ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 193
จากตอนที่แล้ว พระนางนันทาเทวีสดับคำรายงานของเหล่าบริวารคนสนิท ก็ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกำลังทรงตริตรองอะไรสักอย่างหนึ่ง ครั้นแล้วจึงรับสั่งขึ้นว่า “น่าคิดเหมือนกัน มโหสถเห็นจะคิดการใหญ่เป็นแน่ เพราะการที่พระแม่เภรีแบมือเหยียดออกไปนั้น คงหมายความว่า เหตุใดจึงไม่จัดการพระราชาให้ราบเรียบเสียเล่า ต้องปราบเสียให้เลี่ยนเตียนเหมือนฝ่ามือ...
มโหสถกำมือตอบ คงหมายความว่า จักต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย หากทำหละหลวมไป อาจเป็นเรื่องได้
พระแม่เภรีถวายพระพรว่า “มหาบพิตร ในชมพูทวีปนี้จะหาผู้ที่เป็นบัณฑิตเสมอกับมโหสถนั้นไม่มีเลย ขอถวายพระพร”
แล้วที่พระแม่เภรีลูบศีรษะ ก็คงต้องหมายความว่า จับดาบแล้วตัดพระเศียรชิงเอาราชสมบัติเสียเลยเป็นไร ทุกอย่างก็จะเป็นอันสิ้นสุด
แต่ที่มโหสถกลับเอามือลูบท้อง คงจะค้านว่า ต้องตัดกลางลำตัวด้วยถึงจะดี...
โอ...คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจนัก”
เหล่าหญิงบริวารพากันตกอกตกใจ ทูลถามขึ้นพร้อมกันว่า “แล้วเราควรทำอย่างไรกันดีล่ะเพคะ”
พระนางนันทาเทวีจึงตรัสว่า “พวกเจ้าก็จงกราบทูลพระราชาซิ จะได้เป็นความดีความชอบของพวกเจ้าที่สู้อุตส่าห์สอดส่องป้องกันภัยที่จักมาถึงพระองค์”
สตรีทั้งสามนางจึงรีบพากันไปกราบถวายบังคมพระเจ้าจุลนี แล้วทูลเรื่องราวทั้งหมดตามที่พวกตนได้เห็นมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะแปลความหมายในสิ่งที่พวกตนเห็นเหมือนอย่างที่พระนางนันทาเทวีตรัสไว้ จากนั้นจึงกราบทูลเสริมอีกว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงลังเลพระทัยอยู่เลยเพคะ ทางที่ดีควรรีบฆ่ามโหสถเสียโดยเร็ว เพราะหากทรงชักช้าอยู่ก็จะมิทันการณ์นะเพคะ”
พระเจ้าจุลนีทรงสดับถ้อยคำของหญิงเหล่านั้นแล้ว ก็มิได้ทรงเชื่อทันที ขณะนั้นท้าวเธอทรงหวนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีต เมื่อครั้งถูกมโหสถเงื้อพระขรรค์ขู่จะปลงพระชนม์ ภาพเก่าๆยังคงประทับแน่นอยู่ในพระหทัย แล้วพระองค์ก็ทรงดำริว่า “หากมโหสถคิดร้ายต่อเราจริง ก็คงลงมือฆ่าเราเสียตั้งแต่ตอนนั้น มีหรือจะปล่อยให้เรารอดมาได้ ครั้งนั้นมโหสถยังได้ให้คำมั่นต่อเราว่า จะเลิกประทุษร้ายต่อกัน ถึงอย่างไรคนอย่างมโหสถก็คงไม่มีวันตระบัดสัตย์อย่างแน่นอน”
ทรงดำริดังนี้แล้ว ก็ใคร่จะตรัสถามเรื่องนี้กับพระแม่เภรีด้วยพระองค์เอง ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้นภายหลังจากที่พระแม่เภรีฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงเสด็จเข้าไปหา แล้วตรัสถามว่า “พระแม่เจ้า ได้พบมโหสถแล้วหรือยัง”
พระแม่เภรีทูลว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เมื่อวานนี้อาตมาภาพได้พบเธอแล้ว”
พระเจ้าจุลนีตรัสซักว่า “แล้วท่านได้สนทนาอะไรกันบ้าง”
“มหาบพิตร อาตมาภาพหาได้สนทนากับมโหสถบัณฑิตด้วยวาจา เป็นแต่เพียงทักทายกันด้วยกิริยาเท่านั้น” พระแม่เภรีทูลตอบ
“พระแม่เจ้าหมายความว่าอย่างไร” พระเจ้าจุลนีตรัสถามด้วยความสงสัย
“อาตมาภาพทราบมาว่ามโหสถเป็นมหาบัณฑิต จึงใคร่จะทดลองเธอดูว่าที่เขาเล่าลือกันนั้นเป็นความจริงเพียงไร ก็เท่านั้นเอง ขอถวายพระพร”
ท้าวเธอได้สดับดังนั้น ก็ยิ่งทรงสนพระทัย จึงรับสั่งถามว่า “ขอพระแม่เจ้าจงอธิบายให้กระจ่าง จะได้หรือไม่”
“ได้สิ มหาบพิตร”
ว่าแล้ว พระแม่เภรีก็ได้เล่าเรื่องที่ตนทดลองปัญญาของมโหสถด้วยสัญญาณมือ ทั้งยังอธิบายความหมายเหล่านั้นอย่างแจ่มชัด พระเจ้าจุลนีทรงสดับแล้ว ก็ทรงพระสรวลเบาๆ มีพระดำรัสถามว่า “แล้วพระแม่เจ้ามีความเห็นอย่างไร มโหสถเป็นบัณฑิตหรือไม่ล่ะ”
พระเจ้าจุลนีทรงสดับคำสรรเสริญของพระแม่เภรีแล้ว ก็ทรงมีพระหทัยยินดี กราบนมัสการพระแม่เภรีแล้ว ก็นิมนต์ให้ท่านกลับได้ตามอัธยาศัย
ภายหลังจากที่พระแม่เภรีออกจากพระราชนิเวศน์ไปแล้ว ถัดจากนั้นไม่นาน มโหสถบัณฑิตก็ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนี พระองค์ทรงมีพระดำรัสถามถึงเรื่องนั้นกับมโหสถอีก มโหสถจึงกราบทูลเช่นเดียวกับที่พระแม่เภรีกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระราชาได้ทรงสดับความหมายที่ตรงกัน ก็ทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง ท้าวเธอทรงเลื่อมใสในปฏิปทาของมโหสถยิ่งขึ้นอีก ถึงกับทรงพระราชทานตำแหน่งเสนาบดีให้แก่มโหสถบัณฑิตในวันนั้นเอง
นอกจากตำแหน่งเสนาบดีแล้ว พระเจ้าจุลนียังได้ทรงมอบหมายกิจการบ้านเมืองทั้งหมดให้มโหสถ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารดูแลเสมือนหนึ่งพระองค์เอง แต่ก่อนนั้นมโหสถได้เคยทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งวิเทหรัฐมาแล้ว ครั้นย้ายมาประจำในราชสำนักปัญจาลนคร ก็ได้รับการสถาปนาในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นอีก สิ่งเหล่านี้ควรนับเป็นเกียรติประวัติยิ่งใหญ่ที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
แต่สำหรับมโหสถ กลับคิดว่า “เพียงตำแหน่งเสนาบดีที่เพิ่งได้รับมานั้น ก็สำคัญมากพอแล้ว แต่นี่พระองค์ยังทรงพระราชทานตำแหน่งผู้สำเร็จราชการให้อีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งหากจะว่าไปแล้ว ก็ออกจะรวดเร็วเกินไป การที่พระองค์ทรงโปรดพระราชทานอิสริยยศที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เราในคราวเดียว อาจเป็นไปได้ว่า ทรงปรารถนาดีต่อเราจริง หรือว่าทรงมีสิ่งใดเคลือบแฝงอยู่ เรายังไม่อาจทราบได้ เพราะตามธรรมดานั้น พระราชาทั้งหลาย เมื่อทรงมีพระประสงค์จะฆ่าผู้ใด ก็ย่อมทรงกระทำเช่นนี้เหมือนกัน จะทำไฉนหนอ เราถึงจะหยั่งรู้พระทัยของพระองค์ได้ว่า แท้จริงแล้วพระองค์ทรงมีพระทัยดีต่อเราหรือไม่เพียงไร เอ...ในปัญจาลนครนี้ จะมีใครบ้างหนอที่พอจะหยั่งพระทัยของพระราชาได้”
ครั้นแล้วมโหสถก็ดำริว่า “เว้นเสียจากพระแม่เภรีแล้ว ผู้ที่จะหยั่งน้ำพระทัยของพระราชาได้ คงหาได้ยาก พระแม่เภรีนี่แหละเป็นผู้เยี่ยมด้วยปัญญา คงจักทราบอุบายทดลองพระทัยของพระราชาอย่างแน่นอน...ดีล่ะ...เราต้องไปหาพระแม่เภรี แล้วขอให้ท่านช่วย”
แล้วมโหสถก็ให้นางอมราเทวีเตรียมดอกไม้และของหอม เพื่อตนจะได้ถือติดมือไปบูชาพระแม่เภรี ส่วนว่าเมื่อมโหสถได้ไปสนทนาธรรมกับพระแม่เภรี และได้ถามปัญหาที่เคลือบแฝงอยู่ในใจว่า พระเจ้าจุลนีทรงพระราชทานตำแหน่งผู้สำเร็จราชการให้อย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงมีพระประสงค์เช่นใด แล้ว พระแม่เภรีจะมีวิธีอย่างไรที่ทำให้มโหสถปลอดกังวลในเรื่องนี้ได้ โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)