Steve jobs คําคม ข้อคิดในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จ


[ 14 มิ.ย. 2555 ] - [ 18302 ] LINE it!

">

สตีฟ จอบส์
ข้อคิด คำคม จากสตีฟ จอบส์
">

 
">


สตีฟ จอบส์กับคำกล่าวของเขา
">
 
">
สตีฟ จอบส์ บรรยายในพิธีรับปริญญา
">
 
">

คําคม ข้อคิด Steve jobs


1. “Stay Hungry, Stay Foolish” หรือ

จงกระหาย และ ทำตัวโง่ให้ตลอดเวลา
เพราะถ้าเมื่อไหร่เราอิ่ม และ เรารู้สึกว่าตัวเองฉลาด เราจะไม่มีทางพัฒนา
 
2.“Innovation distinguishes between a leader and a follower.”

นวัตกรรมแยกผู้นำกับผู้ตามออกจากกัน


3.“If Apple becomes a place where computers are a commodity item, where the romance is gone, and where people forget that computers are the most incredible invention that man has ever invented, I’ll feel I have lost Apple. But if I’m a million miles away, and all those people still feel those things … then I will feel that my genes are still there.”

ถ้า Apple เป็นที่ที่คอมพิวเตอร์กลายเป็นสิ่งที่ธรรมดา ความน่าตื่นตาหายไป และคนลืมไปว่า คอมพิวเตอร์ คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มหัศจรรย์ที่สุดที่มนุษย์เคยรังสรรค์ขึ้นมา ผมคงรู้สึกว่าผมสูญเสีย Apple ไป แต่ถ้าผมอยู่ห่างออกไปแสนไกลแล้ว แต่คนยังรู้สึกแบบแบบนั้น (Apple ยังตื่นตาและรู้ว่าคอมพิวเตอร์คือสิ่งที่ดีที่สุด) ผมคงรู้สึกว่าพันธุกรรมของผมยังคงอยู่ที่นั่น


4.“Sometimes when you innovate, you make mistakes. It is best to admit them quickly, and get on with improving your other innovations.”

ในบางครั้งเมื่อคุณสร้างนวัตกรรม คุณก็สร้างสิ่งที่ผิดพลาด สิ่งที่ดีที่สุดคือ คุณยอมรับความผิดพลาดนั้นอย่างรวดเร็ว และพัฒนามันในนวัตกรรมอื่นๆของคุณ


5.“Be a yardstick of quality. Some people aren’t used to an environment where excellence is expected.”

จงเป็นมาตราฐานของคุณภาพ เพราะคนบางคนไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ความสุดยอดเป็นที่ต้องการ


6.“My job is to not be easy on people. My job is to make them better.”

หน้าที่ของผมไม่ใช่การทำตัวดีกับผู้คน หน้าที่ของผมคือช่วยให้พวกเขาดีขึ้น



7.“When you’re a carpenter making a beautiful chest of drawers, you’re not going to use a piece of plywood on the back, even though it faces the wall and nobody will ever see it. You’ll know it’s there, so you’re going to use a beautiful piece of wood on the back. For you to sleep well at night, the aesthetic, the quality, has to be carried all the way through.”

เมื่อคุณเป็นช่างไม้ที่สร้างตู้ลิ้นชักที่สวยงาม คุณคงจะไม่ใช้แค่ไม้อัดที่ด้านหลัง ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ติดกับกำแพงและไม่มีใครจะเห็นมัน แต่คุณเองที่รู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น ดังนั้นจงใช้ชิ้นไม้ที่สวยในด้านหลังเช่นกัน เพื่อจะทำให้คุณหลับสบายตอนกลางคืน เพราะความสวยงามและคุณภาพจะต้องดำเนินตลอดไป



8.“People think focus means saying yes to the thing you’ve got to focus on. But that’s not what it means at all. It means saying no to the hundred other good ideas that there are. You have to pick carefully.”

คนส่วนใหญ่คิดว่าความตั้งใจหมายถึงการพูดว่า ใช่ ในสิ่งที่คุณสนใจ แต่มันไม่ใช่เลย มันหมายถึงการปฏิเสธไอเดียดีๆอื่นอีกหลายร้อยแบบที่มี คุณจะต้องเลือกทำอย่างระมัดระวัง



9.“My position coming back to Apple was that our industry was in a coma. It reminded me of Detroit in the ’70s, when American cars were boats on wheels.”

ตำแหน่งของผมตอนกลับมาที่ Apple คือตอนที่อุตสาหรกรรมคอมพิวเตอร์กำลังอยู่ในช่วงโคม่า ซึ่งนั่นทำให้ผมนึกถึง อุตสาหกรรมรถยนต์ปี ช่วงปี 1970 ที่รถอเมริกัน คือ เรือติดล้อ



10.“Design is a funny word. Some people think design means how it looks. But of course, if you dig deeper, it’s really how it works. The design of the Mac wasn’t what it looked like, although that was part of it. Primarily, it was how it worked. To design something really well, you have to get it. You have to really grok what it’s all about.”

การออกแบบ คือคำที่ตลกนะ คนบางคนคิดว่าการออกแบบหมายถึงว่า ภาพลักษณ์ที่เห็นด้วยตา แต่จริงๆแล้ว ถ้าคุณดูให้ลึกลงไป จริงๆ แล้วมันคือว่า มันทำงานอย่างไรมากกว่า การออกแบบ Mac จึงไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่ตาเห็น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่มันสำคัญตรงที่มันทำงานอย่างไร การออกแบบบางอย่างให้ดี คุณต้องเข้าใจมันก่อน คุณต้องเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งว่ามันคืออะไร


11.“Simple can be harder than complex: You have to work hard to get your thinking clean to make it simple. But it’s worth it in the end because once you get there, you can move mountains.”

ความง่ายจริงๆ แล้วยากกว่าความซับซ้อน เพราะคุณจะต้องทำงานหนักเพื่อให้คุณคิดว่าจะทำอย่างไรให้มันง่าย แต่สุดท้ายมันสุดแสนคุ้มค่าที่จะทำ เพราะคุณจะสามารถเคลื่อนภูเขาได้ง่ายดาย


12.“Being the richest man in the cemetery doesn’t matter to me. Going to bed at night saying we’ve done something wonderful, that’s what matters to me.”

การเป็นชายที่รวยที่สุดในสุสาน มันไม่ได้สำคัญอะไรกับผมเลย การได้พูดกับตัวเองก่อนนอนว่า เราได้ทำบางสิ่งที่สุดยอด นั่นต่างหากที่สำคัญสำหรับผม


13.“Innovation has nothing to do with how many R&D dollars you have. When Apple came up with the Mac, IBM was spending at least 100 times more on R&D. It’s not about money. It’s about the people you have, how you’re led, and how much you get it.”

นวัตกรรม ไม่ได้มีความเกี่ยวอะไรกับจำนวนเงินที่คุณลงทุนในการวิจัยและพัฒนาแม้แต่น้อย เพราะตอน Apple เปิดตัว Mac, IBM ใช้เงินมากกว่า 100 เท่าในการวิจัยและพัฒนา มันไม่เกี่ยวกับเงิน มันเกี่ยวกับคนที่คุณมี คุณนำทางพวกเขาอย่างไร และ คุณเข้าใจมันมากแค่ไหน


14.“Innovation … comes from saying no to 1,000 things to make sure we don’t get on the wrong track or try to do too much. We’re always thinking about new markets we could enter, but it’s only by saying no that you can concentrate on the things that are really important.”

นวัตกรรมมาจากการปฏิเสธให้กับ 1,000 อย่าง ที่ทำให้เราจะมั่นใจว่าเราไม่ไปในทางที่ผิดหรือลองทำมันมากจนเกินไป เรามักจะคิดเกี่ยวกับตลาดใหม่ที่เราจะเข้าไป แต่ถ้าเราแค่ปฎิเสธบางสิ่งที่ทำให้คุณสามารถตั้งใจกับสิ่งที่สำคัญก็พอแล้ว


15.“Your work is going to fill a large part of your life, and the only way to be truly satisfied is to do what you believe is great work. And the only way to do great work is to love what you do. If you haven’t found it yet, keep looking. Don’t settle. As with all matters of the heart, you’ll know when you find it. And, like any great relationship, it just gets better and better as the years roll on. So keep looking until you find it. Don’t settle.”

งานของคุณคือการเติมเต็มในสิ่งที่สำคัญในชีวิตคุณ และทางเดียวที่จะพอใจได้คือการทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันคือสิ่งที่ดี และทางเดียวที่จะทำงานที่ดีได้คือรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณหามันไม่เจอ ก็หามันต่อไป อย่าหยุด ทุกสิ่งที่สำคัญมันอยู่ในใจคุณ คุณจะรู้เองเมื่อใจมัน และ เหมือนกับเรื่องความสัมพันธ์ คุณจะทำมันดีขึ้นในทุกๆปี จงมองหามันจนกว่าจะเจอ อย่าหยุด



16.“When I was 17, I read a quote that went something like: ‘If you live each day as if it was your last, someday you’ll most certainly be right.’ It made an impression on me, and since then, for the past 33 years, I have looked in the mirror every morning and asked myself: ‘If today were the last day of my life, would I want to do what I am about to do today?’ And whenever the answer has been ‘No’ for too many days in a row, I know I need to change something.”

ตอนผมอายุ 17 ผมอ่านคำคมที่เกี่ยวกับว่า จงใช้ชีวิตในทุกวันให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วซักวันหนึ่งคุณจะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง นั่นทำให้ผมประทับใจและจดจำ ตั้งแต่วันนั้นผ่านมา 33 ปี ผมดูตัวเองในกระจกทุกเช้าแล้วถามตัวเอง ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมอยากจะทำอะไรในวันนี้ที่ต้องทำหรือไม่ และ ถ้าในกระจกตอบว่าไม่หลายวันติดกัน ผมก็รุ้แล้วว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง



17.“Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life. Don’t be trapped by dogma — which is living with the results of other people’s thinking. Don’t let the noise of others’ opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.”

เวลาของคุณมีจำกัด อย่าเสียเวลาไปอยู่ในชีวิตของคนอื่น อย่าไปอยู่ในกฎ เพราะนั่นหมายถึงการใช้ชีวิตในผลลัพธ์ที่ผู้อื่นคิด อย่าให้เสียงของคนอื่นมาเอาชนะเสียงภายในตัวคุณ และสิ่งที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าพอที่จะตามสัญชาติญาณและใจของคุณ เพราะมันรู้อยู่แล้วว่าคุณจริงๆแล้วต้องการจะเป็นอะไร สิ่งอื่นๆคือสิ่งที่รองลงไป



18.“I get asked a lot why Apple’s customers are so loyal. It’s not because they belong to the Church of Mac! That’s ridiculous. It’s because when you buy our products, and three months later you get stuck on something, you quickly figure out [how to get past it]. And you think, ‘Wow, someone over there at Apple actually thought of this!’”

ผมถูกถามเสมอว่าทำไมลูกค้า Apple ถึงได้จงรักภักดีขนาดนี้ ผมว่ามันไม่ใช่เพราะเค้าเป็นสมาชิกอยู่ในโบสถ์ของ Mac นะนั่นมันไร้สาระ มันเป็นเพราะเขาซื้อสินค้า แล้วสามเดือนหลังจากนั้นเขาเจอปัญหาอะไรบางอย่าง แล้วเขาแก้มันได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวเอง แล้วเขาก็รู้สึกว่า ว๊าวบางคนใน Apple คิดถึงเรื่องนี้ด้วย



19.“Remembering that I’ll be dead soon is the most important tool I’ve ever encountered to help me make the big choices in life. Because almost everything — all external expectations, all pride, all fear of embarrassment or failure — these things just fall away in the face of death, leaving only what is truly important. Remembering that you are going to die is the best way I know to avoid the trap of thinking you have something to lose. You are already naked. There is no reason not to follow your heart.”

การได้ระลึกเสมอว่าผมจะตายในเร็ววันนี้คือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่ผมเคยพบเจอซึ่งมันช่วยผมในการตัดสินใจเลือกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต เพราะเกือบทุกอย่าง รวมถึงความคาดหวังจากภายนอก ความภูมิใจ ความกลัวในความน่าอาย หรือ ล้มเหลว พวกนั้นมันหายไปทันทีเมื่อคุณเผชิญหน้ากับความตาย และมันจะหลงเหลือแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ การระลึกได้ว่าคุณกำลังจะตาย จึงเป็นทางที่ดีที่สุดให้ผมรู้ว่าจะหลีกเลี่ยงกับดักทางความคิดที่คุณมีเรื่องคุณมีอะไรจะเสีย จริงๆแล้วคุณกำลังเปลือย มันไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้คุณไม่ทำตามใจของคุณ



บทความดีๆ ที่ “สตีฟ จอบส์” บรรยายในพิธีรับปริญญา


">
      การบรรยายของ สตีฟ จอบส์ ผู้สร้าง Macintosh ที่แสดงในวันรับปริญญาของ Stanford University เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2548 ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้
">
 
">
     สุนทรพจน์วันนั้นจอบส์เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขา ซึ่ง แม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
">

">
">
">
">
">
">

บทสรุปการบรรยายในพิธีรับปริญญา
">
ที่ Stanford University
ของ สตีฟ จ๊อบส์
 
">
">

 
">
">
">
     
"ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลายในวันจบการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชีวิตจริง
 
ของผมให้น้องๆ ฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น"
 
">
">
">
">
">
 
">
">
">
สตีฟ จอบส์ กล่าวในพิธีรับปริญญา 
">
">
">
">
">
">
">
">
 
">
สตีฟ จอบส์ ในวันรับปริญญาของ Stanford University  เมื่อปี 2548

">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">

 เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุด
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">

 
">
">
     
"ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก"
 
">
">
 
">
">
">
     
"เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆ ของผมเป็นนักเรียนสาวที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่
นี้เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชายคุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?" 
"พ่อแม่ผมตอบว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆ ของผมค้นพบว่า แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผมไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมหลายเดือนหลังจากนั้น
 
ก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
     
หลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน หลัง
จากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต 
ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่
">
">
">
">
">สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรียนแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน
">
">
">
">
">
">
">

  สตีฟ จอบส์สมัยเรียนไฮสกูล

สตีฟ จอบส์ เริ่มเรียนหนังสือที่ Cupertino Junior High School
และ Homestead High School แคลิฟอร์เนีย
">
">
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
     
ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงินค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆ วันอาทิตย์ ผมจะเดิน 7 ไมล์จาก 
ฟากหนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่งเพื่อไปกินข้าวดีๆ ซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ ผมรักมันมาก การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ ผมจะยกตัวอย่างซัก
เรื่องนะครับ
 
 
">
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
     มหาวิทยาลัยรีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลา
ออกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟ แบบซานเซรีฟเรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็น
เรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก 
วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์ Macintosh รุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำ
">
">
">
">
">
">
">
">
">ให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้วิธีก๊อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม
 
สตีฟ จอบส์ กับ macintosh 

Macintosh เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม

">
">
      แน่นอนครับ มันเป็นไปไม่
ได้ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต 
ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้องๆ ต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆ ต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะ
ครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตะ ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก
 
 
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">

บทเรียนที่ 2 ความรักและการสูญเสีย 
  
  
  
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">

  ในปีค.ศ. 1977 สตีฟ จ๊อบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่อง Apple II ออกสู่ตลาด

ในปีค.ศ. 1977 สตีฟ จอบส์ กับวอซเนียก ได้นำเครื่อง Apple II ออกสู่ตลาด
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
     
ผมเป็นคนโชคดีที่ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซ (Waz) ก่อตั้ง Apple ในโรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุ 20 ปี เราทำงานกันหนักมากครับ ภายใน 10 ปี Apple ขยายจากแค่เรา 2 คน ในโรงรถ เป็นบริษัท 
มูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา เครื่องแมคอินทอช 1 ปีก่อนหน้าที่ผมจะอายุเต็ม 30 ปี แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่
ออกจากบริษัทที่เราก่อตั้งมาเองกับมือหรือครับ?
 
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
   
คือว่าเมื่อแอปเปิ้ลโตขึ้นเราก็จ้างคนที่เราคิดว่าเก่งมากๆ มาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มแยกทางกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะ
 
กรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุ 30 ปี แล้วก็ออกแบบเป็นข่าวดังมากด้วย ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก
">
">
">ผมไม่รู้จะทำอะไรเป็นเวลาหลาย เดือนหลังจากนั้นผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวังรู้สึกว่า ผมทำไมผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมันมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพคการ์ด กับบ๊อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษพวกเขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง
 
 
">
">
">
">
">

">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
สตีฟ จอบส์ลาออก 
 
สตีฟ จอบส์เคยล้มเหลว แต่พร้อมที่จะลุกสู้ทุกเมื่อ
">
">
">
">
">
">
 
     ช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆ ว่าผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่ Apple ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่
 
ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ลกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดกับผมได้ ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อ
มั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต
 
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
 
     ในช่วง 5 ปี หลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัทชื่อ NeXT อีกบริษัทชื่อ Pixar  และตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาผม Pixar สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วนๆ เรื่องแรกของ
 
โลก คือ Toy Story
">
"> 
และตอนนี้เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก หนึ่งในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าพิศวงคือ เมื่อแอปเปิ้ลซื้อกิจการของ
">
">NeXT กลับคืนสู่แอปเปิ้ล และเทคโนโลยีที่พัฒนาที NeXT ก็กลายเป็นหัวใจของ Apple ยุครุ่งเรืองในปัจจุบัน 
 
สตีฟ จอบส์และภรรยา 
">
">

สตีฟ จอบส์และภรรยาที่แสนดี

">
">
">
">
     ตอนนี้ลอรีนและผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน 
ผมเชื่อว่าเรื่องราวเหลานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าแอปเปิ้ลไม่ไล่ผมออก แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมก็คิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอดี บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ ผมเชื่อว่าสิ่งเดียว
ที่ทำให้ผมผ่านช่วงนั้นมาได้ คือความรักในสิ่งที่ผมทำ น้องๆ ต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก ผมหมายถึงทั้งงานและคนรัก เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน คือ เมื่อเราทำ
งานที่ยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้งานออกมายอดเยี่ยมคือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าน้องๆ ยังหางานนั้นไม่เจอ จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งานก็เหมือนเรื่องของหัวใจเรื่องอื่นๆ ตรงที่เราจะรู้ว่ามัน "ใช่" เมื่อได้เจอ
กับมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นผมอยากย้ำให้น้องๆ ตามหางานที่รักจนกว่าจะเจออย่าท้อถอย
 
 
 
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">

บทเรียนที่ 3 ความตาย
 
 
 
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">

 
">
">
">
">
">
สตีฟ จอบส์ 
 
สตีฟ จอบส์ Steve jobs
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
     
ตอนผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้ ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมาก 
กว่า 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยน
อะไรบางอย่างแล้ว 
ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆ ของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิด
พลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่
แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
     
ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผม
เป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆ
 
ถึงสิ่งต่างๆที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา
">
">
">
">
">
">
 
สตีป จอบส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง apple 
">
">
">
">
">
">
 
ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็
วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง
">
">
">
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
">
">
">
    ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผมผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อนดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์
ออกมา ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้
 
ด้วยการผ่าตัด หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ
">
">
">
">
 
">
">
">
">
">
      นั่นเป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆ ฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่นามธรรมสำหรับผม
">
">
">ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น

     เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่ ตอนนี้น้องๆ ทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดูเว่อร์นะครับ แต่มันเป็นความจริง
 
     เวลาของน้องๆ มีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจของเราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่าน้องๆ อยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น
 
 
The Whole Earth Catalog 
 
หนังสือ The Whole Earth Catalog 
 
       ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เป็นคนเมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโปรแกรมเวิร์ด แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีดกรรไกรและกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆ มากมาย

     สจวตและทีมของเขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยามเช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ Stay Hungry. Stay Foolish. แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอด และในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่


ผมขออวยพรให้น้องๆ ด้วยประโยคนี้ครับ "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ" ขอบคุณมากครับ
 
รับชมวิดีโอ
 


 
บทความที่เกี่ยวข้องกับสตีฟ จอบส์ กับข้อคิดในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็ํจ
 
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">
">


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
วันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม 2566วันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม 2566

วิธีป้องกันไม่ให้น้ำท่วมบ้านอย่างได้ผลวิธีป้องกันไม่ให้น้ำท่วมบ้านอย่างได้ผล

ส้วมเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมส้วมเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ความรู้รอบตัว