มองโกล มองไกล ตอนที่ 1


[ 24 พ.ย. 2549 ] - [ 18291 ] LINE it!

บันทึกสะกดรอย เจงกิสข่าน

มองโกล มองไกล ตอนที่ 1 " />

" /> " />
 
" /> " />
    ลูกชื่อ พ.ญ.วราธิป โอทกานนท์ (หมอติ๊บ) เป็นหมอสูตินรีเวช ลูกเข้าวัดตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ ในปี พ.ศ.2528 ได้สร้างบารมีกับพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างเต็มกำลังค่ะ ลูกมีบันทึกการเดินทางเพื่อไปเผยแผ่วิชชาธรรมกายและติดจานดาวธรรม ในประเทศมองโกเลีย มากราบถวายรายงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อค่ะ
" />
 
" />
    สืบเนื่องจากคุณแม่ของลูกคือ พ.ญ.บุญชู จิตไมตรี ได้ศึกษาประวัติศาสตร์มองโกเลีย และกษัตริย์นักรบเจงกิสข่าน ที่รวบรวมและขยายอาณาจักร จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก รวมถึงอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ทราบว่าผู้คนในดินแดนอันเหน็บหนาวแถบนั้นกำลังโหยหาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงรู้สึกใจจี๊ดขึ้นมาทันที จึงมีมโนปณิธานอย่างแรงกล้าว่า จะนำวิชชาธรรมกายไปยังมองโกเลียให้ได้ และก็เหมือนชะตาหนุนบุญลิขิตค่ะ เมื่อทราบว่า พระอาจารย์บัณฑิต วรปญฺโญ จะเดินทางไปติด DMC ที่มองโกเลีย ลูกจึงได้ติดต่อกับ คุณหมอ บาซล่า วิสัญญีแพทย์ชาวมองโกล

    ซึ่งคุณแม่เคยพามาวัดพระธรรมกาย รวมทั้งได้ประสานไปยังท่านเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย คือ ฯพณฯไยชิล บัทซูริ ซึ่งแนะนำบริษัทเคเบิ้ลทีวีเพื่อเพิ่มช่อง DMC เข้าในโปรแกรมที่มีอยู่แล้ว และจะไปเยี่ยมวัดของ พระมุงจากาล ซึ่งเคยเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย เมื่อ 2ปีก่อน
 
" />
" />
" />
    ภารกิจของกองทัพธรรม เพื่อขยายอาณาจักรแห่งสันติสุข สู่มองโกลเลียครั้งนี้ เริ่มขึ้นในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2549 โดยกองทัพธรรมได้ควบนกเหล็กออกจากสุวรรณภูมิ ในเวลาตีสองครึ่ง เหินฟ้าสะกดรอยตามกองทัพม้าของจอมพลเจงกีสข่าน ไปถึงมองโกเลียตอน 3ทุ่ม โดยมีหมอบาซล่า และท่านมุงจากาล มารอรับด้วยความอบอุ่น แต่อากาศในขณะนั้นอุณหภูมิติดลบ 4องศาเซลเซียสเจ้าค่ะ
 
    เขาบอกว่า กำลังวอมๆเข้าหน้าหนาว ทางด้านนอกก็มีพระจำนวน 4-5รูป มายืนตากลมหนาวรออยู่ พระมุงจากาลดีใจและตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อพบพระจากวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีว่า เมื่อกองทัพพระผนึกกำลังกัน ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะกลับมาเกรียงไกรอีกครั้งเหมือนดังยุคดั้งเดิม
" />
 
    บริเวณสองข้างทางที่จะไปสู่ที่พัก เป็นทุ่งหญ้าทะเลทราย มีภูเขาอยู่ไกลๆ พอเริ่มเข้าในตัวเมืองก็จะมีสิ่งปลูกสร้างและหมู่บ้าน ถนนหนทางในมองโกเลีย บางแห่งอยู่ในสภาพที่วัดใจพอควร เพราะดูแล้วรถไม่น่าผ่านได้ เหมาะแก่การควบม้ามากกว่า
" />
 
    บ้านของหมอบาซล่าอยู่ชั้นล่าง ประตูต้องมี 2ชั้น ชั้นในบุด้วยโฟมและมีแผ่นหนังปิดด้านในอีกที เพื่อป้องกันความหนาวเย็น ได้พบกับครอบครัวของหมอบาซล่า แต่งตัวแบบพื้นเมืองทำอาหารรอรับพวกเราอยู่แล้ว
" />
 
    อาหารเย็นมื้อแรก คือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อม้า และเกี๊ยวซ่านึ่งไส้แพะ นี่เป็นการทานเนื้อม้าครั้งแรกในชีวิตค่ะ ยึดคติว่า เราพึงทำตนให้เขาเลี้ยงง่าย เมื่อเข้าเมืองม้าก็ต้องกินม้า เนื้อม้าค่อนข้างเหนียวและคาวมาก จึงมาพร้อมแตงกวาและผักกาดดองกิมจิ แก้เลี่ยน ลูกล่ะนึกถึงพริกป่นน้ำปลา ต้นหอมผักชีมากๆ แต่ที่นี่มีแต่เกลือกับพริกไทยให้เท่านั้น
 
    ส่วนเครื่องดื่มยอดนิยม มาแล้วต้องชิม คือ นมแพะใส่ชาเขียว เหยาะเกลือนิดหน่อย ทานเสร็จก่อนนอนก็นั่งสมาธิ และนึกถึงภารกิจที่จะทำต่อไปในวันพรุ่งนี้ นึกว่าถ้าชาวมองโกลได้ดู DMC และนั่งสมาธิกันทั้งประเทศจะเป็นยังไงบ้างนะ แค่นึกก็ปลื้มแล้วค่ะ เพราะคนที่นี่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนามาก
 
    ในครั้งที่มีการอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ ผ่านมาประดิษฐานที่มองโกเลีย ประชาชนพอทราบข่าวบ้างก็ขี่ม้า บ้างเดินเท้าฝ่าลมหนาวและเส้นทางภูเขาที่ยาวไกลมาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลูกก็รู้สึกดีใจที่เราเป็นชาวพุทธที่ไม่ใกล้เกลือกินด่าง และยังได้มาทำหน้าที่เผยแผ่ความรู้อันบริสุทธิ์นี้ด้วยค่ะ
" />

    เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปวัดที่ท่านมุงจากาลอยู่ มีเวลาเปิดตอนประมาณ 9โมงเช้า พระหรือลามะ จะพักที่บ้านกับครอบครัวของตนเอง และเดินทางมาวัดตอนเช้า กลับบ้านตอนเที่ยงหรือถ้ามีกิจกรรมของวัด ก็กลับตอนเย็น ไม่มีพระภิกษุอยู่ประจำ คนที่มาวัดก็จะมาเพื่อฟังสวดมนต์ ทำบุญ บ้างก็มาปรึกษาปัญหาชีวิต เรามาถึงวัดตรงกับวันเสาร์ ในโบสถ์มีคนมาฟังพระสวด ประมาณ 6-7คน
    ขณะพระสวดมนต์ พระและสามเณรจะตีกลอง ตีฉาบ เป่าสังข์  เป็นจังหวะไปด้วย ชาวบ้านจะนั่งเก้าอี้ ที่อยู่ติดกับผนังโบสถ์ ซึ่งรายล้อมไปด้วยพระพุทธรูป ด้านล่างจารึกชื่อคนสร้าง จำนวนบุตรและอายุ จากนั้นพวกเราก็ไปกราบท่านเจ้าอาวาส เพื่อถวายหนังสือต่างๆ แล้วก็ฉาย VCD ประวัติวัดพระธรรมกาย
 
    และกิจกรรมต่างๆ ซึ่งท่านก็ดูด้วยความสนใจ บางจังหวะพอเห็นภาพชาวพุทธจำนวนมากท่านก็อุทาน “อู้ฮู” ขึ้นมา พระที่ดูอยู่ข้างๆต่างมุงดูตาแทบไม่กระพริบ ชุดจีวรของพระที่นี่มักเป็นสีแดงหรือเหลือง ใส่รองเท้าแบบมองโกล ที่เหมือนรองเท้าบูทลวดลายสวยงาม ด้านในเป็นถุงเท้าขนแกะ
" />
    จากนั้น เราจึงออกเดินทางไปยังบริษัทจานดาวเทียม เพื่อให้มาติดตั้งสัญญาณ DMC ที่วัด โดยเราได้ให้ข้อมูลพิกัดในการจูนหาสัญญาณดาวธรรม ซึ่งวันนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนที่ให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ไปทำการติดตั้งให้ ก็ต้องมาลุ้นกันหน่อยล่ะคะว่า จะจูนได้หรือไม่ ทางบริษัทก็บอกว่าจะพยายามอย่างเต็มที่
" />
 
    แต่ระหว่างนี้ เราก็ไปทานมื้อกลางวันกัน (ทานอีกแล้ว ถ้าหิวตามก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ) พบกับอาหารมองโกเลียที่เป็น Hot pot คือ หม้อต้ม ใส่เนื้อและผักต่างๆลงไป เนื้อจะเป็นชิ้นโตๆบางๆ มีกรรไกรมาให้ตัดเอง มีน้ำจิ้ม และอาหารสไตล์ฝรั่ง เช่น สเต๊กเนื้อ แกะ แพะ วัว หมู ไก่ ปลา  คงจะเป็นเพราะอิทธิพลของวัฒนธรรมรัสเซีย พระมองโกเลียจะใช้มีด ส้อม ฉันอาหารฝรั่งได้อย่างคล่องแคล่ว และการใช้ตะเกียบก็จะทะมัดทะแมงเช่นกัน
" />

    ทานอาหารเสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปยังจุดสูงสุดของ เมืองอูลันบาตอ ซึ่งมีอนุสาวรีย์วีรชนตั้งอยู่ อนุสาวรีย์นี้สร้างเมื่อญี่ปุ่นมาทำสงครามกับมองโกเลีย

    โดยมีประเทศรัสเซียมาช่วยรบ จนมองโกเลียประสบชัยชนะ บนยอดจุดสูงสุดของเมืองนี้ จะต้องเดินขึ้นบันไดไปมองลงมา จะเห็นตัวเมืองอูลันบาตอ แม่น้ำ และภูเขาโดยรอบเมือง รวมทั้งพระพุทธรูปยืน ที่จุดศูนย์กลางของวัดด้วย จากนั้นเราก็ไปชมพิพิธภัณฑ์ ที่เคยเป็นวังของข่านองค์สุดท้าย ชื่อ “บ็อธข่าน” ข่าน
พระองค์นี้ ท่านมีศรัทธาอย่างมากในพระพุทธศาสนาและยังได้บวชเป็นพระในช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วย เรื่องราวชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไร และภารกิจติดจานดาวธรรมจะสำเร็จหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...
" /> " />
 
" /> " />


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
มองโกล มองไกล ตอนที่ 2มองโกล มองไกล ตอนที่ 2

สาธารณรัฐ แอฟริกาใต้สาธารณรัฐ แอฟริกาใต้

มหาทุคตะ (ยุคปัจจุบัน)มหาทุคตะ (ยุคปัจจุบัน)



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน