ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข-หลวงพ่อตอบปัญหา


[ 4 ก.ย. 2553 ] - [ 18261 ] LINE it!

หลวงพ่อตอบปัญหา

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 
คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ สังคมไทยทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก ผู้คนมุ่งแต่ทำมาหากินจนหารอยยิ้มไม่ค่อยเจอ อยากขอความเมตตาจากหลวงพ่อชี้แนะวิธีใช้ชีวิตให้มีความสุขในสังคมยุคนี้เจ้าค่ะ

คำตอบ: ความจริงแล้วไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหน ถ้าเรามุ่งแต่เรื่องการทำมาหากินแล้ว ก็ยากที่จะหาความสุขได้ เพราะว่าในชีวิตของคนเหล่านั้น แค่มีเงินใช้ มีทรัพย์สินเงินทองเหลือเฟือ หรือเป็นมหาเศรษฐี ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเองจะเป็นสุขได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้สติเอาไว้ว่า ความสุขในชีวิตแบบทางโลกนั้น ท่านให้ไว้ ๔ ข้อด้วยกันคือ
 
            ข้อที่ ๑. ต้องมีทรัพย์ ต้องมีงานทำ มีรายได้
 
            ข้อที่ ๒. ต้องใช้ทรัพย์เป็น ถึงได้มามากแต่ถ้าใช้ไม่เป็น ทรัพย์ที่ได้มานั้นอาจไม่พอใช้ และมันอาจจะถูกใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะสม ก็มีโอกาสเดือดร้อนได้ ตรงนี้เองที่คนมองโลกได้ตรงความจริง จะรู้สึกว่าในยุคนี้การดำเนินชีวิตนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง
      
            ตรงนี้คือความผิดพลาดของเราในเรื่องของการใช้ทรัพย์เป็น สิ่งที่ต้องระวังอยู่นิดหนึ่งก็คือ อย่าบริหารทรัพย์เฉพาะบัญชีรายรับรายจ่ายเท่านั้น ต้องบริหารด้วยส่วนที่เหลือด้วย
             
            ถ้าเก็บเอาไว้แล้วไม่ค่อยได้ใช้ เก็บไว้จนรวยเลย มันอาจจะกลายเป็นขี้เหนียวก็ได้ แม้จะป่วยไข้ ก็ยังไม่อยากเอามาใช้ พ่อแม่ซึ่งเลี้ยงดูเรามา ก็ไม่อยากจะให้ท่านเป็นการตอบแทนพระคุณ อย่างนี้ใช้ทรัพย์ไม่เป็น ได้มาก็เดือดร้อน เดือดร้อนในการเก็บรักษา ถ้าใช้ในทางไม่ถูกไปใช้ในเรื่องอบายมุข ก็ยิ่งเสียหายหนัก คนในยุคนี้ จบปริญญา จบด๊อกเตอร์กัน บางทีใช้เงินไม่เป็น
 
            ข้อที่ ๓. ต้องไม่มีหนี้
            ในยุคปัจจุบันนี้ ต้องเรียกว่าเราใช้เงินกันไม่เป็นจริงๆ บริหารเงินไม่เป็น ยกตัวอย่าง ชาวบ้านอยู่กันในหมู่บ้านสบายๆ รายรับรายจ่ายเหลือเฟือ ถ้าว่าไปแล้ว รายรับพอเพียง รายจ่ายก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่วันดีคืนดี เขาตัดถนนเข้าหมู่บ้าน รู้สึกว่ามันจำเป็นขึ้นมาเลยว่า ถ้าไม่มีรถมันจะน้อยหน้าเขา ก็เลยไปผ่อนมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์มาเลย ได้หนี้มาก้อนใหญ่ นี่คือสิ่งที่คนในยุคนี้ไม่ระวังเอง ก็เลยต้องดิ้นรนหาทรัพย์ให้มากๆ นั่นคือใช้เงินไม่เป็น
 
            ปัจจุบันนี้ทันทีที่ถนนเข้าหมู่บ้าน หนี้ก็เพิ่มขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครเคยเป็นหนี้ พอถนนตัดเข้าไปเท่านั้น หนี้เกิดขึ้นมาทันที ไฟฟ้าตัดเข้ามา ตู้เย็น ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดก็ตามเข้ามาอีก หนี้ก็เพิ่มขึ้นไปอีก ตรงนี้เองที่ทำให้คนในยุคนี้มีความรู้สึกว่ามันเป็นยุคที่เศรษฐกิจบีบคั้น ความจริงยุคไหนๆ ก็เหมือนกันถ้าใช้เงินไม่เป็น ความจำเป็นของการใช้เงินอยู่แค่ไหน เอาอะไรเป็นเครื่องวัด
 
            เรื่องนี้ไม่ค่อยได้ศึกษากัน ผลสุดท้ายก็เดือดร้อน แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดของรัฐบาล เกือบทุกรัฐบาลที่มาบริหารบ้านเมือง ทำให้เราเป็นหนี้ ก็โทษเขาไป
 
            จากการที่เราใช้เงินไม่เป็น แล้วมักจะเป็นราชาเงินผ่อน ชอบผ่อนสารพัด บางอย่างไม่ควรผ่อนเราก็ผ่อน หากจำเป็น ไม่มีบ้านอยู่จะต้องผ่อนก็ไม่ว่ากัน เพราะเป็นของจำเป็น แต่ถึงขนาดนั้นก็ ให้มันสมกับฐานะ
 
            ประการที่ ๔. พุทธองค์ทรงสั่งไว้เลยว่า ต้องเลือกทำงานที่ไม่มีโทษ
ปัจจุบันเพราะหามาเองแต่ใช้ไม่เป็น รูรั่วมันเยอะ มันก็เลยไม่ค่อยจะพอ เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามหางานที่มันได้เงินเยอะๆ แต่งานที่รายได้เยอะๆ ส่วนมากมันงานมีโทษทั้งนั้น มักจะเกี่ยวกับประเภทอาชีพต้องห้าม พุทธองค์ทรงเรียกว่า มิจฉาอาชีวะ เช่นค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ ค้าสัตว์ให้เขาเอาไปฆ่า ค้ายาพิษ ค้ายาเสพติด เพื่อให้มีรายได้มากๆ เลยไปทำมิจฉาอาชีวะ
 
            พอไปทำอย่างนี้เข้า ก็เดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่รายได้เพิ่มขึ้น แต่ว่าเดือดร้อน บางคนก็ไปหาอาชีพในทางที่ส่งเสริมอบายมุขตั้งแต่เปิดบ่อนเปิดบาร์ สิ่งเหล่านี้ในที่สุด ถึงได้เงินมาเยอะ แต่ก็เป็นทุกข์ตามมาด้วย คนยุคนี้ถ้าจะให้มีความสุขกันจริงๆ ข้อแรก คือ ต้องรู้จักประมาณตน ให้พอมีกินมีใช้ ระมัดระวัง ไม่อยากได้อะไรจนเกินตัว แล้วก็มีเพื่อนดี มีศีลธรรม เพราะจะทำให้เรามีโอกาสสร้างความดี สร้างบุญติดตัวไป มองตรงนี้ดีกว่า แล้วจะพบว่าโลกนี้น่าอยู่ โดยเฉพาะเมืองไทยเรานั้นน่ารักมาก ไม่เช่นนั้นใครๆ เขาก็ไม่มาเที่ยวเมืองไทยกันหรอก
 
            สรุปคือ ทั้งหาให้เป็น ใช้ให้เป็น ไม่เป็นหนี้ ไม่ทำงานที่มีโทษ และมีเพื่อนดีๆ แล้วจะมีความดี มีบุญเกิดขึ้นมาทั้งเนื้อทั้งตัวเลย
 
คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ ถ้าการบริจาคโลหิตได้บุญมาก ถ้าอย่างนั้นการอุทิศร่างกายให้แก่โรงพยาบาลหลังจากที่เราตายไปแล้ว ก็น่าจะได้อานิสงส์มากยิ่งกว่า ใช่หรือไม่เจ้าคะ

คำตอบ: การบริจาคโลหิตกับการบริจาคร่างกายหลังจากตาย อย่างไหนบุญมากกว่ากัน คำถามนี้ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อน การจะได้บุญนั้นมันอยู่ที่ ต้องทำตอนที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ทำเอาตอนที่ตาย เพราะบุญเกิดขึ้นจากเจตนาอันเป็นกุศล ต้องชัดเจนตรงนี้ก่อน ฉะนั้นการที่เราบริจาคโลหิตทำให้ได้บุญมากนั้น เป็นเพราะ
 
            ๑. เรามีเจตนาที่จะให้เป็นบุญกุศลจริงๆ ในเจตนาของเรามัน แฝงด้วยความเมตตากรุณาเอาไว้ ถึงได้ให้เขาไป เจตนาของเราในการเสียสละ ครั้งนี้ เป็นเรื่องความมีเมตตากรุณา
 
            ๒. ต้องใช้กำลังใจสูง เพราะเลือดในตัวเรามันไม่ใช่ของเหลือเฟือ ไม่มีใครมีเลือดเกินเลยสักคนเดียว อย่างมากก็มีแค่พอดี
 
            เพราะฉะนั้นเวลาเราบริจาคเลือดเมื่อไหร่ มันเป็นเรื่องของการตัดใจให้ เรายังจำเป็นต้องใช้เลือด สักหยดหนึ่งก็ไม่น่าให้ใครทั้งนั้น แต่ก็ มากด้วยความเมตตากรุณา ก็เลยตัดใจให้
 
            เมื่อตัดใจให้ไปอย่างนี้ มันเป็นการฝึกให้มีกำลังใจในการตัด ความโลภ ความตระหนี่ที่ฝังลึกอยู่ในใจด้วยกันทุกคน ลึกๆ ในใจของเรามีเชื้อตระหนี่ และความโลภอยู่ เพราะฉะนั้นของอะไรต่างๆ ของเรา มันอดที่จะหวงและเสียดายไม่ได้
 
            แต่ว่าวันนี้เห็นแก่ความทุกข์ยากของสัตว์โลก เพื่อนร่วมโลกจึงเกิดความเมตตากรุณาอย่างเปี่ยมล้น ก็เลยตัดใจ แม้เลือดในร่างกายก็ให้ได้ บุญมันก็เลยได้มาก ยิ่งผู้ที่จะรับเอาโลหิตของเราไปนั้น เป็นประเภทที่ถ้าไม่ได้เลือด group นี้ของเราคงตายแน่ ฉะนั้นการบริจาคโลหิตของเราครั้งนี้ มันได้บุญอย่างยิ่งทีเดียว เพราะว่ามันเป็นหยดแห่งชีวิต ถ้าเขาได้เลือดของเราไปแล้ว เอาไปสร้างความดีต่อไปอีก เราก็เลยยิ่งได้บุญมาก ส่วนการบริจาคร่างกายหลังตายนั้น ก็ต้องบอกว่าร่างกายของคนที่ตายแล้ว
 
            ๑. เราเองก็ทิ้งแล้ว ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับเราแล้ว เมื่อเขาเอาไปทำประโยชน์อะไรได้ อาจจะให้นักศึกษาแพทย์ไปค้นคว้าหาความรู้ มันก็พอได้ประโยชน์บ้างนิดๆ หน่อยๆ
 
            มันก็ไม่ได้ฆ่าเชื้อตระหนี่ที่อยู่ในใจเราได้เลย เพราะตอนตายนั้นร่างกายไม่ใช่ของเรา ใช้มันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้บุญกุศล ก็ให้ทำตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ อยากบริจาคดวงตา ผู้ที่จะให้นั้นเป็นคนมีคุณงามความดีมาก ควักเอาไปเลย คุณเอาไปข้างหนึ่ง ฉันเอาไว้ข้างหนึ่งพอ แบบนี้ได้บุญมาก ไตฉันมี ๒ ข้าง คุณเป็นคนที่มีความดีมาก มีความจำเป็นเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่ได้ไตฉันคุณแย่แน่ๆ เอาไปเลย ๑ ข้าง ฉันเก็บเอาไว้ข้างหนึ่ง แบบนี้จึงจะได้บุญมาก
 
            แต่ถ้า เอาไว้ให้ฉันตายก่อน แล้วคุณค่อยเอามันไป มันก็พอได้อยู่ แต่ว่ามันได้นิดเดียว เพราะฉะนั้น การทำบุญอะไร บริจาคอะไรก็ตามที ให้บริจาคตอนยังมีชีวิตอยู่
 
            การบริจาคร่างกายหลังจากที่ตายแล้ว ก็พอได้บุญบ้าง แต่ว่าอย่าไปหวังอะไรกับมันมาก เพราะมันเป็นของที่เราทิ้งแล้ว ร่างกายนั้นตั้งใจที่จะสร้างบุญโดยเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ เลือดเนื้อ อวัยวะ ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นั้นได้บุญมากกว่าหลายเท่า 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
คนเราเกิดมากันทำไมคนเราเกิดมากันทำไม

การกรวดน้ำหลังทำบุญใส่บาตร ลืมแล้วกรวดน้ำทีหลัง  ผู้รับจะได้ผลบุญบ้างหรือไม่?การกรวดน้ำหลังทำบุญใส่บาตร ลืมแล้วกรวดน้ำทีหลัง ผู้รับจะได้ผลบุญบ้างหรือไม่?

ทำบุญแบบไหนถึงจะได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต และได้ฟังธรรมด้วยกันครับทำบุญแบบไหนถึงจะได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต และได้ฟังธรรมด้วยกันครับ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

หลวงพ่อตอบปัญหา