้ว่า สมณพราหมณ์ท่านใดได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์บ้าง เพราะเป็นเรื่องของผู้รู้แจ้งเท่านั้น

     * สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่บุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่หลีกเร้น ประทับนั่งอยู่ภายนอกซุ้มประตูของวิหาร พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้า เพื่อฟังธรรมและสนทนาธรรมกับพระพุทธองค์ ขณะนั้นเองมีชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน และปริพาชก ๗ คน ทุกคนมีขนรักแร้ และเล็บงอกยาว หาบบริขารเดินผ่านไปในบริเวณนั้น

     พระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรเห็นนักบวชเหล่านั้น จึงทรงลุกจากอาสนะ และกระทำผ้าห่มเฉวียงบ่า คุกเข่าลงบนแผ่นดิน ประนมอัญชลีไปทางบุคคลเหล่านั้น แล้วทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้า คือพระเจ้าปเสนทิโกศล" เมื่อนักบวชเหล่านั้นเดินลับตาไปได้ไม่นาน พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เสด็จไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นักบวชเหล่านั้น มีวัตรปฏิบัติที่ทำได้ยากในโลก แต่ว่ามีคนใดคนหนึ่งบ้างไหม ที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หรือได้บรรลุอรหันต์แล้ว”

     ตามปกติ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งปวง ใครเป็นพระอรหันต์ พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นได้ตามที่บุคคลนั้นได้บรรลุ ใครยังเป็นโมฆบุรุษ ข้างในยังรกชัฏด้วยกิเลส พระองค์ก็ทรงรู้เห็นหมด เพียงแต่ทรงดูกาลเวลาที่เหมาะสมว่าสมควรจะนำมาตรัสเตือนเมื่อไร เพราะฉะนั้น เรามาดูว่าพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่านักบวชคนใด เป็นพระอรหันต์

     พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนมหาบพิตร มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม ทรงครองฆราวาสอันคับคั่งด้วยพระโอรส และพระมเหสีอยู่ ทรงใช้สอยผ้าแคว้นกาสี ทรงทัดทรงดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิว ทรงยินดีในเงินและทองอยู่ จึงยากที่จะทรงรู้ได้ว่า บุคคลเหล่านี้ใครเป็นพระอรหันต์ หรือว่าบุคคลเหล่านี้บรรลุอรหัตมรรค เป็นผู้ควรแก่การเคารพสักการบูชาหรือไม่

     ดูก่อนมหาบพิตร ศีล พึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีลนั้นแล พึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลสั้นๆ เมื่อพิจารณาโดยแยบคายก็จะรู้ได้ ไม่พิจารณาโดยแยบคายก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาพึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาน้อยไม่พึงรู้ ความเป็นผู้สะอาด รู้ได้ด้วยการปราศรัย และความเป็นผู้สะอาดนั้นแล พึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลสั้น พิจารณาโดยแยบคายจึงรู้ได้ ไม่พิจาณาโดยแยบคายก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาพึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงรู้

     กำลังใจรู้ได้ในเวลาที่มีอันตราย และกำลังใจนั้นแล รู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลสั้น พิจารณาโดยแยบคายจึงรู้ได้ ไม่พิจารณาโดยแยบคายก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาพึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงรู้ ปัญญารู้ได้ด้วยการสนทนา ปัญญานั้นแลพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยการสั้น พิจารณาโดยแยบคายจึงรู้ได้ ไม่พิจารณาโดยแยบคายก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาพึงรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงรู้

     ดูก่อนมหาบพิตร คนดีเกิดมาดี ไม่ควรไว้วางใจเพราะผิวพรรณและรูปร่าง ไม่ควรไว้วางใจเพราะเห็นกันเพียงชั่วครู่ เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปยังโลกนี้ ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว ประดุจกุณฑลดิน และมาสกโลหะหุ้มด้วยทองคำปลอมไว้ คนทั้งหลายไม่บริสุทธิ์ในภายใน งามแต่ภายนอกอย่างเดียว แวดล้อมด้วยบริวารท่องเที่ยวอยู่ในโลกมีมากมาย นักบวชนอกศาสนาเหล่านั้น ไม่มีใครเลยเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้รกชัฏด้วยกิเลสทั้งนั้น”

     พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แล้ว เกิดความกระจ่างแจ้งในพระทัย กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์เหลือเกิน เพราะธรรมดาผู้เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม ยากที่จะรู้เรื่องนี้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาน้อยหารู้ไม่ วาทะนี้จึงเป็นอันตรัสดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นักบวชเหล่านั้นเป็นคนของข้าพระองค์ เป็นจารบุรุษ เป็นคนสืบข่าวลับ เที่ยวสอดแนมไปตามชนบทต่างๆ แล้วพากันกลับมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้คนเหล่านั้น ชำระล้างละอองธุลีนั้นแล้ว อาบดี ประเทืองผิวดี โกนผมและหนวดแล้ว นุ่งห่มผ้าขาว เอิบอิ่มเพรียบพร้อมด้วยเบญจกามคุณ บำเรอข้าพระองค์อยู่ พระองค์ทรงพยากรณ์ดีแล้วหนอ”

     เราจะเห็นว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะดูคนกันโดยเปลือกนอกไม่ได้ เพราะแม้จะมีผู้กล่าวว่า มีพระอรหันต์ผู้หมดจดจากกิเลสหลายท่านในปัจจุบันนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้กันได้ง่ายๆ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยากเหลือเกินที่จะชี้ชัดว่าใครเป็นพระอรหันต์

 

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ว่า ถ้าจะแสวงหาพระอรหันต์ ต้องแสวงหาในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะอริยมรรคมีองค์ ๘ คือ หนทางปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า หรือมัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายกลางที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นนั้น มีอยู่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ผู้จะปฏิบัติให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ จะต้องเดินตามแนวนี้ ผิดจากแนวนี้ไปก็ไม่ได้ เมื่อปฏิบัติตามหนทางสายกลาง โดยเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้ว จึงจะเข้าถึงความสงบ พบความสว่างภายใน และเข้าถึงกายในกายไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัต เป็นพระอรหันต์ผู้หมดจดจากกิเลสอาสวะอย่างแท้จริง

     ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อากาเสว ปทํ นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหิโร สมณะในภายนอกไม่มี เหมือนรอยเท้าไม่มีในอากาศ” คือสมณะนอกพระพุทธศาสนาไม่มี สมณะหรือพระแท้ต้องอยู่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น และการจะให้เข้าถึงสมณะภายในที่แท้จริงนั้นต้องอาศัยการทำใจให้หยุดนิ่ง ในหนทางสายกลางเพียงทางเดียว เพราะฉะนั้น การฝึกใจให้หยุดนิ่ง จึงเป็นกรณียกิจที่สำคัญ ที่ทุกๆ ท่านจะต้องเอาใจใส่ ให้หมั่นปฏิบัติธรรม ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งกันอย่างสมํ่าเสมอทุกๆ วัน

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๒๔ หน้า ๔๕๒

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ

โสฬสญาณโสฬสญาณ

หลุดพ้นจากสังสารวัฏหลุดพ้นจากสังสารวัฏ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน