ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 192


[ 16 พ.ย. 2552 ] - [ 18273 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 192
 
    จากตอนที่แล้ว ในพระนครปัญจาละนั่นเอง มีนักบวชหญิงคนหนึ่งเป็นบัณฑิต ฉลาดในอรรถและธรรม นามว่า พระแม่เภรี ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าจุลนีในฐานะนักบวชประจำราชสกุล อยู่มาวันหนึ่ง พระแม่เภรีเข้ามาฉันในวังตามปกติ ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว ก็เดินออกจากวังด้วยท่วงทีสำรวม เป็นเวลาพอดีกับที่มโหสถกำลังจะขึ้นเฝ้าพระเจ้าจุลนี
 
    พระแม่เภรีดำริว่า เราจักทดลองดูเสียหน่อยว่า เขาเป็นบัณฑิตหรือมิใช่บัณฑิต จึงแบมือเหยียดออกไปข้างหน้า ความหมายในใจว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงอุปถัมภ์ท่านเป็นอย่างดีหรือไม่”
 
    มโหสถจึงกำมือยื่นให้ มีความหมายว่า “ท่านผู้เจริญ จนถึงบัดนี้ พระองค์ก็ยังมิได้พระราชทานสิ่งใดๆ นอกเหนือจากที่ทรงพระราชทานให้แล้วขอรับ”
 
    พระแม่เภรีจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะ ต้องการสื่อสารว่า “แน่ะบัณฑิต ก็ในเมื่อท่านลำบาก เหตุใดจึงไม่บวชเหมือนอย่างอาตมาเล่า”
 
    มโหสถจึงเอามือลูบท้อง พระแม่เภรีก็รู้อีกเช่นกันว่า บัดนี้มโหสถยังไม่พร้อมที่จะบวช เพราะยังมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูบุตรภรรยา พระแม่เภรีจึงชื่นชมยินดีเป็นอันมากที่ปัญจาลนครได้มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาสถิตอยู่เป็นมิ่งขวัญ
 
    เหตุการณ์ทั้งหมดที่มโหสถได้พบกับพระแม่เภรี ณ ท้องพระลานนั้น ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหล่าบริวารคนสนิทของพระนางนันทาเทวี ทั้งหมดจึงพากันไปเฝ้าพระนางนันทาเทวีถึงพระราชวัง ขณะนั้น พระนางนันทาเทวีแต่งพระองค์เสร็จแล้ว ก็ประทับนั่งเหนือพระแท่น สตรีเหล่านั้นเข้าไปยังพระตำหนักแล้ว ก็รีบถวายบังคมแล้วพลางทูลว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะมากราบทูลเพคะ”
 
    “ฮึ...เจ้ามีเรื่องอะไรกันรึ เกี่ยวข้องกับมโหสถหรือไม่ล่ะ” พระนางทรงซักด้วยความสนพระทัย
 
    “เกี่ยวด้วยแน่นอนเพคะ เมื่อสักครู่นี่เอง พวกหม่อมฉันเฝ้าติดตามดูพฤติกรรมของมโหสถ เห็นมโหสถทักทายพระแม่เภรีด้วยภาษาใบ้ ทำไม้ทำมือกันใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะพูดคุยอะไรกันเลย น่าสงสัยเหลือเกินเพคะ”
 
    “อย่างไรกัน ที่ว่าทำไม้ทำมือน่ะ” พระนางตรัสซักด้วยร้อนพระทัย
สตรีนางหนึ่งรีบทูลว่า “พระแม่เภรีแบมือยื่นไปข้างหน้า ส่วนมโหสถก็กำมือแล้วยื่นออก พอพระแม่เภรียกมือลูบศีรษะ มโหสถก็เอามือลูบท้อง พวกหม่อมฉันตีความหมายไม่ออกจริงๆเพคะ”
 
“หม่อมฉันว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเพคะ ถึงต้องพูดกันด้วยภาษาใบ้ เพื่อมิให้ใครรู้” อีกนางหนึ่งกล่าวเสริม
“นั่นสิ ต้องเป็นเรื่องร้ายแน่ทีเดียว นี่พระแม่เภรีรู้จักกับมโหสถมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือพระแม่เภรีของเราเป็นพวกเดียวกับมโหสถ” พระนางรับสั่งด้วยทรงฉงนพระทัย
“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ เป็นไปได้ไหมเพคะ ที่คนทั้งสองคบคิดกันเพื่อปลงพระชนม์เจ้าเหนือหัวของเรา แล้วครองบัลลังก์เสียเอง”
 
    พระนางทรงตกพระทัย เปล่งพระอุทานขึ้นว่า “พระแม่เภรีน่ะหรือ เป็นไปได้หรือนี่”
 
    “โถ...พระแม่เจ้า...จะไปเอาอะไรกับนักบวชเล่าเพคะ ความมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เข้าใครออกใครดอกนะเพคะ ถึงแม้จะบวชแล้ว แต่ก็มิใช่ว่าจะสละโลกียสุขกันได้ทุกคน ที่บวชแต่กายยังมิได้บวชใจก็มีถมไป หรือไม่พระแม่เภรีก็อาจถือเพศนักบวชบังหน้าก็เป็นได้นะเพคะ”
 
    หญิงนางนั้นยังมิทันจะกล่าวจบ อีกนางหนึ่งก็รีบต่อเติมเสริมความว่า “เห็นจะจริงเพคะ หม่อมฉันว่าพระแม่เภรีน่ะ คงรู้จักกับมโหสถมานานแล้ว และคอยนำเอาความในวัง ไปบอกแก่มโหสถอยู่บ่อยๆก็ได้นะเพคะ ข้าแต่พระแม่เจ้า โดยปกติวิสัยของมนุษย์ เมื่อมีความต้องการก็ย่อมต้องบำบัด เมื่อมีสิ่งเร้าก็ย่อมมีการตอบสนอง มโหสถฉลาดเห็นปานนั้น ต่อให้เป็นพระแม่เภรีก็ตามทีเถอะ มีหรือที่จะไม่ยอมรับข้อเสนอของมโหสถ ในเมื่อต่างคนต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละเพคะ”
 
    พระนางนันทาเทวีสดับดังนั้น ก็ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกำลังทรงตริตรองอะไรสักอย่างหนึ่ง ครั้นแล้วจึงรับสั่งขึ้นว่า “น่าคิดเหมือนกัน มโหสถเห็นจะคิดการใหญ่เป็นแน่ อืม...เราพอจะทราบแล้วล่ะ”
 
    “ทราบอะไรหรือเพคะ” บริวารหญิงทูลถาม
 
“ก็การที่พระแม่เภรีแบมือเหยียดออกไปนั้น คงหมายความว่า “เหตุใดจึงไม่จัดการพระราชาให้ราบเรียบเสียเล่า ต้องปราบเสียให้เลี่ยนเตียนเหมือนฝ่ามือ”
มโหสถกำมือตอบ คงหมายความว่า “จักต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย หากทำหละหลวมไป อาจเป็นเรื่องได้”
แล้วที่พระแม่เภรีลูบศีรษะ ก็คงต้องหมายความว่า “จับดาบแล้วตัดพระเศียรชิงเอาราชสมบัติเสียเลยเป็นไร ทุกอย่างก็จะเป็นอันสิ้นสุด”
แต่ที่มโหสถกลับเอามือลูบท้อง คงจะค้านว่า ต้องตัดกลางลำตัวด้วยถึงจะดี โอ...คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจนัก”
 
    เหล่าหญิงบริวารพากันตกอกตกใจ ทูลถามขึ้นพร้อมกันว่า “แล้วเราควรทำอย่างไรกันดีล่ะเพคะ”
“พวกเจ้าก็จงกราบทูลพระราชาซิ จะได้เป็นความดีความชอบของพวกเจ้า ที่สู้อุตส่าห์สอดส่องป้องกันภัยที่จักมาถึงพระองค์” พระนางตรัสในที่สุด
 
    สตรีทั้งสามนางรับพระเสาวนีย์แล้ว ก็รีบพากันไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี   กราบถวายบังคม แล้วก็ทูลเรื่องราวทั้งหมดตามที่พวกตนได้เห็นมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะแปลความหมายในสิ่งที่พวกตนเห็นเหมือนอย่างที่พระนางนันทาเทวีตรัสไว้ ครั้นแล้วจึงกราบทูลเสริมอีกว่า “ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ขอพระองค์อย่าได้ทรงลังเลพระทัยอยู่เลยเพคะ ทางที่ดีพระองค์ควรจะรีบจัดการฆ่ามโหสถเสียโดยเร็ว เพราะหากทรงชักช้าอยู่ก็จะมิทันการณ์นะ เพคะ”
 
    ส่วนว่าพระเจ้าจุลนีจะทรงหลงเชื่อคำเพ็ดทูลของเหล่าสตรีทั้งสามนางหรือไม่ แล้วพระองค์จะมีวิธีวินิจฉัยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 193ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 193

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 194ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 194

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 195ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 195



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก