ความสำคัญของอาคาร 100 ปีคุณยายอาจารย์


[ 17 ส.ค. 2553 ] - [ 18263 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2553
ตอน ความสำคัญของอาคาร 100 ปีคุณยายอาจารย์
 
 
 
ความสำคัญของอาคาร 100 ปีคุณยายอาจารย์
  พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
        จากที่หลวงพ่อได้เล่าให้พวกเราฟังเมื่อคราวก่อนๆนั้นว่า คุณยายอาจารย์ของเราได้เมตตาตอบคำถามของหลวงพ่อ ในเรื่องเหตุที่พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นเลิศกว่าพระอรหันต์องค์ใดๆ และพระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีฤทธิ์เป็นเลิศไม่มีพระอรหันต์องค์ใดเทียบได้เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ลอยๆ ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น และในที่มาที่ไปทั้งหมดนี้ ถ้าขาดวิชชาระลึกชาติเสียแล้ว ไม่อาจจะทำได้ ถ้าขาดวิชชาระลึกชาติเสียแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะรู้ภูมิหลัง
 
        อย่าว่าแต่เป็นภูมิหลังของพระอัครสาวกทั้งสองท่าน แม้ภูมิหลังของตัวเราเอง ก็รู้ไม่ได้ ในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้อาศัยการระลึกชาตินี้เป็นพื้นฐาน เราคงจำกันได้ตอนเรียนพุทธประวัติว่า ตอนบ่ายของวันวิสาขปุณณมีครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ตอนนั้นยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ พระองค์ทรุดองค์ลงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์แล้วทรงอธิษฐานว่า แม้เลือดเนื้อในร่างกายของพระองค์จะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที ถ้ายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ยังปราบกิเลสไม่หมด ตามที่ตั้งปณิธานเอาไว้ตั้งแต่วันที่ออกบวช พระองค์จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด นี้คือพระทัยอันเด็ดเดี่ยวของพระองค์
 
        จากนั้น พระองค์ก็ทรงเจริญสมาธิภาวนาของพระองค์ไปตามลำดับๆ ซึ่งก็ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกว่า พระองค์ได้ทรงทำสมาธิตั้งแต่ฌานที่หนึ่ง ฌานที่สอง ฌานที่สาม ฌานที่สี่...เรื่อยไป คือ ทำใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ในศูนย์กลางกายของพระองค์เรื่อยไป คำว่า เรื่อยไป หมายความว่า ทำใจให้หยุดให้นิ่งซ้ำแล้วก็ซ้ำอีก ซ้ำแล้วก็ซ้ำอีก เข้าไปในศูนย์กลางกายของพระองค์ เมื่อซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างนี้ ใจของพระองค์จึงถูกกลั่นถูกกรองไปด้วยในตัวเสร็จด้วยอำนาจของสมาธิของพระองค์ ทำให้ใจของพระองค์ใสสว่าง
 
        พอมาถึงตรงนี้ก็ต้องถามว่า “ใสสว่างขนาดไหน”_พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “สว่างยิ่งกว่าเอาตะวันเที่ยงมาเรียงเป็นดวงๆเต็มท้องฟ้า”
 
        ถ้าใครที่ยังไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ได้ยินอย่างนี้ อาจจะสงสัยว่า จะหาอะไรในโลกนี้ สว่างกว่าตะวันเที่ยง และแม้ตะวันเที่ยงดวงเดียว หากใครลองไปมองเข้า ดวงตาอาจจะบอดได้ ถ้าตะวันเที่ยงมาเรียงเป็นดวงๆเต็มท้องฟ้า จะสว่างขนาดไหน แล้วดวงตาจะไม่ปะทุแตกตายกันหมดหรือ
 
        ตรงนี้ก็ต้องขยายความว่า ความสว่างภายในนั้น อัศจรรย์กว่าความสว่างภายนอกตรงที่ว่า ความสว่างภายในยิ่งสว่างยิ่งชุ่มฉ่ำเยือกเย็น เหมือนดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ยิ่งสว่างเท่าไหร่ก็ยิ่งชุ่มฉ่ำเยือกเย็นเท่านั้น แต่ดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญยังสว่างไม่เท่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยง ถ้าดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญสว่างเท่ากับดวงอาทิตย์ยามเที่ยง จะชุมฉ่ำเยือกเย็นแค่ไหน
 
        ดังนั้นที่กล่าวว่า “สว่างยิ่งกว่าเอาตะวันเที่ยงมาเรียงเป็นดวงๆเต็มท้องฟ้า”_จะสว่างขนาดไหน ชุ่มฉ่ำเยือกเย็นขนาดไหน ก็คงต้องไปคิดไปเดากัน แต่ถ้าไม่อยากคิดไม่อยากเดา มีอยู่อีกวิธีหนึ่ง คือ นั่งสมาธิให้ใจหยุดใจนิ่ง...ให้ไปถึงจุดนั้น ก็จะตอบตัวเองได้ว่า มันสว่างขนาดไหน ชุ่มฉ่ำเยือกเย็นขนาดไหน
 
        ในช่วงปฐมยาม คือ ในช่วงตั้งแต่หกโมงเย็นเป็นต้นไปนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติหนหลังของพระองค์ได้ กลไกของการตรัสรู้ธรรม เริ่มตรงการระลึกชาติของตัวเองได้
 
        ไม่เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พวกเรา วันใดวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อฝึกให้ใจหยุดให้ใจนิ่งตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนเอาไว้ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯได้ค้นพบ หยุดนิ่งได้ถูกส่วนเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ก็จะต้องเริ่มจากการระลึกชาติของตัวเองได้เหมือนกัน จึงจะสามารถปราบกิเลสตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ การที่เราจะตรัสรู้ตามพระองค์ ก็ต้องเดินตามทางที่พระองค์ทรงเดินล่วงหน้าไปก่อน การระลึกชาติของตัวเองได้ จึงเป็นบาทเป็นฐานที่พวกเราจะต้องฝึกกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องศึกษาเรื่องการระลึกชาติไปตามลำดับๆด้วย
 
        ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯยังมีชีวิตอยู่ เวลาใครมาทำบุญกับท่าน ท่านจะระลึกชาติของบุคคลเหล่านั้นไปด้วยว่า เขาเคยสร้างบุญอะไรมาก่อน สะสมบุญบารมีมาไว้ขนาดไหน และวันนี้มาทำบุญกับท่านแล้วเขาได้บุญขนาดไหน พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯคำนวณเสร็จ ท่านทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฝากพวกเราไว้ด้วย เมื่อไหร่นั่งสมาธิจนเข้าถึงองค์พระแล้ว ทำใจให้ใสให้นิ่ง สว่างเหมือนตะวันเที่ยงแล้ว ต้องนึกถึงเรื่องของการระลึกชาติเอาไว้ให้ดี และในเรื่องของการระลึกชาตินี้ ก็เริ่มจากง่ายไปหายาก ดังที่หลวงพ่อเคยเล่าให้พวกเราฟังว่า คุณยายอาจารย์ของเรา ขณะที่ท่านพรวนดินต้นไม้รอบกุฏิของท่าน ท่านก็ระลึกชาติของท่านไปด้วย นอกจากระลึกชาติของตัวท่านเองแล้ว ท่านยังระลึกชาติไปดูว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก่อนจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สร้างบารมีมาอย่างไร
 
        จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในช่วงหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงระลึกชาติของพระองค์เอง การระลึกชาติครั้งนั้น ทำให้พระองค์ทรงทราบภูมิหลังของพระองค์ทั้งหมดว่ามีมาอย่างไร มาถึงตรงนี้ บางท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่า แล้วจะต้องระลึกชาติกันไปกี่ชาติกันแน่...ถึงจะพอ
 
        หลวงพ่อเคยถามคุณยายอาจารย์ว่า “คุณยาย...ต้องระลึกกันไปกี่ชาติถึงจะพอ สักร้อยชาติพันชาติ พอไหม”
 
        คุณยายตอบว่า “ไม่พอ เพราะคนเรานั้นเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน”
 
        เมื่อเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ภูมิหลังของพวกเราแต่ละคนจึงมากมายนัก อยากจะรู้ว่าตัวเรามีภูมิหลังเป็นอย่างไร ถ้าจะว่าไปแล้ว...ต้องระลึกชาติกันเป็นอสงไขย...อสงไขยกัป (ในกัปหนึ่งไม่รู้ว่ามีกี่ล้านชาติ)_อย่างนี้ภูมิหลังจึงจะชัด และเหตุเพราะต้องระลึกชาติเป็นอสงไขย...อสงไขยกัป จึงมีความจำเป็นในการที่จะต้องฝึกนั่งสมาธิ ให้สว่างเป็นตะวันเที่ยงมาเรียงเป็นดวงๆเต็มท้องฟ้า
 
        มีนักบวชในอดีต เขาระลึกชาติได้เป็นพันชาติเป็นหมื่นชาติเป็นแสนชาติ แต่แล้วก็เกิดมิจฉาทิฐิ กล่าวคือ ระลึกชาติได้ว่า ตัวของเขานั้นเคยเกิดมาเป็นนักบวช และได้ทำสมาธิภาวนาอย่างนี้ เมื่อละโลกแล้วก็ไปเกิดในชั้นพรหมโลก ไปเกิดเป็นพรหม ครั้นระลึกชาติไปในหนหลัง นับเป็นพันชาติหมื่นชาติแสนชาติ ก็พบว่า ตนเกิดเป็นมนุษย์กับพรหมเท่านั้น ไม่ได้เกิดเป็นอย่างอื่นเลย จึงทึกทักเอาว่า ตัวเองมาจากพรหม (แต่ว่าก่อนหน้านั้นมาจากไหน..เขาไม่รู้)_เขาจึงเข้าใจว่า พวกที่เป็นพรหม เมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ ครั้นละโลกแล้วก็จะกลับมาเป็นพรหมอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเป็นอย่างอื่นเลย ดังนั้น ความเป็นพรหมของเขาต้องเป็นอมตะ
 
        แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้ระลึกชาติย้อนไปถึงแสนชาติได้ว่าเป็นพรหม แต่ก็ไม่แน่ว่าย้อนไปอีก...ชาติที่ล้านเคยเป็นอะไร และพันล้านชาติที่แล้ว ก็คงจะเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย และเมื่อเห็นไปหลายๆชาติ ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนว่า โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ว่าเป็นพรหมแล้วจะเป็นพรหมตลอดไป ภูมิหลังจากนั้น นับร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติ ที่ตัวเองทำกรรมชั่วไว้ แต่กรรมนั้นยังตามมาไม่ทัน ถ้ายังไม่รีบสร้างบุญกุศล ไม่รีบกำจัดกิเลสให้หมดโดยเร็ว หากกรรมนั้นตามมาทัน หมดบุญจากพรหม ก็ไม่แน่ว่าจะได้มาเป็นพรหมอีก ด้วยเหตุนี้พวกที่ระลึกชาติได้ แต่ระลึกชาติได้สั้นๆ จึงมีโอกาสเป็นมิจฉาทิฐิ
 
        แม้แต่พวกเรา เราไม่รู้ว่าถ้ากรรมชั่วที่เราเคยทำเอาไว้ตามมาทันแล้ว จะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ต้องขยันนั่งสมาธิ อย่ารอจนกระทั่งกรรมชั่วที่เคยทำเอาไว้ตามมาทัน
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา หลังจากทรงระลึกชาติได้ในยามต้น ก็พบว่า ชีวิตของพระองค์ในอดีตนับอสงไขยภพอสงไขยชาติไม่ถ้วนนั้น มีการขึ้นๆลงๆ บางครั้งก็ขึ้นบางครั้งก็ลง กล่าวคือ เทวดาก็เคยเป็น พรหมก็เคยเป็น รูปพรหมก็เคยเป็น (แต่ไม่เคยเป็นอรูปพรหม)_พระเจ้าจักรพรรดิก็เคยเป็น พระราชามหากษัตริย์ก็เคยเป็น มหาเศรษฐีก็เคยเป็น
 
       แต่ถึงคราวตกต่ำ แม้เป็นขอทานก็เคยเป็น จับพลัดจับผลูก็เคยไปเกิดเป็นสัตว์ หรือแม้กระทั่งในชาติที่เกิดเป็นสุเมธดาบส พระองค์ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรว่า อีกสี่อสงไขยแสนมหากัป พระองค์จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเบื้องหน้า แต่หลังจากชาตินั้นมา บางชาติไปเกิดเป็นราชสีห์ก็มี ไปเกิดเป็นพญานาคก็มี
 
        เมื่อพระองค์ได้เห็นการขึ้นๆลงๆของพระองค์ชัดเจนแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่า ชีวิตในวัฏสงสารนั้น...
 
อนิจจัง คือ ไม่เที่ยง
ทุกขัง คือ เต็มไปด้วยความทุกข์ จะไปฝืนก็ไม่ได้ ฝืนก็ยิ่งทุกข์หนัก
อนัตตา คือ ใครๆก็ไปควบคุมไม่ได้ มันจะต้องเป็นอย่างนั้น กล่าวคือ เป็นไปตามกรรมที่ตนเคยก่อเอาไว้
 
        พอยามสอง พระองค์ทรงระลึกชาติของสัตว์โลกอื่นๆได้ พูดง่ายๆคือ ระลึกชาติของคนอื่นได้ แล้วก็ทรงพบว่า ไม่ใช่เฉพาะพระองค์เท่านั้น ที่ในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ มีขึ้นมีลง แม้แต่ชาวโลก สัตว์โลกอื่นๆ ก็เป็นเช่นกัน ก็มีอาการอย่างนี้ เดี๋ยวก็เกิดเป็นมนุษย์ เดี๋ยวก็เกิดเป็นสัตว์ แม้เป็นมนุษย์ บางทีก็เป็นมนุษย์ชั้นสูง บางทีก็เป็นมนุษย์ชั้นต่ำ ไม่แน่นอน บางครั้งก็ไปเกิดเป็นเทวดา จากเป็นเทวดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มี บางคนกรรมดีส่งผลให้ไปเกิดเป็นเทวดา แต่กรรมชั่วก็มากเหมือนกัน พอพ้นจากเทวดาไปเกิดเป็นสัตว์นรก อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน
 
        เมื่อถึงตรงนี้ หมายความว่า การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติของพระองค์ได้ ทบไปทวนมา มากเข้าๆ ทำให้ใจของพระองค์สว่างยิ่งขึ้นไปอีก จึงสามารถไปเห็นใจของสัตว์โลก ใจของคนอื่น แล้วจึงระลึกชาติของเขาได้ การทับทวีความสว่างในใจนี้ ก็เหมือนอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่กล่าวเอาไว้ว่า “มันต้องมีฌานกรีฑา”_คือ ต้องซ้อม ทางโลก...เขามีซ้อมฟุตบอลบ้าง ซ้อมรักบี้บ้าง ซ้อมบาสเกตบอลบ้าง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อให้เกิดความชำนาญ ผู้ปฏิบัติธรรมก็ต้องซ้อมเหมือนกัน แต่เป็นฌานกรีฑา
 
        จากการที่ระลึกชาติของผู้อื่นได้นี้เอง ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบชัดขึ้นมาทันทีว่า ที่พระองค์ขึ้นๆลงๆ ที่สัตว์โลกอื่นๆก็มีการขึ้นๆลงๆอย่างนี้ เพราะอยู่ใต้กฎแห่งกรรม อยากจะขอฝากเอาไว้ตรงนี้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ไม่ได้ทรงบัญญัติกฎแห่งกรรม แต่ทรงค้นพบกฎแห่งกรรม พระองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่พระองค์ทรงพบว่า กฎนี้มันมีครอบคลุมโลกอยู่แล้วจากการระลึกชาติของพระองค์ และระลึกชาติของผู้อื่น เมื่อทรงเห็นอย่างนี้ พระองค์ได้นำมาบอกพวกเรา พูดง่ายๆคือ นำมาบอกชาวโลกว่า ระวังนะ...มันมีกฎแห่งกรรมอยู่
 
        จากตรงนี้นี่เอง คุณยายอาจารย์ได้สั่งเอาไว้ว่า ทุกครั้งที่พวกเราทำบุญ รวมทั้งเมื่อนั่งสมาธิแล้ว ก่อนจะออกจากสมาธิทุกครั้ง ให้หมั่นอธิษฐานให้ดีว่า ให้ระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด ต้องหมั่นอธิษฐาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่นำอธิษฐาน ให้อธิษฐานตามติดติดตามท่านไปเลย)
 
        วันหนึ่ง หลวงพ่อมีโอกาสถามคุณยายอาจารย์ว่า “คุณยาย...การระลึกชาตินี้ นอกจากมีความสำคัญในการที่จะรู้ภูมิหลังของตัวเอง จะได้รู้จักกฎแห่งกรรมให้ชัดๆ เพื่อจะได้ไม่หลงเป็นมิจฉาทิฐิเหมือนอย่างกับนักบวชบางประเภท ที่ระลึกชาติได้แต่ระลึกได้เพียงสั้นๆ จะต้องระลึกชาติไปถึงมากแค่ไหน”
 
        คุณยายอาจารย์ได้ให้ข้อคิดเอาไว้ว่า “ต้องให้ระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วตอบเหตุตอบผลให้ได้ด้วย”_ท่านให้ข้อคิดไว้อย่างนี้ หลวงพ่อจึงซักถามคุณยายอาจารย์ว่า “ทำไมต้องตอบเหตุตอบผลให้ได้ด้วยอีกล่ะ แค่มองเห็น และเข้าใจแล้ว ไม่พอหรือ”_คุณยายอาจารย์ตอบว่า “ไม่พอ ต้องตอบเหตุตอบผลให้ได้ด้วย จึงจะใช้งานได้ จึงจะมาช่วยกันโปรดชาวโลกได้”
 
        ความสำคัญของการตอบเหตุตอบผลให้ได้ อยู่ตรงนี้ ถ้ามิฉะนั้น เอามาเตือนสติตัวเองให้เต็มที่...ก็ยาก เอามาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ เพื่อจะได้อยากจะประพฤติปฏิบัติธรรมตามมา...ก็ยาก
 
        คุณยายอาจารย์ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “อย่ามองข้ามเรื่องการระลึกชาติ ยายถูกหลวงปู่ฯเคี่ยวเข็ญแล้วเคี่ยวเข็ญอีกทีเดียว”_แล้วคุณยายอาจารย์ก็ยกตัวอย่างมาตัวอย่างหนึ่ง ท่านบอกว่า พระไตรปิฎกของเรานี้ เวลาสังคายนา ต้องประชุมพระอรหันต์ ต้องอาศัยพระอรหันต์ประชุมกันถึงห้าร้อยองค์ เมื่อทบทวนตรงกันแล้ว จึงได้บันทึกเอาไว้ สวดพร้อมๆกันแล้วก็บันทึกเอาไว้ จำกันไว้ จนมาถึงพวกเรา
 
 
        คุณยายอาจารย์ได้ให้ข้อคิดฝากเอาไว้ตรงนี้ว่า ถ้าพระอรหันต์แต่ละรูปในยุคนั้น สามารถระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกันทุกๆองค์ และตอบเหตุตอบผลได้ชัดเจนทุกๆองค์ ถ้าอย่างนั้น มีพระอรหันต์กี่องค์ก็สามารถเขียนพระไตรปิฎกได้เท่านั้นชุด แต่ปรากฏว่าแม้พระอรหันต์เอง เมื่อตอนที่ท่านสร้างบารมีเมื่อเริ่มต้น บางองค์ก็ให้ความสำคัญในเรื่องการระลึกชาติมาก เช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร จึงทำให้ท่านมีฤทธิ์เป็นเลิศ มีปัญญาเป็นเลิศ ดังที่กล่าวมาแล้ว
 
        แต่พระอรหันต์บางองค์ ท่านให้ความสำคัญในเรื่องนี้น้อยไป เพราะฉะนั้นการระลึกชาติของท่าน จึงไม่ชัดเจนเท่ากับของพระโมคคัลลานะ ของพระสารีบุตร นี้เป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวจะสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นมา จึงต้องอาราธนาพระอรหันต์ถึงห้าร้อยองค์ และต้องซักต้องถามกันมากมาย จากตรงนี้จึงมีเหตุอีกหลายๆอย่างตามมา เช่น มีบางกลุ่มไม่ยอมรับ จึงไปประชุมทำสังคายนากันเองนอกถ้ำ อย่างนี้ก็มีเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
 
        เพราะฉะนั้น ขอย้ำกับพวกเราอีกครั้งว่า ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ ก่อนจะออกจากสมาธิ อธิษฐานให้ดีว่า ให้ระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด และแค่อธิษฐานไม่พอ ต้องตั้งใจทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่งสมาธิครั้งนี้ต้องสว่างกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้ต้องสว่างกว่าวันนี้ ต้องทุ่มเทต้องเคี่ยวเข็ญกันไป จะเอาแต่อธิษฐานอย่างเดียวไม่พอ
 
        คุณยายอาจารย์ได้ฝึกระลึกชาติ ตามที่เล่ามาให้ฟัง ซึ่งท่านก็เล่าต่อไว้อีกว่า ความที่ท่านอ่านหนังสือไม่ออก เพราะฉะนั้น ที่ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ ก็เป็นเพราะพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯเคี่ยวเข็ญท่าน ด้วยเหตุนี้ ความรู้ความดีความสามารถต่างๆของท่าน คุณยายอาจารย์กล่าวชัดเจนว่า “ได้มาจากหลวงปู่ฯ ถ้าขาดหลวงปู่ฯ ยายก็ไม่ได้สิ่งเหล่านี้”
 
        ด้วยเหตุนี้ คุณยายอาจารย์จึงมีความรัก มีความเคารพ ในพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯเป็นอย่างมาก เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯใกล้จะละโลก ท่านได้มอบหมายงานเอาไว้ด้วย พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯสั่งคุณยายของเราว่า “ลูกจันทร์ เอาวิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลกให้ได้นะ”
 
        ด้วยความกตัญญูกตเวที ที่คุณยายอาจารย์มีต่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะได้รับคำสั่งมอบหมายงานนี้ เมื่ออายุก็ใกล้จะเลขหกแล้ว และตัวท่านเองก็เป็นแค่เพียงแม่ชี เป็นเพียงอุบาสิกาท่านหนึ่ง อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ก็เคี่ยวเข็ญตัวเองให้ทำวิชชาให้ยิ่งๆขึ้นไป จึงไม่มีเวลาที่จะมาสร้างลูกศิษย์ลูกหา ไม่มีเวลาที่จะมาสร้างทีมที่จะมานำวิชชาธรรมกายขยายไปทั่วโลกอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯสั่ง แต่คำสั่งคือคำสั่ง
 
        คำสั่งคือคำสั่ง หมายความว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯจะต้องเห็นคุณของการนำวิชชาธรรมกายไปเผยแผ่ให้ทั่วโลก และเห็นโทษว่าถ้านำไปเผยแผ่ไม่ได้ทั่วโลก จะเกิดความเสียหายต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไร ตรงนี้นี่เอง เมื่อคุณยายอาจารย์รับปากแล้ว แม้ไม่ได้เตรียมฝึกกำลังคนที่จะเป็นมือเป็นไม้มาช่วยขยายงานเอาไว้เลย แต่ว่าคำสั่งคือคำสั่ง ต้องทำให้ได้ ด้วยวิสัยของนักปฏิบัติธรรม
 
       ในเรื่อง “คำสั่งคือคำสั่ง”_นี้ หลวงพ่ออยากจะฝากกับพวกเรา เพื่อฝึกให้เป็นตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จากง่ายไปหายาก กล่าวคือ คำสั่งแต่ละคำสั่ง ทันทีที่ได้ยินมา ต้องสอบเหตุหาผลให้ได้ว่า “ทำไมจึงมีคำสั่งนี้ออกมา”_บางอย่างมีโอกาสถามได้ก็ถาม ถ้าไม่มีโอกาสได้ถาม ต้องระลึกตรึกตรองให้ดีว่า ที่มานั้นเป็นอย่างไร จึงมีคำสั่งนี้ แล้วถ้าทำได้ตามคำสั่งนี้จะดีอย่างไร ถ้าทำไม่ได้ตามคำสั่งนี้จะเสียอย่างไร ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวจะพลาด
 
        วันนี้ หลวงพ่อมีเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเรียบร้อยของหลวงพ่อเอง แต่หลวงพ่อมั่นใจว่า มันจะเป็นประโยชน์แก่พวกเรา ในการสร้างบารมีต่อไปภายภาคหน้า เรื่องก็มีอยู่ว่า...
 
        เมื่อหลวงพ่อบวชได้ประมาณพรรษาที่สอง ตอนนั้นในวัดนี้มีศาลาหลังเดียว คือ อาคารจาตุมหาราช และมีกุฏิอยู่สามสี่หลังเท่านั้น นอกนั้นยังเป็นท้องนาอยู่ ถ้าเรานั่งอยู่ที่หน้าวัดพระธรรมกาย (ด้านหน้าพระอุโบสถ)_หรือนั่งอยู่ที่อาคารจาตุมหาราช แล้วมองไปทางคลองหนึ่ง จะสามารถเห็นรถสิบล้อวิ่งอยู่บนถนนพหลโยธินได้ เพราะไม่มีต้นไม้เลย อาคารบ้านเรือนก็ยังไม่มี
 
        วันนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่มาจากวัดปากน้ำฯ เนื่องจากในเวลานั้นท่านยังไม่ได้ย้ายจากวัดปากน้ำฯ ท่านส่งให้หลวงพ่อมาดูแลเรื่องการปลูกต้นไม้ เรื่องการก่อสร้างเบื้องต้น ท่านสั่งหลวงพ่อว่า “ท่านทัตตะ ตอนนี้เรามีกล้าไม้อยู่ประมาณสองพันต้น ไปตามนักศึกษามาช่วยกันปลูก ไปตามมาสักห้าร้อยคน” โดยท่านกะให้ปลูกสี่ครั้ง
 
        เมื่อรับคำสั่งมาแล้ว หลวงพ่อก็มานั่งทบทวน...ท่านให้เราปลูกต้นไม้สองพันต้น หลวงพ่อก็มาคำนวณ นักศึกษาห้าร้อยคน เอารถบัสไปรับก็จะต้องใช้รถบัสสิบคัน สมัยนั้นค่ารถคันละประมาณเจ็ดร้อยแปดร้อยบาท ดังนั้นเฉพาะค่ารถก็เจ็ดพันถึงแปดพันบาท แล้วยังต้องจัดอาหารกลางวัน อุปกรณ์ในการปลูกต้นไม้ก็ต้องเตรียมไว้เยอะอีกด้วย คิดแล้วงบเป็นหมื่น ในความรู้สึกของหลวงพ่อตอนนั้น...ไม่คุ้มเลย ทำไมต้องเสียงบเป็นหมื่นด้วย
 
        หลวงพ่อก็เรียกระดมคนงาน ทั้งที่มีอยู่ประมาณยี่สิบคน และไปตามมาเพิ่มอีกประมาณสิบคน คนงานในยุคนั้นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ค่าแรงงานยังต่ำอยู่ ประมาณวันละยี่สิบบาท คนงานสามสิบคนก็เท่ากับหกร้อยบาท ต้นไม้แค่นี้ปลูกสองวันสามวันก็เสร็จ ค่าแรงแค่พันกว่าบาทก็เสร็จเรียบร้อย...ว่าแล้วก็สั่งให้คนงานรีบปลูกให้เรียบร้อย
 
        อีกสองอาทิตย์ต่อมา พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ก็มา ท่านก็ถามว่า “ท่านทัตตะ ตามนักศึกษามาปลูกต้นไม้เสร็จหรือยัง”_หลวงพ่อรายงานท่านด้วยความภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องใช้นักศึกษาแล้วครับ คนงานปลูกเรียบร้อยเสร็จหมดแล้ว”_นึกว่าจะได้รับคำชม แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ท่านยืนนิ่ง แล้วท่านก็บอกว่า “ก็ได้...งั้นไปตามนักศึกษามาฟังเทศน์นะ สักห้าร้อยคน ทุกอาทิตย์ ทุกอาทิตย์”
 
        ได้ยินอย่างนี้ โธ่เอ๋ย...เราเข้าใจผิด เป้าหมายของคำสั่งไม่ได้อยู่ที่ปลูกต้นไม้ เป้าหมายอยู่ที่ไปตามนักศึกษามาฟังเทศน์ฟังธรรม (การไปตามนักศึกษามาปลูกต้นไม้ ง่ายกว่าการไปตามนักศึกษามาฟังเทศน์)
 
        หลวงพ่อต้องไปเรียกคนงานมาขุดต้นไม้ออกจากหลุม เอามาใส่ถุง แต่เนื่องจากมันเพิ่งปลูกมาได้แค่สองอาทิตย์ มันยังไม่ทันตั้งตัวดี บางต้นยังเหี่ยวๆอยู่เลย พอขุดขึ้นมามันก็ตาย สองพันต้นตายไปเกือบครึ่ง ประคบประหงมอยู่ได้อีกประมาณสองอาทิตย์ จึงได้ไปตามนักศึกษามาช่วยกันปลูก อีกทั้งกว่างานจะสำเร็จตามที่ได้รับคำสั่งมา ยังต้องปรับโน่นปรับนี่อีกหลายอย่าง เช่น เมื่อนักศึกษามากันแต่เช้า ก็ให้มาฟังเทศน์ นั่งสมาธิกันก่อน ตอนบ่ายก็ให้นั่งสมาธิกันอีกรอบ แล้วค่อยให้ไปช่วยกันปลูกต้นไม้ พูดง่ายๆคือต้องหาเหตุมาถ่วงเวลา เพื่อให้นักศึกษามากันให้ได้สี่ครั้ง
 
        เมื่อก่อนหลวงพ่อเทศน์ไม่เป็น แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ ท่านเมตตา แทนที่จะให้ไปตามผู้ใหญ่มาฟังเทศน์ ท่านให้ไปตามนักศึกษามาให้เราฝึกเทศน์ ด้วยวิธีให้ไปตามมาปลูกต้นไม้ แต่เราแปลเจตนาไม่ตรง ก็เลยเกิดความผิดพลาดไป เพราะฉะนั้น จากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า ฟังคำสั่งอะไรมา ทบทวนให้ดีว่าเป้าของคำสั่งอยู่ตรงไหน
 
       มาถึงตรงนี้ หลวงพ่อขอแปลเจตนาในเรื่องที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯสั่งงานคุณยายอาจารย์ เพื่อว่าจะได้ไม่พลาดกัน พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯสั่งคุณยายว่า “ลูกจันทร์ เอาวิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลกให้ได้นะ”
 
        หลวงพ่อได้ซักถามเรื่องนี้กับคุณยายอาจารย์ว่า “คุณยาย...ต้องให้ทั่วโลกด้วยหรือ ทำไมต้องทั่วโลก”_คุณยายอาจารย์ตอบว่า “มันมีความสำคัญ เพราะว่าการสร้างบารมีของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ไม่เหมือนนักสร้างบารมีท่านอื่นๆ”
 
        หลวงพ่อขอขยายความให้พวกเราทราบ ดังนี้ พระพุทธเจ้านั้น อย่างน้อยมีสองประเภท
 
1.พระปัจเจกพุทธเจ้า - พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้สอนใคร ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ความจริงท่านก็อยากจะสอน แต่ท่านไม่ได้เตรียมวิชาครูไว้ เพราะฉะนั้น เมื่อตรัสรู้แล้ว ท่านสอนไม่ถนัด จึงไม่ได้สอน
 
2.พระสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า - พระสัพพัญญูพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ด้วยตัวเอง แล้วก็สอนด้วย เพราะท่านมีมหากรุณาอย่างมาก ตรงนี้ก็ขอย้ำกับพวกเราว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีมหากรุณาเช่นกัน แต่ท่านไม่ได้เตรียมฝึกวิชาครูมา ดังที่กล่าวมาแล้ว
 
        แต่สำหรับพระสัพพัญญูพุทธเจ้า อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ในวันที่พระพุทธเจ้าทีปังกร ทรงพยากรณ์ให้กับสุเมธดาบสว่า อีกสี่อสงไขยแสนมหากัปจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระองค์นั้น สุเมธดาบสก็รู้ดีว่าในวันนั้นหากต้องการจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ก็สามารถทำได้ แต่ท่านยอมอยู่ต่ออีกสี่อสงไขยกับแสนมหากัป เพื่อฝึกวิชาครูแล้วเอามาสอน วิชาครู คือ ตอบเหตุตอบผลได้ เพราะตอบเหตุตอบผลได้จึงสามารถถ่ายทอดได้ ความเป็นครูนั้น อยู่ตรงนี้ ตอบเหตุตอบผลได้ แล้วจึงจะสอนได้เต็มที่
 
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า ยังแบ่งเป็นสามประเภท ดังนี้
 
1.พระปัญญาธิกพุทธเจ้า - ใช้เวลาในการสร้างบารมี 20-อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป มีปัญญามาก เพราะฉะนั้นใช้เวลาสร้างบารมีช่วงสั้นๆ ขนสัตว์โลกพ้นจากวัฏสงสารไปพระนิพพานได้เท่าไหร่ก็ขนไปตามกำลัง
 
2.พระสัทธาธิกพุทธเจ้า - ใช้เวลาในการสร้างบารมี 40-อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป ขนสัตว์โลกพ้นจากวัฏสงสารไปพระนิพพานได้มากขึ้นไปอีก
 
 3.พระวิริยาธิกพุทธเจ้า -ใช้เวลาในการสร้างบารมี 80-อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป ขนสัตว์โลกพ้นจากวัฏสงสารไปพระนิพพานได้เพิ่มขึ้นไปอีก
 
        แต่ถึงขนาดนั้น คุณยายอาจารย์เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า “แต่ถึงขนาดนั้นนะหลวงพ่อทัตตะ ก็ยังขนชาวโลกไปได้ไม่หมด แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯของเรา ท่านบอกว่า...ถ้าขนสัตว์โลกไปได้ไม่หมด ไม่เข้านิพพาน จะเอาไปให้หมดให้ได้” นี้คือมโนปณิธานของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
 
        หลวงพ่อก็เลยถือโอกาสถามคุณยายอาจารย์ว่า “แล้วมันมีอุปสรรคอะไรหรือ ที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตแต่ละพระองค์ ซึ่งมีนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน จึงขนสัตว์โลกไปได้ไม่หมด”
 
        คุณยายตอบชัดเจนว่า “ท่านจำได้ไหม เมื่อตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน พระองค์เข้านิพพานเองหรือมีใครมาอาราธนา...มารมาอาราธนาให้พระพุทธองค์เข้านิพพาน และมารนี้แหละ ตลอดเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น คอยรังแกพุทธบุตรอยู่ร่ำไป รังแกชาวพุทธอยู่ร่ำไป จึงทำให้ชาวพุทธแทนที่จะปฏิบัติธรรมได้สะดวก ก็เลยไม่สะดวก และยังมาอาราธนาให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้านิพพานเร็วๆเสียอีก ตรงนี้เองที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ขนสัตว์โลกไปได้ไม่หมดเสียที นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น”
 
        คุณยายอาจารย์กล่าวต่อไปว่า “ถ้าในเมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯตั้งใจจะเอาสัตว์โลกไปให้หมด แล้วท่านคิดว่ามารจะยอมหรือไม่...มารก็ไม่ยอม พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯจะขนสัตว์โลกให้หมดก็มีทางเดียว คือ ต้องปราบมารให้ได้ ถ้ายังมีมารก็ต้องไม่มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ถ้ามีพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯก็ต้องไม่มีมาร”
 
เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว ก็มีคำถามว่า “แล้วจะทำอย่างไรให้ได้อย่างนั้น”
คำตอบ คือ “ต้องเตรียมทหารกองธรรมทัพไว้มากๆ”
ถ้าถามว่า “แล้วจะไปเอาทหารกองทัพธรรมมากๆมาจากไหน”
คำตอบ คือ “ต้องเอามาจากทั่วโลก”
ถ้าถามว่า “แล้วจะทำอย่างไร จะได้ทหารกองทัพธรรมจากทั่วโลกมา”
คำตอบ คือ “วิชชาธรรมกายก็ต้องขยายไปทั่วโลก”
 
        วัตถุประสงค์ของงานแต่ล่ะชิ้นนั้น ต้องเจาะให้ถึง ถ้าเจาะถึงแล้วถูกต้องแล้ว จะมีคุณประโยชน์แค่ไหน เราต้องเห็นให้ชัด และถ้าทำไม่ได้ จะเสียประโยชน์ขนาดไหน ตรงนั้นก็ต้องให้ชัด
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ มุ่งจะขนสัตว์โลกไปให้หมด แต่มารขวางเอาไว้ อีกทั้งอาราธนาให้เข้าพระนิพพานอีกด้วย ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระอานนท์ก็ถูกมารเข้าสิง จึงไม่ได้อาราธนาให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอยู่ต่อ ทำให้ขนสัตว์โลกไปไม่หมด สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น
 
 
        พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯของเรา ตั้งใจจะขนสัตว์โลกไปให้หมด ก็ต้องกำจัดอุปสรรคให้ได้ อุปสรรคอยู่ที่มาร ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงประกาศว่า ท่านสร้างบารมีเพื่อปราบมารโดยเฉพาะ ยอมตายก็ไม่ยอมแพ้ ชาตินี้ยังต้องตายอยู่...ก็ให้มันตายไป วันหนึ่งถ้าท่านไม่ตาย...ก็ถึงเวลาที่ท่านจะปราบมารให้สิ้น
 
        เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ประกาศเอาไว้ชัดว่า ท่านสร้างบารมีไว้เพื่อปราบมาร จะขนสัตว์โลกไปให้หมด จะเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย ถ้ายังไม่หมดก็ไม่ต้องเข้ากัน ใครจะไปล่วงหน้าก่อนก็ไป แต่ท่านจะต้องอยู่เป็นคนสุดท้าย จะขนสัตว์โลกไปให้หมด เพราะจะขนสัตว์โลกไปให้หมด จึงมีความจำเป็นต้องเอาวิชชาธรรมกาย เผยแผ่ไปทั่วโลก ถ้าไม่ทั่วโลกแล้วจะเอาทหารกองทัพธรรมมาจากไหน
 
        คุณยายอาจารย์ได้รับคำสั่งว่า "เอาวิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลกให้ได้"_ลูกๆของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯอีกหลายๆท่าน ที่อยู่พร้อมหน้ากันก็รับปากกันทั้งนั้น แต่ว่าท่านเหล่านั้นก็ทำได้ตามกำลังของท่าน เนื่องจากในช่วงนั้น บางท่านก็อายุตั้งเจ็ดสิบกว่าแล้ว บางท่านก็จะแปดสิบแล้วก็มี
 
 
        คุณยายอาจารย์ของเรา ไม่ใช่ทำตามกำลัง แต่ทำเกินกำลัง เราได้ต้นแบบประเภททำงานเกินกำลัง ซึ่งคุณยายอาจารย์ถึงกับปรารภเอาไว้ว่า “สร้างวัดพระธรรมกายนี้ ยายถึงกับเป็นโรคขาดอาหาร” นี้คือทำเกินกำลัง
 
        เมื่อคุณยายอาจารย์ถึงคราวละโลก คุณยายต้องไปก่อน ทั้งๆที่วิชชาธรรมกายก็ยังไปไม่ทั่วโลก ดังคำกล่าวที่ว่า “ภาระของพ่อก็เป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องทำ”_ด้วยเหตุนี้เอง พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ของเรา ท่านจึงรับภาระต่อ ไม่ว่าอย่างไรจะเอางานของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯไปให้ถึงที่สุดให้ได้ คือ วิชชาธรรมกายต้องขยายไปทั่วโลก
 
        ด้วยเหตุนี้เอง ศูนย์กลางในการเผยแผ่จึงต้องเกิดขึ้น อาคาร 100-ปีคุณยายอาจารย์ จึงต้องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ในการที่มีบางคนมีความรู้สึกว่า จะต้องไปสร้างให้ใหญ่โตไปทำไม...อาคาร 100-ปีของคุณยาย เล็กๆหน่อยไม่ได้หรือ
 
        ก็ต้องขอยืนยันว่า ไม่ได้ หากขืนทำเล็กๆ การที่จะนำวิชชาธรรมกายขยายไปทั่วโลก คงทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ห้ามไปคิดย่อของพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ ถ้าไปคิดย่อของท่านล่ะก็งานไม่เสร็จ ก็ขอให้มองภาพ ต่อภาพให้ติด อย่าไปคิดด้วนๆ เหมือนตัวอย่างที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง เรื่องตามนักศึกษามาปลูกต้นไม้
 
        เพราะฉะนั้น หลวงพ่อขอฝากเอาไว้ เวลาได้รับคำสั่งอะไร หากมีโอกาสแล้ว คำถามคำหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องถาม แต่ขอให้ถามด้วยความเคารพ ถามเพื่อเอาเหตุเอาผล เพื่อความรอบคอบของเรา ที่จะไม่ให้งานนั้นผิดวัตถุประสงค์ไป คำถามก็คือ “ทำไม จึงต้องทำอย่างนั้นอย่างนั้น”_ที่ถามไม่ใช่ขี้เกียจ แต่ป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา
 
        หรือหากคิดว่า คำถามประเภทนี้ ฟังแล้วเหมือนไม่เต็มใจทำ ก็เอาอย่างนี้ เวลาได้รับคำสั่งอะไรมา...ช่วยสาวไปให้ถึงด้วยว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริง คือ อะไร ไปไล่เอาตรงนี้ให้ได้ แล้วเมื่อไล่ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงแล้ว เราจะได้คุณของงานนั้นอย่างไร...ถ้าทำสำเร็จ และจะได้โทษของงานนั้นอย่างไร...ถ้าทำไม่สำเร็จ ให้รู้ให้เห็นกันชัดๆ แต่ก็ต้องบอกกันก่อนว่า บางอย่างนั้นบอกเต็มที่ไม่ได้ บอกได้ครึ่งหนึ่งก็มี
 
        เหมือนโคลัมบัส แล่นเรือจะไปทวีปอเมริกา ไปได้ไกลโขระยะหนึ่งแล้ว ลูกเรือกลัวตกทะเล เพราะในยุคโน้นเชื่อว่าโลกแบน หากไปถึงสุดโลก กลัวตกโลกตาย ก็จะไม่ไปกัน โคลัมบัสจึงบอกว่า นี่มาได้ตั้งครึ่งทางแล้ว จะกลับไปที่เดิมหรือเดินหน้า ก็มีค่าเท่ากัน จะเอาอย่างไร ซึ่งแน่นอน ในสถานการณ์อย่างนี้...มันก็ต้องเดินหน้าต่อไป ปรากฏว่าเดินหน้าต่อไปเท่ากับระยะทางที่มาก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ถึง ลูกเรือก็โวยวายอีกว่า ไหนว่ามาได้ครึ่งทางแล้ว นี่ก็มาตั้งเยอะแล้วทำไมยังไม่ถึง โคลัมบัสก็บอกว่า คำนวณพลาดไปหน่อย ตรงนี้แหละที่เป็นครึ่งทางจริงๆ จะกลับหรือจะไปต่อ ก็เช่นเดิม...มันก็ต้องไปต่อ ไปจนถึงอเมริกา
 
 
       แม้บางอย่างบอกได้ครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้หลวงพ่อบอกให้เต็มที่แล้วว่า ทำไม พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ จึงสร้างอาคาร 100-ปีคุณยายอาจารย์ และที่ต้องสร้างใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพื่อที่จะได้รวบรวมผู้มีความรู้มีความสามารถ และมีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรม แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อไปช่วยกันคิดช่วยกันทำที่จะนำวิชชาธรรมกายขยายไปทั่วโลก เพราะฉะนั้นอาคารนี้จึงจำเป็นที่จะต้องให้พอสนองงานได้ อีกทั้งถ้าเทียบกับงานซึ่งกำลังรออยู่ รออยู่ตั้งแต่สมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯแล้ว อาคารนี้ไม่ใหญ่เลย เราชักช้าไม่ได้แล้ว เพราะอายุของพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ก็ใกล้เลขเจ็ดแล้ว
 
        ดังนั้น พวกเราต้องช่วยกันทำให้เสร็จเร็วๆนะลูกนะ กฐินปีนี้นี้ของคุณยายอาจารย์ รีบมาช่วยกันให้สำเร็จ หลวงพ่อขออนุโมทนาล่วงหน้า ให้ได้บุญกันมากๆเต็มที่เต็มอิ่มเต็มมือเต็มใจด้วยกันทุกคน
 
  ****************
    
ชม Video ความสำคัญของอาคาร 100 ปีคุณยายอาจารย์
 
 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ภัยของพระพุทธศาสนาภัยของพระพุทธศาสนา

ผลการปฏิบัติธรรม พระอนันต์ ฐานิยชโยผลการปฏิบัติธรรม พระอนันต์ ฐานิยชโย

พลิกชีวิตด้วยบุญทอดกฐิน ตอน ฝ่าวิกฤต มารวยพลิกชีวิตด้วยบุญทอดกฐิน ตอน ฝ่าวิกฤต มารวย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน