เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ


[ 25 ต.ค. 2557 ] - [ 18413 ] LINE it!

เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ

     ความใสบริสุทธิ์ของใจนำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริง จิตใจของเราจำเป็นต้องชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาอยู่เสมอ เราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข แม้โลกนี้จะร้อนรุ่มไปด้วยไฟกิเลสที่คุกรุ่นอยู่ในใจของมนุษย์ แต่ถ้าหากเรารู้จักฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง หมั่นขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ เราก็จะเป็นผู้มีความสุขท่ามกลางหมู่ชนผู้มีความทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้พุทธบริษัท เจริญภาวนาอยู่ในหนทางสายกลาง ให้เราเห็นความสำคัญของการฝึกฝนใจว่า ใจที่ผ่องใสย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้ เป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นเครื่องนำสัตว์โลกทั้งหลายไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และนำทุกชีวิตไปสู่เป้าหมายอันสูงสุด คือการบรรลุมรรคผลนิพพาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ติณกัฏฐสูตร อนมตัคคสังยุต ว่า

     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังสารวัฏนี้ กำหนดที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้วพึงกระทำให้เป็นมัดๆ ละ ๔ นิ้ววางไว้ แล้วสมมติว่า บุคคลนี้เป็นมารดาของเรา บุคคลนี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาของบุรุษนั้น  ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้พึงถึงการสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุด เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชากางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดและเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้ามาตลอดกาลนาน ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น พอทีเดียวที่เธอจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง เพื่อจะได้คลายกำหนัดและหลุดพ้นจากทุกข์"

     วัฏสงสารนี้ มีความยาวนานจนไม่สามารถที่จะนับเวลาได้ว่า มีประมาณเท่าใด เพราะค้นหาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่พบ สัตว์ทั้งหลายซึ่งเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เหมือนเต่าอยู่ในมหาสมุทร ต้องดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้น เสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง พวกเราทั้งหลายก็ได้ชื่อว่ากำลังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเหมือนกัน เพราะว่ามีเคหสถานบ้านเรือนอยู่ในมนุษยโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในภพภูมิที่เป็นส่วนย่อยแห่งวัฏสงสาร

     เพราะฉะนั้น ให้รู้ตัวเอาไว้ว่า ชีวิตในสังสารวัฏของเรายังไม่ปลอดภัย ชีวิตนี้เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน จะเป็นผู้มีความสุขล้วนๆ ตลอดเส้นทางอันยาวไกล หาได้ยากยิ่งนัก แม้พระพุทธองค์เมื่อทรงระลึกอดีตชาติ ในสมัยที่ทรงสร้างบารมีอยู่นั้น ก็ทรงเห็นว่าเคยตกไปในอบายภูมิ ไปเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉานมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ชีวิตในสังสารวัฏไม่ได้เวียนวนอยู่เฉพาะสุคติภูมิหรือมนุสสภูมิเท่านั้น ทรงเคยเกิดในทุกภพทุกภูมิมาแล้ว ดังนั้นพระองค์จึงทรงสอนให้เราพิจารณาเห็นว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ทรงสอนเพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความพอใจในภพทั้งปวง ให้ยินดีในหนทางพระนิพพาน

     * ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางที่ประชุมพระภิกษุสงฆ์ในพระเชตวันมหาวิหาร ได้ตรัสเรื่องสังสารวัฏเอาไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย วัฏสงสารนี้กำหนดที่สุดและเบื้องต้นมิได้ เมื่อสัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาเป็นที่กางกั้น ถูกตัณหาผูกพันเข้าไว้ ก็ย่อมจะท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ โดยที่สุดและเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏเลย สมมติว่า มีบุรุษคนหนึ่งพยายามปั้นดินให้เป็นก้อน ก้อนเท่าเม็ดกระเบาแล้ววางไว้ จากนั้นก็สมมติว่า ก้อนนี้เป็นบิดาของเรา ก้อนนี้เป็นบิดาของบิดาของเรา ทำการสมมติเรื่อยไปตามลำดับ บิดาของบิดาของบุรุษนั้นย่อมไม่เป็นอันสิ้นสุดลงไปได้ แต่ว่ามหาปฐพีนี้ ย่อมถึงความหมดสิ้นไปก่อน ข้อนี้เป็นเพราะว่า วัฏสงสารนี้ กำหนดที่สุดและเบื้องต้นมิได้ ในเมื่อเหล่าสัตว์ถูกอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น ถูกตัณหาผูกพันเข้าไว้ ก็ย่อมจะต้องท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่โดยที่สุดและเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏเลย"

     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุว่า “น้ำตาที่หลั่งไหลออกจากตาของพวกเธอ ผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจโดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ สิ่งไหนจะมากกว่ากัน” ภิกษุทูลตอบว่า “น้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทร” พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า “ถูกแล้วภิกษุทั้งหลาย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกจากตาของพวกเธอ ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา และร้องไห้คร่ำครวญ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจอยู่นั้น มีประมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔

     ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดามาตลอดกาลนาน พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของน้องสาว บุตรธิดา ความเสื่อมแห่งญาติ ความเสื่อมแห่งโภคะ ความเสื่อมแห่งโคตร และได้ประสบกับความเสื่อมเพราะโรคมาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกจากตาของพวกเธอ ผู้ประสบกับความเสื่อมเพราะโรคเป็นต้น และร้องไห้คร่ำครวญเพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจอยู่นั้น มีประมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ นั้นมีประมาณน้อยกว่าน้ำตาของพวกเธอ”

     นี่เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าวัฏสงสารนี้ มีความยาวนานจนไม่สามารถที่จะกำหนดลงไปได้ว่า มีการเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อใด และจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ไม่สามารถที่จะนับเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือแม้ในที่สุดจะนับเป็นมหากัปก็ไม่ได้ เมื่อกล่าวถึงคำว่า กัปหรือมหากัปนี้ บางท่านอาจจะสงสัยมานานแล้วว่า เป็นเวลาเท่าใดกันแน่ เพราะในตอนที่ว่าด้วยอายุของสัตว์นรกก็ดี หรือในตอนที่ว่าด้วยอายุของพรหมก็ดี ได้กล่าวถึงคำนี้ไว้เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้อธิบายในรายละเอียด ฉะนั้น หลวงพ่อจึงขอถือโอกาสอธิบายคำว่า กัปและมหากัป เพิ่มเติมสักเล็กน้อย

     สมัยหนึ่ง ภิกษุได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนั้นเป็นเวลายาวนานเพียงใดหนอ พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนภิกษุ กัปหนึ่งนั้นเป็นเวลายาวนานนักหนา จะนับเป็นว่าเท่านี้ปี เท่านี้ร้อยปี เท่านี้พันปี เท่านี้แสนปีไม่ได้เลย” ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามต่อไปว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น กัปหนึ่งมีประมาณเท่าใด พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “ดูก่อนภิกษุ เราตถาคตจะยกอุปมาให้เธอฟัง สมมติว่า มีภูเขาศิลาลูกใหญ่ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ มีบุรุษผู้หนึ่งนำเอาผ้าขาวบางมาจากแคว้นกาสี แล้วเอาผ้านั้นลูบภูเขา ๑๐๐ ปีต่อครั้งหนึ่ง การที่ภูเขาศิลาใหญ่แท่งนั้นจะถึงความสิ้นไป เพราะความพยายามของบุรุษนั้น ยังเร็วกว่าระยะเวลาหนึ่งกัป

     ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอท่องเที่ยวไปมาอยู่ในวัฏสงสาร มิใช่ ๑ กัป มิใช่ ๑,๐๐๐ กัป มิใช่ ๑๐๐,๐๐๐ กัป เป็นเพราะว่า วัฏสงสารนี้กำหนดที่สุดและเบื้องต้นมิได้ เราตถาคตจะยกอุปมาให้เธอฟัง สมมติว่า มีพระนครที่ทำด้วยเหล็ก มีความยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ซึ่งเป็นพระนครที่เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ต่อมามีชายคนหนึ่งหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดออกจากพระนครหนึ่งเมล็ดในทุกๆ ๑๐๐ ปี ค่อยๆ หยิบออกจนกว่าจะหมด เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น จะพึงถึงความหมดสิ้นไปเร็วกว่าคำว่าหนึ่งกัป แต่เวลาเรียกหนึ่งกัปนั้นยังไม่ถึงความหมดสิ้นไปเลย”

     นี่เป็นความยาวนานของสังสารวัฏและความยาวของกัป ที่หลวงพ่อได้ยกขึ้นมากล่าวเป็นอุปมาเอาไว้ย่อๆ เพราะในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงอุปมาเอาไว้มากมาย ที่ทรงยกขึ้นมาตรัสนั้น พระองค์มีพุทธประสงค์เพียงอย่างเดียว คือให้ภิกษุและพุทธบริษัททั้ง ๔ ได้เห็นทุกข์เห็นโทษในสังสารวัฏ จะได้ไม่ประมาท ตั้งใจสร้างบารมี และขยันหมั่นเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน

     แม้ว่าเราทั้งหลายจะยังไม่ถึงนิพพาน เพราะเรามีเป้าหมายที่สำคัญอยู่ คือที่สุดแห่งธรรม ยิ่งต้องไม่ประมาท ต้องหมั่นสั่งสมบุญกันอยู่เป็นนิตย์ ให้กาย วาจา ใจของเรา เป็นทางมาแห่งบุญกุศลล้วนๆ เราจะได้เวียนวนสร้างบารมีอยู่ในวัฏฏะอย่างปลอดภัย และจะอยู่ในสุคติภูมิอย่างเดียว  ดังนั้น ให้หมั่นนั่งธรรมะให้เข้าถึงพระธรรมกายกันให้ได้ จะได้มั่นใจในการผจญภัยในสังสารวัฏไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมกันทุกคน

* ภูมิวิลาสินี (พระพรหมโมลี)



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
โสฬสญาณโสฬสญาณ

หลุดพ้นจากสังสารวัฏหลุดพ้นจากสังสารวัฏ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน