สสปัณฑิตชาดก ชาดกว่าด้วยผู้สละชีวิตเป็นทาน


[ 17 ก.พ. 2563 ] - [ 18279 ] LINE it!

ชาดก 500 ชาติ

สสปัณฑิตชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้สละชีวิตเป็นทาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ นครสาวัตถี

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ นครสาวัตถี
  
     พุทธกาลสมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์พระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาได้เสด็จาริก ณ สาวัตถีนครเพื่อเผยแพร่คำสอนในหลักธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงตรัสรู้
ให้ชาวเมืองได้ซึมซับนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตด้วยความผาสุก ทุกหนแห่งที่พระพุทธองค์เสด็จไปต่างสงบร่มเย็น ภายใต้ร่มพุทธธรรม
 
กุฎุมพีผู้หนึ่งได้ให้บริวารจัดเตรียมเครื่องบริขารเพื่อถวายแด่คณะสงฆ์
 
กุฎุมพีผู้หนึ่งได้ให้บริวารจัดเตรียมเครื่องบริขารเพื่อถวายแด่คณะสงฆ์
 
     ในกาลนั้นมีกุฎุมพีผู้หนึ่งในนครสาวัตถี เลื่อมใสศรัทธาในคำสอนขององค์พระศาสดายิ่งนัก กุฎุมพีผู้นี้ตระเตรียมการถวายเครื่องบริขารทุกอย่างแก่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธองค์เป็นประทาน
“ เราต้องจัดเตรียมเครื่องทานทั้งหลายให้พร้อมเพรียง เร่งมือกันหน่อยนะพวกเจ้า ตั้งใจจัดเตรียมกันให้ดี ๆ ล่ะจะได้บุญกันถ้วนทั่วทุกคน ”
 
กุฎุมพีได้นิมนต์พระสงฆ์ให้พำนักในมณฑปที่ตนสร้างไว้
 
กุฎุมพีได้นิมนต์พระสงฆ์ให้พำนักในมณฑปที่ตนสร้างไว้
 
     กุฎุมพีผู้นี้ได้จัดสร้างมณฑปที่ประตูเรือนเพื่อนิมนต์ภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานประทับในบวรอาสน์ในมณฑปที่จัดแจงไว้นั้น จากนั้นจึงได้ถวายทานอันประณีตมีรสเลิศต่าง ๆ
แล้วยังได้นิมนต์ฉันอีก ๗ วัน “ ข้าแต่องค์พระศาสดา ข้าพระองค์ได้จัดเตรียมทานอันประณีตต่าง ๆ ไว้ถวายแล้วขอรับ ตลอด ๗ วันนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้ถวายทานให้แก่องค์พระศาสดา
และภิกษุสงฆ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”

กุฎุมพีได้น้อมถวายทานอันประณีตตลอด ๗ วัน
 
กุฎุมพีได้น้อมถวายทานอันประณีตตลอด ๗ วัน
 
      พระพุทธองค์ทรงรับการถวายของกุฎุมพีที่เขาตั้งใจไว้ดีแล้ว เมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ ๗ การถวายบริขารทั้งปวงแก่ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานนั้นก็เสร็จสิ้น หลังจากเสร็จภัตกิจแล้ว
เนื่องด้วยเห็นในความตั้งใจจริงของกุฎุมพีผู้นี้ที่ศรัทธาและมีจิตใจดีงาม ก่อนที่พระศาสดาจะกระทำอนุโมทนา จึงได้ตรัสแก่กุฎุมพีด้วยความเมตตาว่า “ ดูกรอุบาสก ควรแล้วที่ท่านจะกระทำปีติโสมนัส
เนื่องว่าท่านนี้เป็นวงศ์ของบัณฑิตในสมัยก่อนทั้งหลาย
 
พระศาสดาทรงตรัสกับกุฎุมพีในเรื่องของการบริจากทาน
 
พระศาสดาทรงตรัสกับกุฎุมพีในเรื่องของการบริจากทาน
 
      ด้วยว่าบัณฑิตในสมัยก่อนทั้งหลายนั้นได้บริจาคชีวิตแก่เหล่ายาจกมาถึงเฉพาะหน้า แม้แต่ชีวิตของตนก็ได้ให้ไปแล้ว ” จากนั้นองค์พระศาสดาจึงทรงระลึกชาติ ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ
ตรัสเล่า สสปัณฑิตชาดก เป็นพุทธโอวาท แก่กุฎุมพีและเหล่าพุทธสาวกทั้งหลายดังนี้ ในอดีตกาลวาระที่พระเจ้าพรหมทัตปกครองนครพาราณสีอย่างผาสุกด้วยทศพิตรราชธรรม
 
พระศาสดาทรงตรัสเล่า สสปัณฑิตชาดก แก่กุฎุมพีและเหล่าสาวกทั้งหลาย
 
พระศาสดาทรงตรัสเล่า สสปัณฑิตชาดก แก่กุฎุมพีและเหล่าสาวกทั้งหลาย
 
     กาลนั้นพระโพธิสัตว์ก็ได้กำเนิดเป็นพญากระต่าย อาศัยอยู่ในป่า โดยอาศัยอยู่ร่วมกับสหายอีก ๓ ตัว ก็คือ ลิง สุนัขจิ้งจอกและนาก “ ว่าอย่างไรกันบ้างละ ท่านลิง ท่านสุนัขจิ้งจอก ท่านนาก
ช่วงนี้ป่าอุดมสมบูรณ์ร่มรื่นจริง ๆ นะ พวกท่านสบายดีกันหรือเปล่าละ ” “ เจี๊ยก ๆ ๆ ๆ เราสบายดี ท่านเองก็ดูอ้วนท้วนแข็งแรงดีเหมือนกันนะท่านกระต่ายสหายรัก ” “ ส่วนของข้าไม่ไหวเลย
ที่อยู่อาศัยของข้าช่วงนี้ร้อน นอนไม่ค่อยหลับเลย ”
 
พญากระต่ายโพธิสัตว์กับสหาย ๓ ตัว คือ ลิง นาก สุนัขจิ้งจอก
 
พญากระต่ายโพธิสัตว์กับสหาย ๓ ตัว คือ ลิง นาก สุนัขจิ้งจอก
 
     “ งั้นมานอนริมน้ำกับข้าไหมละท่าน หรือจะไปนอนในน้ำก็ได้นะ ท่านสุนัขจิ้งจอก รับรองเย็นสบาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” “ เป็นเล่นไป เดี๋ยวข้าก็จมน้ำตายพอดี ” “ ท่านนี่ก็ จริง ๆ เล้ย เฮ้อ ต่อไปใครจะ
เป็นเพื่อนคุยกับท่านละ ” สหายรักทั้ง ๔ นี้ เป็นสัตว์ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม โดยเฉพาะพญากระกระต่าย ตกเย็นทุกครั้ง ก็มักจะมาพบปะกันเพื่อฟังโอวาทจากพญากระต่ายอยู่เสมอ
อยู่มาวันหนึ่ง พญากระต่ายมองดูดวงจันทร์ก็รู้ว่า วันรุ่งขึ้นคือวันอุโบสถ

เหล่าภิกษุสงฆ์ได้พากันชมสวนผลไม้ของท่านคหบดี
 
เหล่าภิกษุสงฆ์ได้พากันชมสวนผลไม้ของท่านคหบดี
     
     เมื่อทราบเช่นนั้นพญากระต่ายจึงได้ให้โอวาทแก่สหายสัตว์ทั้ง ๔ ว่า “ พวกท่านทั้งหลายวันนี้เราจงมาสมาทานศีล รักษาอุโบสถกันเถิด เพราะมีบุญกุศลมาก ฉะนั้นท่านจงเตรียมอาหารกันไว้
เพื่อไว้แบ่งปันผู้ที่มาขอทานเถิด ” “ ได้สิ เมื่อท่านกระต่ายว่าอย่างนั้น ข้าก็ไม่ขัด ” “ ได้เลย ข้าเอาด้วย ” “ เรื่องศีลเรื่องธรรม พวกเราไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว ” ทั้ง ๓ เมื่อรับคำแล้วจึงพากันกลับไปยัง
ที่อยู่ของตน เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นต่างก็พากันออกหาอาหารเพื่อเก็บไว้ให้ทาน ดั่งที่พญากระต่ายสหายรักแนะนำ

คนสวนของท่านคหบดีได้ถวายความรู้ในเรื่องการดูแลสวนผลไม้ของตนแด่เหล่าภิกษุสงฆ์
 
คนสวนของท่านคหบดีได้ถวายความรู้ในเรื่องการดูแลสวนผลไม้ของตนแด่เหล่าภิกษุสงฆ์
 
      นากนั้นตื่นแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าไปยังฝั่งแม่น้ำคงคา ขณะนั้นพรานเบ็ดคนหนึ่งตกปลาตะเพียนได้ถึง ๗ ตัว ก่อนที่จะนำเอาเถาวัลย์มาร้อยหัวปลา แล้วขุดดินกลบฝังก่อนที่จะข้ามไปทางใต้ของแม่น้ำ
เพื่อตกปลาต่อไป “ ถือไปก็แกะกะเปล่า ๆ มันจะแย่เอา ฝังไว้ตรงนี้ก่อนแล้วกัน ตกปลาเสร็จเดี๋ยวค่อยกลับมาเอา ” เมื่อนากออกหาอาหารผ่านมายังบริเวณนั้น และด้วยสัญชาตญาณของสัตว์
มีประสาทสัมผัสรับกลิ่นที่ว่องไว
 
เหล่าภิกษุสงฆ์ต่างพากันกล่าวขานชื่นชมคนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดี
 
เหล่าภิกษุสงฆ์ต่างพากันกล่าวขานชื่นชมคนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดี
 
     จึงได้กลิ่นคาวปลาที่ฝังอยู่ใต้ดิน ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ  จึงลงมือขุดพื้นดิน คุยเอาปลาทั้ง ๗ ตัว ที่ถูกฝังขึ้นมา “ ฮึ ฮึ กลิ่นแรงแฮะ ต้องอยู่ตรงนี้แน่ ๆ เลย ” เมื่อขุดไปได้สักพัก นากก็พบปลา
ซ่อนอยู่ใต้ดินจริง ๆ แต่เพื่อความแน่ใจว่าปลานี้ไม่มีเจ้าของ นากจึงส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณ ๓ ครั้ง เพื่อให้เจ้าของปลาได้ยิน “ โอ้โห เจอแล้วมีตั้ง ๗ ตัวแน่ะ แต่เอ้ ปลาใครละนี่ เราลองร้องเรียกดู
ดีกว่า ถ้าไม่มีใครแสดงตนก็ถือว่าปลานี้ไม่มีเจ้าของก็แล้วกัน เขาจะได้มาหาว่าเราเป็นขโมย อ้าก อ้าก อ้าก ”
 
คนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดีสามารถบอกอายุ สี กลิ่น ขนาด ระยะเวลาของผลไม้ที่ตนปลูกได้ทุกประเภท
 
คนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดีสามารถบอกอายุ สี กลิ่น ขนาด ระยะเวลาของผลไม้ที่ตนปลูกได้ทุกประเภท
  
     เมื่อส่งเสียงร้องเรียกถึง ๓ ครั้งแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดแสดงตนว่าเป็นเจ้าของปลา นากจึงตัดสินใจคาบปลาทั้ง ๗ ตัวไปเก็บไว้ที่รังของตน “ อือ ปลานี้ คงจะไม่มีเจ้าของแน่แท้แล้วล่ะ งั้นเราก็คาบ
กลับไปเก็บไว้ที่รังก่อนดีกว่า ระหว่างนี้เราจะได้ถือศีลไปด้วยเลย ” ส่วนทางฝ่ายสุนัขจิ้งจอกเองก็ตระเวนหาเหยื่อเช่นกัน จนกระทั่งไปพบกับกระท่อมของคนเฝ้านาคนหนึ่งเข้า
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำอดีตนิทาน ผลชาดก มาตรัสเล่าแก่เหล่าภิกษุสงฆ์    

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำอดีตนิทาน ผลชาดก มาตรัสเล่าแก่เหล่าภิกษุสงฆ์
 
     สุนัขจิ้งจอกจึงเดินเข้าไปสำรวจหมายจะหาอาหารแล้วก็พบเนื้อย่าง ๒ ไม้ เหี้ย ๑ ตัว และหม้อนมส้ม ๑ หม้อ “ เอ้ อาหารเหล่านี้มันมีเจ้าของหรือเปล่าหนอ สุ่มสี่สุ่มห้าหยิบไปถ้าจะไม่ดีแน่เลย
ลองร้องเรียกหาเจ้าของหน่อยก็แล้วกัน ” เพื่อความแน่ใจว่าอาหารเหล่านี้ไม่มีเจ้าของ สุนัขจิ้งจอกจึงส่งเสียงร้องขึ้นมา ๓ ครั้ง เผื่อว่าเจ้าของจะได้ยิน จะได้รีบมาแสดงตน

นายกองหนุ่มคุมเกวียนบรรทุกสินค้าจากพาราณสีไปยังต่างถิ่น
 
นายกองหนุ่มคุมเกวียนบรรทุกสินค้าจากพาราณสีไปยังต่างถิ่น
  
     เมื่อเห็นว่าไม่มีเจ้าของมาแสดงตัว สุนัขจิ้งจอกจึงคาบอาหารที่พบในกระท่อมกลับไปไว้ยังพุ่มไม้รังของตนและเก็บไว้กินเมื่อถึงเวลา จากนั้นก็นอนถือศีล ส่วนทางฝ่ายลิงก็มุ่งหน้าเข้าไปในป่า
เพื่อเก็บมะม่วงมาไว้ยังพุ่มไม้รังของตน เก็บไว้กินเมื่อถึงเวลา แล้วก็นอนจำศีลเช่นกัน “ อึม เก็บมะม่วงไว้สะขนาดนี้คงพอแล้ว กลับรังไปจำศีลได้แล้วเรา ”
 
นายกองหนุ่มสั่งหยุดขบวนเกวียนเมื่อเข้าเขตป่าที่มีพิษ
 
นายกองหนุ่มสั่งหยุดขบวนเกวียนเมื่อเข้าเขตป่าที่มีพิษ
 
     ทางด้านพญากระต่ายกลับไม่ได้ออกไปหาอาหารมาตุนไว้เช่นสัตว์อื่น ๆ ได้แต่นอนจำศีลอยู่ในรังของมัน “ อืม เราเองจะไปเก็บหญ้าแพรกมาตุนไว้ให้ทาน ก็คงจะไม่มีใครอยากได้หญ้าแพรก
ไปกินหรอก จะเป็นงาหรือว่าข้าวสาร เราเองก็ไม่มี ถ้ามียาจกมาขอทานจากเรา เราจะให้เนื้อของเรานี่แหละแก่ยาจกไป ” ด้วยอานุภาพของศีลที่พญากระต่ายได้ทำไว้นี่เอง
 
นายกองหนุ่มได้ตักเตือนและบอกกล่าวถึงอันตรายซึ่งจะเกิดจากป่าที่มีพิษ
 
นายกองหนุ่มได้ตักเตือนและบอกกล่าวถึงอันตรายซึ่งจะเกิดจากป่าที่มีพิษ
 
     ได้ทำให้บัลลังก์ของท้าวสักกะนั้นเร้าร้อน ด้วยเหตุนี้ท้าวสักกะจึงได้ลงมาเพื่อพิสูจน์ศีลของสัตว์ทั้ง ๔  “ เราต้องทดลองจิตใจของพญากระต่ายกับพวกพ้องดูดีกว่า ว่าจะมั่นคงในศีลสักแค่ไหน ”
ทันทีที่ลงมาถึงโลกมนุษย์ ท้าวสักกะในร่างของพราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของนากก่อน เมื่อเห็นพราหมณ์ยืนอยู่ที่หน้ารังของตน นากจึงถามกลับไปว่า

ขบวนเกวียนได้ออกเดินทางต่อจนเลยเขตป่าที่มีพิษ
 
ขบวนเกวียนได้ออกเดินทางต่อจนเลยเขตป่าที่มีพิษ
 
     “ ท่านพราหมณ์ ท่านมาเพื่อต้องการสิ่งใดหรือ ” “ อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอกท่านนาก เราเพียงต้องการอาหารบางส่วนเท่านั้น แล้วแต่ท่านจะกรุณาเถิด ” “ ได้สิท่านพราหมณ์ ตอนนี้ข้ามีปลาตะเพียน
อยู่ ๗ ตัว ข้ามีอยู่เท่านี้ เชิญท่านรับประทาน แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิดไม่ต้องเกรงใจ ”
 
ขบวนเกวียนได้เดินทางต่อจนเข้าใกล้เขตหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสวนมะม่วง
 
ขบวนเกวียนได้เดินทางต่อจนเข้าใกล้เขตหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสวนมะม่วง
 
     หลังจากรับปลาจากนากแล้ว ท้าวสักกะในร่างของพราหมณ์ก็ตรงไปยังรังของสุนัขจิ้งจอกต่อทันที เมื่อสุนัขจิ้งจอกเห็นพราหมณ์ยืนอยู่ จึงถามออกไปว่า “ มีสิ่งใดให้เราช่วยหรือท่านพราหมณ์
บอกมาเถิดเรายินดี ” “ เราเพียงต้องการอาหารเท่านั้นท่านสุนัขจิ้งจอก จะมากน้อยก็แล้วแต่ท่านจะกรุณาเถิด ” “ ไม่มีปัญหา นี่เลยท่านพราหมณ์ ข้ามีเนื้อย่าง ๒ ไม้ เหี้ย ๑ ตัว แล้วก็นมส้ม ๑ หม้อ
 
นายกองหนุ่มได้เตือนขบวนเกวียนอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงสวนมะม่วงที่มีพิษ
 
นายกองหนุ่มได้เตือนขบวนเกวียนอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงสวนมะม่วงที่มีพิษ
 
     ข้าไปเอามาจากกระท่อมของคนรักษานาเมื่อคืนโน่น เท่านี้คงพอทำให้ท่านอิ่มอยู่หรอกนะ เอาไปเถอะ ข้ายกให้ท่านหมดเลย แล้วเชิญท่านเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าตามสมควรเถิด ” “ ขอบคุณท่านมาก
ท่านสุนัขจิ้งจอกผู้ใจบุญ ” หลังจากได้รับอาหารจากสุนัขจิ้งจอกแล้ว พราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังรังของลิงต่อทันที

สวนมะม่วงมีผลมากมายดกดื่นเต็มต้นแต่ไม่มีร่องรอยของการเก็บเกี่ยว
 
สวนมะม่วงมีผลมากมายดกดื่นเต็มต้นแต่ไม่มีร่องรอยของการเก็บเกี่ยว
 
     “ เอ้  ท่านพราหมณ์ มายืนอยู่ตรงหน้ารังเราด้วยเหตุอันใดฤา มีอะไรให้เราช่วยเหลือรึ บอกมาเถิด เจี๊ยก ” “ มิมีสิ่งใดหรอกท่านลิง ข้าเพียงต้องการมาขอแบ่งปันอาหาร เท่านั้น แล้วแต่ท่านจะกรุณาเถิด ”
“ ได้สิท่านพราหมณ์ ข้ามีมะม่วงสุกอยู่ แล้วก็มีน้ำเย็น ๆ เชิญท่านทานตามสะดวกแล้วจะพักผ่อนใต้ร่มไม้อันร่มรื่นแถว ๆ รังเราก็ได้นะ จากนั้นแล้วค่อยเข้าป่า ไปเจริญสมณธรรมเถิดท่านพราหมณ์ ”
 
ผู้ร่วมขบวนเกวียนต่างตื่นตาตื่นใจกับผลมะม่วงที่มีมากมายและน่ารับประทานยิ่งนัก
 
 
ผู้ร่วมขบวนเกวียนต่างตื่นตาตื่นใจกับผลมะม่วงที่มีมากมายและน่ารับประทานยิ่งนัก
 
      “ ขอบคุณมากนะท่านลิง ” จากนั้นพราหมณ์จึงได้มุ่งตรงไปยังรังของพญากระต่าย โดยหมายที่จะไปทดสอบศีลของกระต่ายเช่นกัน “ สัตว์ทั้ง ๓ ตัวนี้ ดำรงอยู่ในศีลดีมาก ต่อไปก็ตาพญากระต่าย
บ้างละนะ ลองดูหน่อยสิ ว่าจะเหมือนสัตว์ทั้ง ๓ หรือเปล่า ” เพียงครู่เดียวพราหมณ์ก็มาถึงหน้ารังของพญากระต่าย “ พราหมณ์ท่านนั้น มีสิ่งใดให้เราช่วยเหลือหรือเปล่า ”
 
บุรุษหนุ่มผู้ตะกละอดใจไม่ไหวได้เก็บมะม่วงโดยที่ไม่สนใจคำเตือนของนายกองเกวียน
 
บุรุษหนุ่มผู้ตะกละอดใจไม่ไหวได้เก็บมะม่วงโดยที่ไม่สนใจคำเตือนของนายกองเกวียน
 
     “ ข้าเพียงแต่ต้องการมาขอบริจาคอาหารจากท่านเท่านั้น จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ท่านจะเห็นกรุณาเถิดนะ ท่านพญากระต่าย ” “ อาหารหรือท่านพราหมณ์ อันตัวเราหนะ ไม่ได้เก็บอาหารไว้ให้หรอก
ข้าวหรือว่างาเราก็ไม่มี เอาอย่างนี้ไหมล่ะท่านพราหมณ์ ท่านย่างเรากินก็ได้ แต่ท่านเป็นผู้มีศีลจะไม่ทำปาณาติบาตนี่น่า อืม ถ้าอย่างนั้นท่านก็จงไปรวบรวมฟืนมาก่อไฟ เสร็จแล้วเราจะกระโดดเข้า
กองไฟย่างตัวเอง
 
บุรุษหนุ่มผู้ตะกละได้กัดกินผลมะม่วงด้วยความหิวกระหาย
 
บุรุษหนุ่มผู้ตะกละได้กัดกินผลมะม่วงด้วยความหิวกระหาย
 
      ให้ท่านทานเนื้อของเราก็แล้วกันนะท่านพราหมณ์ เมื่อเนื้อของเราสุกแล้ว ก็เชิญท่านทาน แล้วก็ค่อยกระทำสมณธรรมก็แล้วกันนะ ” เมื่อท้าวสักกะได้ฟังดังนั้นก็เนรมิตกองไฟขึ้นมา
แล้วบอกให้พญากระต่ายกระโดดเข้าไปในกองไฟที่โหมลุกโชติช่วงนั้น “ ข้าเตรียมไฟไว้พร้อมแล้วท่านกระต่าย ท่านจะทำเยี่ยงไรต่อไปฤา ” “ เราก็จะกระทำตามสัจจะที่ให้ไว้แก่ท่าน
เราจะโดดเข้ากองไฟย่างตัวเองให้สุก เพื่อให้ท่านทานเนื้อของเราไงล่ะ ”
 
พิษของมะม่วงส่งผลทันทีที่มะม่วงผ่านลงถึงท้องของบุรุษผู้ตะกละ
 
พิษของมะม่วงส่งผลทันทีที่มะม่วงผ่านลงถึงท้องของบุรุษผู้ตะกละ
 
      เมื่อพร้อมแล้วกระต่ายก็สะบัดขนตัวเอง ๓ ที เพื่อไล่ให้แมลงต่าง ๆ ที่เกาะขนตัวเองอยู่หลุดไปให้หมด จะได้ไม่ต้องถูกไฟเผาตายตามไปด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจพุ่งเข้าสู่กองไฟอย่างมิเกรงกลัว
มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีรื่นเริงราวกับโลดเล่นอยู่บนวิมานก็มิปาน “ เราได้ทำตามอย่างที่บอกแล้ว เดี๋ยวพอเราสุกแล้วก็ทานเนื้อเราได้ ไม่ต้องเกรงใจนะท่านพราหมณ์ ” แต่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักทันที่ที่
พญากระต่ายกระโจนเข้าสู่กองไฟ กลับพบว่ากองไฟนั้นได้มีความร้อนแม้แต่นิดเดียว
 
บุรุษหนุ่มผู้ตะกละรอดชีวิตได้เพราะยาล้างพิษของนายกองเกวียน
 
บุรุษหนุ่มผู้ตะกละรอดชีวิตได้เพราะยาล้างพิษของนายกองเกวียน
 
    “ เอ้ นี่มันอะไรกันนี่ ทำไมกองไฟที่ท่านพราหมณ์ก่อขึ้นมาถึงได้ไม่มีความร้อนเลยล่ะ แล้วอย่างนี้เนื้อของเราจะสุกได้อย่างไร ท่านพราหมณ์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ” “ เฮอะ ๆ ๆ  ท่านพญากระต่ายเอ๋ย
เรามิใช่พราหมณ์ดอก แท้จริงเราคือท้าวสักกะ เราเนรมิตกายเป็นพราหมณ์เพื่อจะมาทดสอบศีลของท่านเท่านั้นเอง ” “ ท่านท้าวสักกะ นี่ท่านเพียงต้องการทดสอบข้าเท่านั้นหรอกหรือ เป็นอย่างนี้
แล้วไซร้ ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า ถึงปรารถนาของข้า ที่ต้องการจะสละชีวิตให้ท่าน ”
 
หน่วยคุ้มครองแจ้งข่าวกับนายกองเกวียนว่าจับโจรฉกทรัพย์ได้ 2 คน
 
หน่วยคุ้มครองแจ้งข่าวกับนายกองเกวียนว่าจับโจรฉกทรัพย์ได้ 2 คน
 
      “ มิจำเป็นที่ผู้อื่นจะต้องล่วงรู้หรอกท่านพญากระต่าย คุณความดีในการเสียสละชีวิตเพื่อให้ทานของท่านในครั้งนี้จะคงอยู่ปรากฎตลอดไป ” ทันทีที่กล่าวจบท้าวสักกะในร่างของพราหมณ์
ก็ทำการเขียนรูปของพญากระต่ายไว้บนดวงจันทร์ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ในการเสียสละครั้งนี้ให้อยู่สืบไป จากนั้นก็นำพญากระต่ายขึ้นมาจากกองเพลิง ให้นอนพักบนพุ่มไม้อย่างเป็นสุข
ก่อนจะเสด็จกลับไปยังเทวโลก นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สัตว์ทั้ง ๔ ก็บำเพ็ญศีลรักษาอุโบสถสืบไปจนสิ้นอายุขัย
 
     หลังจากพระพุทธองค์ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ก็ทรงประกาศแก่กุฎุมพีและสาวกทั้งหลายว่า 
 
 
 
นากในกาลนั้น กำเนิดเป็น พระอานนท์
สุนัขจิ้งจอก กำเนิดเป็น พระโมคคัลลานะ
ลิง กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
ท้าวสักกะ กำเนิดเป็น พระอนุรุทธ
พญากระต่าย เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

 
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เสยยชาดก ชาดกว่าด้วยคบคนประเสริฐก็ประเสริฐเสยยชาดก ชาดกว่าด้วยคบคนประเสริฐก็ประเสริฐ

กุกกุฏชาดก ชาดกว่าด้วยว่าด้วยผลของการไม่เชื่อง่ายกุกกุฏชาดก ชาดกว่าด้วยว่าด้วยผลของการไม่เชื่อง่าย

กายนิพพินทชาดก ชาดกว่าด้วยความเบื่อหน่ายร่างกายกายนิพพินทชาดก ชาดกว่าด้วยความเบื่อหน่ายร่างกาย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

นิทานชาดก 500 ชาติ