มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - สังฆทานประเสริฐกว่าปาฏิปุคคลิกทาน


[ 18 ม.ค. 2551 ] - [ 18280 ] LINE it!


 
มงคลที่ ๑๕

บำเพ็ญทาน
สังฆทานประเสริฐกว่าปาฏิปุคคลิกทาน

เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มีชีวิตปรารถนาบุญ
บูชาอยู่ กระทำบุญมีอุปธิเป็นผล
ทานที่ให้แล้วในสงฆ์มีผลมาก


        การดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน เร่งรีบ แข่งขันกัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีศิลปะในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข อารมณ์สบายเป็นศิลปะชั้นสูงในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และยังเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างที่เราคาดไม่ถึง เพียงแค่เราทำใจหยุดนิ่งเฉยๆ อย่างสบายๆ ไว้ที่ศูนย์กลางกายภายในตัวเรา ทำไปเรื่อยๆ ด้วยความพอใจ รักษาอารมณ์นี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่ช้าเราจะเข้าถึงอารมณ์สบายอย่างแท้จริง อันจะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงภายใน อารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบาย จะทำให้พบกับความสุขที่สมบูรณ์ กระทั่งได้เข้าถึงพระธรรมกายในที่สุด
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ยชมานสูตร ว่า

    "ยชมานานํ มนุสฺสานํ        ปุญฺญเปกฺขาน ปาณิน
กโรตํ โอปธิกํ ปุญฺญํ        สงฺเฆ ทินฺนํ มหปฺผลํ

        เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มีชีวิตปรารถนาบุญ บูชาอยู่ กระทำบุญมีอุปธิเป็นผล ทานที่ให้แล้วในสงฆ์มีผลมาก"

        พวกเราทั้งหลายเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ เพราะเกิดมาในช่วงที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง มีการขยายความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิรูปเทส คือ ได้อาวาสเป็นที่สบาย บ้านเมืองปราศจากศึกสงคราม ภัยร้ายแรงต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์ ไม่ลำบากในการแสวงหา ผู้คนในประเทศก็ยังมีศีลมีธรรมกันอยู่มาก แต่ดูเหมือนเวลาที่พวกเราติดตามข่าวสารบ้านเมือง จะพบแต่การนำเสนอเรื่องร้อนๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเป็นประจำ ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล หวาดระแวงภัยจนเกินเหตุ

        อันที่จริงแล้ว เรื่องราวดีๆ และคนดีๆ ในประเทศของเรามีมากมาย เพียงแต่ไม่ได้นำมาเสนอให้เป็นข่าว ทั้งที่ข่าวดีๆ และคนดีๆ ควรให้ความสนใจมากกว่า เพื่อใจของผู้รับข่าวสารจะได้เยือกเย็นและสูงขึ้น หากฟังเรื่องรุ่มร้อนก็ร้อนใจ ฟังเรื่องดีๆ ก็สดชื่นเบิกบานสบายใจ เช่นมีกลุ่มคนที่รักเพื่อนร่วมโลก ได้รวมตัวกันทำพิธีเทเหล้าเผาบุหรี่ และตัดสินใจหักดิบ เลิกดื่มเลิกขายสุรายาเสพติดอย่างเด็ดขาด มีหลายท่านเลิกสูบบุหรี่ตลอดชีวิต หลวงพ่อฟังแล้วก็ปีติเบิกบานใจตามไปด้วย ที่ผู้กล้าเหล่านี้เป็นวีรบุรุษวีรสตรีที่แท้จริง
 
        กิจกรรมเหล่านี้ได้จัดขึ้นทั่วประเทศแล้ว เพียงแต่ไม่ได้นำมาเสนอให้เป็นข่าวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นบุคคลในประเทศยังถือว่ามีบุคคลเป็นที่สบาย โดยเฉพาะเราได้เกิดมาในบุญเขต คือ มีพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เราสามารถทำบุญกุศลได้อย่างเต็มที่ เพราะบ้านเมืองปราศจากศึกสงครามร้ายแรง จะไปวัดฟังธรรมก็สะดวกสบาย ขึ้นอยู่กับเราจะอาศัยความเป็นผู้มีโชคดีนี้ แสวงหาบุญให้กับตนเองหรือไม่เท่านั้น

        เกี่ยวกับการทำบุญของชาวพุทธในปัจจุบันนี้ หลวงพ่อสังเกตเห็นหลายท่านเที่ยวแสวงหาสถานที่ทำบุญกับพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ โดยตั้งใจว่า จะไปทำบุญกับพระสุปฏิปันโน คือ   ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ เมื่อได้ยินข่าวว่า มีพระอริยเจ้าที่ไหนก็ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเล ข้ามวันข้ามคืนเพื่อจะได้ไปทำบุญกับท่าน เพราะอยากได้บุญมากๆ หลวงพ่อก็ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาอันนี้ด้วย แต่อยากขอแนะนำเกี่ยวกับการทำบุญเพิ่มเติมว่า    เราควรเปิดใจให้กว้างเหมือนแม่น้ำ ที่พร้อมจะให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ มาอาบดื่มกินได้ทุกเวลา ไม่ควรจำเพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง การถวายทานแต่ละครั้ง ควรตั้งกัลยาณจิตให้เป็นสังฆทาน ถวายให้เป็นของกลางแก่สงฆ์ อย่างนี้ได้บุญมากกว่า เพราะเราไม่รู้ว่า รูปไหนเป็นพระอรหันต์ รูปไหนเป็นพระอริยเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก

        *เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถามทารุกัมมิกคฤหบดีว่า "ดูก่อนคฤหบดี ท่านยังทำทานกับภิกษุสงฆ์อยู่หรือไม่" 

        คฤหบดีทูลตอบว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังให้ทานอยู่เป็นประจำ และในการให้ทานนั้น ข้าพระองค์ให้เฉพาะในภิกษุผู้เป็นอรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้ถือการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ไม่ได้ให้กับภิกษุสงฆ์ทั่วไป"

        พระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์จะทำความเห็นของทานบดีท่านนี้ให้ตรง จึงตรัสสอนว่า
 
        "ดูก่อนคฤหบดี ท่านยังเป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดเสียดบุตร ยังทัดทรงดอกไม้ ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ เป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก ว่าภิกษุเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็น   ผู้บรรลุอรหัตตมรรค ท่านไม่ควรให้ทานจำเพาะเจาะจงภิกษุ รูปใดรูปหนึ่ง เพราะทานนั้นจะกลายเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ซึ่งมีอานิสงส์น้อยกว่าการถวายเป็นสังฆทาน

       
ดูก่อนคฤหบดี ถ้าแม้ภิกษุผู้ถือธุดงค์อยู่ป่าเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร หรือบิณฑบาตเลี้ยงชีพเป็นวัตร ยังเป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัวจัด พูดพล่าม มีสติเลอะเลือน ไม่มีสัมปชัญญะ มีใจไม่ตั้งมั่น มีจิตพลุ่งพล่าน ไม่สำรวมอินทรีย์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุรูปนั้นก็สมควรถูกตำหนิติเตียน แม้เทวดาก็ไม่สรรเสริญ
 
        ถ้าภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถือตัว ไม่พูดพล่าม มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีใจตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง สำรวมอินทรีย์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญทั้งจากมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

        ถ้าภิกษุผู้อยู่ใกล้บ้าน เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ไม่ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ ก็ต้องถูกตำหนิเหมือนกัน 
 
        ส่วนภิกษุใดแม้จะพำนักอยู่ที่วัดใกล้บ้าน ไม่ได้เป็นผู้บิณฑบาตเป็นวัตร ไม่ได้สมาทานธุดงควัตร ไม่ได้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร แต่เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน สำรวมอินทรีย์ มีกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ ก็สมควรได้รับการสรรเสริญ ภิกษุรูปนั้นเป็นทักขิไณยบุคคลอันเยี่ยม"

        เมื่อทรงอธิบายให้เข้าใจเช่นนี้แล้ว ทรงตอกย้ำเพิ่มเติมว่า "ดูก่อนคฤหบดี เชิญท่านทำบุญเป็นสังฆทานเถิด เมื่อท่านให้สังฆทาน จิตจักเลื่อมใส ผู้ใดมีจิตเลื่อมใส เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" ครั้นได้ฟังคำแนะนำจากพระพุทธเจ้าแล้ว ทารุกัมมิกคฤหบดีก็ทำตามพุทธโอวาททุกอย่าง ครั้นละโลกก็ได้ไปเสวยสุขในสวรรค์

       เราจะเห็นว่า การที่จะถวายทานจำเพาะเจาะจงพระอริยเจ้า เจาะจงภิกษุผู้อยู่ป่าหรืออยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ไกลๆ  จึงเป็นความคิดที่ยังไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะถือว่าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน แม้จะมีเจตนาดีคืออยากได้บุญมากๆ แต่ถือว่ายังไม่ถูกหลักวิชา ส่วนในขณะที่เราให้ทานโดยไม่จำเพาะเจาะจงนั้น โชคดีว่าได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญคือทำกับผู้ได้เข้าถึงไตรสรณคมน์ ก็ถือว่า เป็นบุญลาภของตัวเรา ดังนั้นอย่ามัวดั้นด้นหาพระอรหันต์หรือพระสุปฏิปันโนให้เสียเวลาเลย บางคนหาทั้งชาติ  ก็ไม่เจอ เพราะปุถุชนไม่สามารถรู้วาระจิตของพระอริยเจ้าได้   มีแต่ผู้รู้กับผู้รู้เท่านั้น ที่รู้ว่าบุคคลใดเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระแท้ทั้งภายนอกและภายใน เอาเป็นว่า พระสงฆ์วัดไหนก็ได้ จะอยู่ป่าเป็นวัตร จะพำนักอยู่ในเมือง หรือตามต่างจังหวัด อยู่วัดหลวงหรือวัดราษฎร์ ก็สามารถเป็นเนื้อนาบุญให้กับเราได้หมด ขอเพียงเราตั้งจิตให้เป็นกลาง ถวายในสงฆ์ทั้งหลาย

        พระพุทธองค์จึงตรัสบอกท่านพระอานนท์ว่า "ดูก่อนอานนท์ เราไม่กล่าวว่า ปาฏิปุคคลิกทานมีผลมากกว่าสังฆทานด้วยปริยายอะไรๆ เลย สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ สงฺโฆ เว ยชตํ มุขํ พระสงฆ์นั่นแล เป็นประมุขของทายกผู้บูชาอยู่ และพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า" 
 
        ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจหลักการทำบุญโดยไม่จำเพาะเจาะจงภิกษุรูปหนึ่งรูปใดเช่นนี้แล้ว ในขณะที่เราให้ทานก็ทำใจให้กว้าง ทำใจของเราให้ใสๆ และทำตนให้บริสุทธิ์ ด้วยการหมั่นทำใจหยุดนิ่งให้ได้ทุกวัน ทำตัวทำใจให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในให้ได้  เราจะได้บุญใหญ่ติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ จนกว่าจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกันทุกคน
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
*มก. ทารุกัมมิกสูตร เล่ม ๓๖ หน้า ๗๓๙ 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - ให้ทานอย่างสัตบุรุษมงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - ให้ทานอย่างสัตบุรุษ

มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - ทำอย่างไรได้อย่างนั้นมงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - ทำอย่างไรได้อย่างนั้น

มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - ทาน คือ ชีวิตมงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - ทาน คือ ชีวิต



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน