โกกาลิกชาดก ชาดกว่าด้วยพูดในกาลที่ควรพูด


[ 9 ต.ค. 2562 ] - [ 18292 ] LINE it!

ชาดก 500 ชาติ

โกกาลิกชาดก-ชาดกว่าด้วยพูดในกาลที่ควรพูด

พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร

พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
  
     ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระโกกาลิกะ ได้ตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้ ในพรรษาหนึ่ง พระอัครสาวก
ทั้งสองปลีกตัวออกจากหมู่สาวกทั้งหลาย เดินทางไปถึงโกกาลิกรัฐ
 
พระอัครสาวกออกเดินทางไปยังโกกาลิกรัฐ
 
พระอัครสาวกออกเดินทางไปยังโกกาลิกรัฐ
 
     พำนักอยู่ในวัดพระโกกาลิกะ และสั่งไม่ให้บอกแก่ใครว่าท่านทั้งสองเป็นใคร โดยจะทำการสอนพระธรรมเพื่อตอบแทน “ เธอจงอย่าบอกเรื่องของเราแก่ใคร ” “ ข้ารับรอง
ว่าจะไม่บอกใครแน่นอน ” “ ดีแล้ว เราจะสอนธรรมะของพระศาสดาให้แก่เธอ ”
 
พระอัครสาวกขอร้องพระโกกาลิกะให้บิดบังฐานะที่แท้จริงของตนทั้งสอง
 
พระอัครสาวกขอร้องพระโกกาลิกะให้บิดบังฐานะที่แท้จริงของตนทั้งสอง
 
     “ ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญท่านอยู่ตามสบายเถิด ” พระโกกาลิกะได้ถวายอาสนะอันสมควรแก่อัครสาวกทั้งสองแล้ว ก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ใคร ทำตามที่รับปากไว้ พระอัครสาวก
จำพรรษาอยู่ 3 เดือน เมื่อปวารนาแล้ว จึงลากลับไปยังพระเชตวัน

พระอัครสาวกได้จำพรรษา อยู่ ณ โกกาลิกรัฐเป็นเวลา 3 เดือน
 
พระอัครสาวกได้จำพรรษา อยู่ ณ โกกาลิกรัฐเป็นเวลา 3 เดือน
 
     “ เรามาจำพรรษาอยู่ที่นี่ 3 เดือนแล้ว ได้เวลาต้องลากลับแล้ว ” “ ขอบใจท่านมาก ที่ต้อนรับเราเป็นอย่างดี ” พระอัครสาวกทั้งสอง บอกลาพระโกกาลิกะ แล้วก็เที่ยวบิณฑบาต
ในหมู่บ้านใกล้ ๆ  เมื่อกระทำภัตกิจเสร็จแล้วก็พากันออกจากหมู่บ้าน
 
พระอัครสาวกได้อำลาโกกาลิกะหลังจากที่ได้ออกพรรษา
 
พระอัครสาวกได้อำลาโกกาลิกะหลังจากที่ได้ออกพรรษา
 
     ฝ่ายพระโกกาลิกะ เมื่อพระอัครสาวกจากไปแล้ว ก็ทนเก็บความลับไม่ไหว จึงตำหนิชาวบ้าน ที่ไม่รู้ว่าภิกษุทั้งสองนั้น คือพระอัครสาวก “ พวกเจ้าทั้งหลาย มีตาหามีแววไม่ ”
“ ทำไม่ อยู่ดี ๆ มาว่าพวกเราเช่นนี้หละ ” “ พูดแบบนี้หมายความว่าไง ”
 
พระอัครสาวกออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน
 
พระอัครสาวกออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน
 
     “ ก็ภิกษุสองรูปนั่นไงล่ะ คือพระอัครสาวกที่มาจำพรรษาที่นี่ ” “ จริงรึ ถึงว่าท่าทางท่านทั้งสองไม่ธรรมดาเลย ” “ แล้วทำไม่ ท่านเพิ่งมาบอกพวกเราล่ะ ” “ พวกเรา รีบตาม
ท่านไปดีกว่า ” ชาวบ้านเมื่อทราบเรื่องจึงรีบตามพระอัครสาวก
 
พระโกกาลิกะเก็บความลับไว้ไม่ไหวได้บอกชาวบ้านไปว่าพระอัครสาวกกำลังเดินทางจากไป
 
พระโกกาลิกะเก็บความลับไว้ไม่ไหวได้บอกชาวบ้านไปว่าพระอัครสาวกกำลังเดินทางจากไป
 
     โดยถือเอาเนยใสและน้ำมัน รวมทั้งผ้าเป็นอันมากเพื่อถวายแก่พระอัครสาวกทั้งสอง พระโกกาลิกะนั้นก็ตามไปด้วย เพราะคิดว่าพระอัครสาวกคงไม่รับสิ่งของเหล่านั้น
และคงให้ชาวบ้านมอบให้ตนแทน “ พระคุณเจ้า พวกเรามีตาแต่หามีแววไม่ โปรดให้อภัยพวกเราด้วยเถิด ” 
 
ชาวบ้านต่างตื่นเต้นยินดีที่รู้ว่าตลอดพรรษาพระอัครสาวกได้พำนักอยู่ที่โกกาลิกรัฐ
 
ชาวบ้านต่างตื่นเต้นยินดีที่รู้ว่าตลอดพรรษาพระอัครสาวกได้พำนักอยู่ที่โกกาลิกรัฐ
     
     “ สิ่งของเหล่านี้พวกเรานำมาถวาย โปรดรับเอาไว้เถิด ” (...“ เฮอะ เฮอะ เฮอะ ของพวกนี้ต้องเป็นของเราแน่ ๆ เยอะแยะไปหมดเลย ”…พระโกกาลิกะคิดในใจ) “ เราไม่โทษ
พวกเจ้าหรอก เพราะเราเป็นคนบอกให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับเอง ”

ชาวบ้านรีบนำสิ่งของเพื่อไปถวายต่อพระอัครสาวกทั้งสอง
 
ชาวบ้านรีบนำสิ่งของเพื่อไปถวายต่อพระอัครสาวกทั้งสอง
 
     “ พวกเจ้าทั้งหลาย จงเอาสิ่งของเหล่านี้กลับไปเถิด เราไม่ปรารถนาจะรับสิ่งของใด ๆ ” พระอัครสาวกทั้งสองไม่รับสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวายดั่งที่พระโกกาลิกะคิดไว้
แต่ก็มิได้สั่งให้ถวายแด่ใคร เมื่อพระอัครสาวกทั้งสองจากไปแล้ว
 
พระโกกาลิกะได้เดินตามชาวบ้านด้วยในใจหวังว่าพระอัครสาวกจะมอบสิ่งของนั้นให้แก่ตน
 
พระโกกาลิกะได้เดินตามชาวบ้านด้วยในใจหวังว่าพระอัครสาวกจะมอบสิ่งของนั้นให้แก่ตน
 
     ชาวบ้านจึงนำสิ่งของเหล่านั้นกลับไปด้วย สร้างความไม่พอใจให้แก่พระโกกาลิกะเป็นอันมาก “ หนอย อดเลยเรา มาอาศัยเราอยู่ตั้ง 3 เดือน ไม่คิดจะตอบแทนกันบ้างเลย
ตัวเองไม่รับก็ไม่ยอมบอกให้เรา ”
 
พระอัครสาวกไม่ได้รับสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวายแม้แต่ชิ้นเดียว
 
พระอัครสาวกไม่ได้รับสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวายแม้แต่ชิ้นเดียว
  
     ต่อมาพระอัครสาวกได้มีโอกาสมาหมู่บ้านแห่งนั้นพร้อมด้วยภิกษุ 1,000 รูป พระโกกาลิกะก็ให้การต้อนรับเหมือนเช่นเคย “ เชิญพวกท่านพักกันตามสบายเถิด ” “ ขอบใจท่านมาก
พรุ่งนี้เราจะพาภิกษุทั้งหลายไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ”
 
พระโกกาลิกะคับแค้นใจยิ่งนักที่พระอัครสาวกไม่รับสิ่งของจากชาวบ้านตนก็เลยไม่ได้เช่นกัน    

พระโกกาลิกะคับแค้นใจยิ่งนักที่พระอัครสาวกไม่รับสิ่งของจากชาวบ้านตนก็เลยไม่ได้เช่นกัน
 
     “ เชิญท่านไปด้วยกันกับเราสิ ” “ แน่นอนอยู่แล้ว คราวนี้ชาวบ้านจะได้ถวายของให้เราบ้าง ” พระอัครสาวกและพระโกกาลิกะพร้อมด้วยภิกษุ 1,000 รูป ติดตาม
ไปเยี่ยมชาวบ้านในหมู่บ้าน พวกอุบาสกเหล่านั้นพากันต้อนรับด้วยเภสัชและเครื่องนุ่งห่ม

พระอัครสาวกได้เดินทางมายังโกกาลิกรัฐพร้อมด้วยภิกษุอีก 1,000 รูป
 
พระอัครสาวกได้เดินทางมายังโกกาลิกรัฐพร้อมด้วยภิกษุอีก 1,000 รูป
  
     แต่ก็ไม่ได้ถวายแก่พระโกกาลิกะอีก จึงทำให้ท่านถึงกับทนไม่ไหว ด่าตัดพ้อพระเถระทันที “ พวกท่านนี่ เป็นตัวขัดลาภข้าจริง ๆ ทำไมชาวบ้านถวายสิ่งของ
แก่พวกท่านกลับไม่ถวายเจ้าอาวาสอย่างข้า ”
 
ชาวบ้านได้น้อมถวายเภสัชและเครื่องนุ่งห่มแก่พระอัครสาวกและภิกษุอีก 1,000 รูป
 
ชาวบ้านได้น้อมถวายเภสัชและเครื่องนุ่งห่มแก่พระอัครสาวกและภิกษุอีก 1,000 รูป
 
     “ ใจเย็นสิท่าน เรื่องนี้ตามแต่ศรัทธาของชาวบ้าน พระอัครสาวกไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย ” “ ข้าไม่สนหรอก ครั้งก่อนข้าก็ไม่ได้อะไร คราวนี้ข้าก็ไม่ได้อีก เพราะพวกท่านนั่นแหละ ”
พระอัครสาวกกลัวว่าพระโกกาลิกะจะบาปมากไปกว่านี้ จึงรีบพาบริวารจากไปทันที
 
พระโกกาลิกะได้ตัดพ้อต่อพระอัครสาวกในเรื่องที่ตนไม่ได้รับของถวายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
 
พระโกกาลิกะได้ตัดพ้อต่อพระอัครสาวกในเรื่องที่ตนไม่ได้รับของถวายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
 
     เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องว่าเจ้าอาวาสเป็นต้นเหตุให้พระอัครสาวกจากไป จึงสั่งให้ท่านไปนิมนต์พระอัครสาวกกลับมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไล่ไม่ให้ท่านอยู่วัดนี้อีกต่อไป
“ ท่านทำให้พระอัครสาวกจากไป ” “ ใช่ ๆ ไม่อย่างนั้น พวกเราจะไม่ให้ท่านอยู่วัดนี้อีกต่อไป ”

พระอัครสาวกตัดสินใจพาภิกษุทั้ง 1,000 รูปเดินทางออกจากวัดที่พำนักของพระโกกาลิกะ
 
พระอัครสาวกตัดสินใจพาภิกษุทั้ง 1,000 รูปเดินทางออกจากวัดที่พำนักของพระโกกาลิกะ
 
     “ ได้ ๆ พวกเจ้าใจเย็น ๆ สิ เดี๋ยวข้าไปตามพวกท่านเอง ” พระโกกาลิกะรีบตามขบวนพระอัครสาวกไป แต่ก็ไม่ทันไม่สามารถพาพระอัครสาวกกลับมาได้ จึงถูกชาวบ้าน
ไล่ออกจากวัด สร้างความเจ็บแค้นให้ท่านอย่างมาก
 
ชาวบ้านได้พากันต่อว่าพระโกกาลิกะที่เป็นเหตุให้พระอัครสาวกต้องเดินทางจากไป
 
ชาวบ้านได้พากันต่อว่าพระโกกาลิกะที่เป็นเหตุให้พระอัครสาวกต้องเดินทางจากไป
 
     “ พวกเราไม่ต้องการให้ท่านอยู่ในวัดนี้อีกแล้ว จงไปเสียเถอะ ” “ พวกเราไม่เคารพศรัทธาท่านอีกแล้ว ไปสะดี ๆ อย่าให้พวกเราต้องใช้กำลัง ” “ วัดบ้านนอก
ชาวบ้านหน้าโง่ แบบนี้ข้าไม่อยู่ก็ได้ ”
 
ชาวบ้านได้ขับไล่พระโกกาลิกะออกจากวัดเหตุเพราะไม่สามารถตามพระอัครสาวกกลับมาได้
 
ชาวบ้านได้ขับไล่พระโกกาลิกะออกจากวัดเหตุเพราะไม่สามารถตามพระอัครสาวกกลับมาได้
 
     พระโกกาลิกะโกรธแค้นพระอัครสาวกเป็นอย่างมาก เมื่อถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากวัด จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระศาสดา แล้วตำหนิพระอัครสาวกให้พระพุทธองค์ฟัง
“ พระอัครสาวก เลือกที่รักมักที่ชัง รับของที่ชาวบ้านถวาย แต่ไม่ยอมแบ่งให้ข้าเลยพระเจ้าข้า ”

พระโกกาลิกะมีความโกรธแค้นพระอัครสาวกเป็นอย่างมากที่ทำให้ตนถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากวัด
 
พระโกกาลิกะมีความโกรธแค้นพระอัครสาวกเป็นอย่างมากที่ทำให้ตนถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากวัด
 
     " โกกาลิกะเธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย จงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ” “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์มัวเชื่อพระอัครสาวกของพระองค์ แท้จริงแล้ว
พวกนี้ล้วนทุศีลทั้งนั้น ” พระศาสดาทรงตรังห้ามถึง 3 ครั้ง
 
พระโกกาลิกะได้กล่าวหาว่าร้ายพระอัครสาวกทั้งสองต่อหน้าพระพุทธองค์
 
พระโกกาลิกะได้กล่าวหาว่าร้ายพระอัครสาวกทั้งสองต่อหน้าพระพุทธองค์
 
     พระโกกาลิกะก็คงกล่าวอยู่อย่างนั้น พระองค์จึงลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย ทันใดนั้นทั่วร่างพระโกกาลิกะก็เกิดตุ่มประมาณเท่าเมล็ดผักกาด ค่อย ๆ โตเท่าผลมะตูมสุก แล้วแตกออก
มีน้ำเหลืองและเลือดไหลโทรมกาย ด้วยผลกรรมจากการให้ร้ายพระอัครสาวก

ร่างกายพระโกกาลิกะได้เกิดตุ่มเท่าผลมะตูมสุกแล้วแตกออกมีเลือดและหนองไหลโทรมกาย
 
ร่างกายพระโกกาลิกะได้เกิดตุ่มเท่าผลมะตูมสุกแล้วแตกออกมีเลือดและหนองไหลโทรมกาย
 
      “ โอ้ย ๆ ๆ ๆ นี่มันอะไรกันนี่ ทำไมอยู่ดี ๆ มีตุ่มขึ้นตามตัวของข้า อู้ย ๆ มันโตจนแตกแล้ว ปวดเหลือเกิน ” พระโกกาลิกะปวดแสบไปทั้งตัว จนทนไม่ไหว ต้องนอนอยู่
ณ ซุ้มประตูพระเชตวัน เวลานั้นตุทีพรหมพระอุปัชฌาย์ของพระโกกาลิกะทราบเรื่อง

พระโกกาลิกะได้พักหลับนอนอยู่ ณ ซุ้มประตูพระเชตวัน
 
พระโกกาลิกะได้พักหลับนอนอยู่ ณ ซุ้มประตูพระเชตวัน
 
      จึงเดินทางมาจากพรหมโลกเพื่อเตือนสติศิษย์ของตน แต่พระโกกาลิกะกลับไม่ฟัง ซ้ำยังด่าว่าตุทีพรหมอีกด้วย “ โกกาลิกะเจ้าทำกรรมหยาบคายนัก จงกลับใจเสียเถิด ”
“ ท่านนั้นแหละ พระศาสดาบอกข้าว่า ท่านเป็นพระอนาคามีแล้วมิใช่รึ ทำไมถึงยังมายุ่งในเรื่องในโลกมนุษย์อีก
 
ตุทีพรหมเดินทางมาจากพรหมโลกเพื่อเตือนสติศิษย์ของตน
 
ตุทีพรหมเดินทางมาจากพรหมโลกเพื่อเตือนสติศิษย์ของตน
 
     กลับพรหมโลกของท่านไปเถิด ” เมื่อไม่สามารถสั่งสอนศิษย์ได้ ตุทีพรหมจึงกลับไปยังพรหมโลก ฝ่ายภิกษุโกกาลิกะก็ตาย แล้วไปเกิดในปทุมนรก ท้าวสหัมบดีพรหม
จงนำความนี้กราบทูลแด่พระตถาคต พระศาสดาตรัสเล่าแก่เหล่าสาวก
 
โกกาลิกะได้ตายไปด้วยความเจ็บปวดและไปเกิดในปทุมนรกทันที
 
โกกาลิกะได้ตายไปด้วยความเจ็บปวดและไปเกิดในปทุมนรกทันที
 
      พวกภิกษุก็พากันสนทนาในโรงธรรมสภาว่าถึงเรื่องนี้ “ นี่ นี่ นี่ พวกท่านรู้เรื่องที่พระโกกาลิกะ ด่าพระอัครสาวกหรือเปล่า ” “ รู้สิ กรรมแท้ ๆ ต้องลงนรกเพราะปากแท้ ๆ ”
“ ดูกรภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่โกกาลิกะถูกถ้อยคำกำจัดเสีย
 
ในอดีตกาล ณ นครพาราณสี
 
ในอดีตกาล ณ นครพาราณสี
 
     เสวยทุกข์เพราะปากของตน แม้ในกาลก่อนก็เสวยทุกข์เพราะปากของตนมาแล้วเหมือนกัน ” พระศาสดาตรัสแก่เหล่าสาวกแล้ว จึงนำอดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีอำมาตย์คู่ใจคนหนึ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้มีพระดำรัสมาก
 
พระเจ้าพรหมทัตและอำมาตย์คู่ใจเสด็จไปยังพระราชอุทยาน
 
พระเจ้าพรหมทัตและอำมาตย์คู่ใจเสด็จไปยังพระราชอุทยาน
 
     อำมาตย์จึงคิดหาวิธีให้พระราชาตรัสให้น้อยลง วันหนึ่งพระราชาเสด็จไปยังพระราชอุทยาน แล้วประทับนั่งบนแผ่นหินใต้ต้นมะม่วง “ ที่นี่ช่างสงบร่มเย็นดีนะท่านอำมาตย์ ”
“ พระเจ้าข้า ” ณ ต้นมะม่วงนั้นเอง มีแม่นกดุเหว่าวางไข่ของตนไว้ในรังการังหนึ่งแล้วไปเสีย นางกาก็ประคบประหงมฟองไข่นกดุเหว่านั้น
 
แม่กาได้ฟักไข่ของตนโดยไม่รู้ว่ามีไข่ของนกดุเหว่ารวมอยู่ด้วย
 
แม่กาได้ฟักไข่ของตนโดยไม่รู้ว่ามีไข่ของนกดุเหว่ารวมอยู่ด้วย
 
     นางกาสำคัญว่าไข่นั้นเป็นของตน จึงกกไข่นั้นจนฝักเป็นตัว แล้วเฝ้าเลี้ยงดูลูกนกเป็นอย่างดี ทุกวันนางกาจะต้องคาบอาหารมาให้ลูกนกนั้น “ กินเยอะ ๆ นะจ๊ะ ลูกแม่
เจ้าจะได้โตไวไว ” ลูกนกดุเหว่านั้นขนปีกยังไม่งอก ก็ส่งเสียงร้องเป็นเสียงดุเหว่า 
 
แม่กาได้หาอาหารมาป้อนให้ลูกๆ ของตนในทุกๆ วัน
 
แม่กาได้หาอาหารมาป้อนให้ลูกๆ ของตนในทุกๆ วัน
 
     ในเวลาอันไม่ควร เมื่อนางกาได้ยินเสียงร้อง ก็รู้ว่าไม่ใช่ลูกของตน ก็โกรธแค้นจึงตีลูกนกนั้น ด้วยจะงอยปากให้ตายตกไปจากรัง “ เอ้ ทำไม่ลูกเราร้องเสียงแปลก ๆ นี่
หนอย นี่มันลูกนกดุเหว่านี่น่า หลอกเราได้ หึ ตายสะเถอะ นี่แน่ะ ๆ ๆ ”
 
แม่กาได้จิกตีลูกนกดุเหว่าจนตายเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนโดยฟังจากเสียงร้องที่ตนได้ยิน
 
แม่กาได้จิกตีลูกนกดุเหว่าจนตายเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนโดยฟังจากเสียงร้องที่ตนได้ยิน
 
     เมื่อนางกาจิกตีลูกนกดุเหว่าจนตายแล้ว ก็เขี่ยซากลูกนกตกลงมาใกล้พระบาทของพระราชา พระราชาเห็นเหตุการณ์นั้น จึงมีรับสั่งถามอำมาตย์ ถึงที่มาของเรื่องนี้
“ ท่านอำมาตย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ” อำมาตย์คิดว่า จะใช้เรื่องนกดุเหว่านี้ เป็นเครื่องเตือนสติพระราชาให้ตรัสน้อยลง
 
ซากลูกนกดุเหว่าได้ตกลงมาข้างแท่นที่พระราชาทรงประทับอยู่
 
ซากลูกนกดุเหว่าได้ตกลงมาข้างแท่นที่พระราชาทรงประทับอยู่
 
     “ ข้าแต่มหาราช ขึ้นชื่อว่าคนปากกล้า พูดมากในกาลไม่ควรพูด ย่อมได้ทุกข์เข็ญปานนี้ ลูกนกดุเหว่านี้ เจริญเติบโตได้เพราะนางกา ปีกยังไม่ทันแข็ง ก็ร้องเป็นเสียงดุเหว่า
ในเวลาไม่ควรร้อง เมื่อนางการู้ว่าลูกนกดุเหว่านั้นไม่ใช่ลูกตน จึงตีด้วยจะงอยปากให้ตายตกลงมา
 
อำมาตย์ได้ทูลให้ข้อคิดต่อพระราชาจากเหตุการณ์ของแม่กาและลูกนกดุเหว่า
 
อำมาตย์ได้ทูลให้ข้อคิดต่อพระราชาจากเหตุการณ์ของแม่กาและลูกนกดุเหว่า
 
     จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม พูดมากในกาลไม่ควรพูด ย่อมได้ทุกข์เข็ญปานนี้ ” “ ที่ท่านพูดมานั้น เราเข้าใจแล้ว ขอบใจท่านมาก ” พระราชาทรงสดับคำของอำมาตย์แล้ว
ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้มีพระดำรัสพอประมาณ และทรงปูนบำเหน็จยศพระราชทานแก่อำมาตย์นั้นให้ใหญ่โตกว่าเดิม พระศาสดาครั้นทรงนำพระเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
 
ลูกนกดุเหว่าในกาลนั้น ได้มาเป็นพระโกกาลิกะ
ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล


รับชมคลิปวิดีโอโกกาลิกชาดก ชาดกว่าด้วย พูดในกาลที่ควรพูด
ชมวิดีโอโกกาลิกชาดก ชาดกว่าด้วย พูดในกาลที่ควรพูด   Download ธรรมะโกกาลิกชาดก ชาดกว่าด้วย พูดในกาลที่ควรพูด
 
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
มัจฉทานชาดก ชาดกว่าด้วยการให้ข้าวเป็นทานแก่ปลามัจฉทานชาดก ชาดกว่าด้วยการให้ข้าวเป็นทานแก่ปลา

สาลิยชาดก ชาดกว่าด้วยหมอผู้โชคร้ายสาลิยชาดก ชาดกว่าด้วยหมอผู้โชคร้าย

ผลชาดก ชาดกว่าด้วยความสามารถในการดูผลไม้ผลชาดก ชาดกว่าด้วยความสามารถในการดูผลไม้



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

นิทานชาดก 500 ชาติ