รองเท้ามหัศจรรย์พันธุ์รวยแรงแห่งยุค

 

        กระผม ศรัณย์ ภูริปรัชญา เจ้าของบริษัท จี พี เอ็ม กรุ๊ป (1997) จำกัด และบริษัท ซี-เท็ค ฟุตแวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เจ้าของธุรกิจรองเท้าที่กำลังฮอตฮิตติดเทรนด์อยู่ในขณะนี้ ซึ่งรู้จักกันดีภายใต้ยี่ห้อโมโนโบ้, มิกซ์สตาร์ และคาร์ด๊าส ปีนี้มีแต่คนเรียกร้องให้ผมเขียนจดหมายมาถวายรายงานหลวงพ่ออีกครั้งครับ เพราะใครๆก็อยากรู้ว่า “ผลจากการพลิกชีวิตด้วยบุญกฐิน ตอนต่อไปของผมจะเป็นอย่างไร” แต่ก่อนที่ผมจะเล่าว่า ปีนี้ได้เกิดปาฏิหาริย์มหัศจรรย์พันลึกกับผมอย่างไรนั้น ผมขอเล่าย้อนถึงอดีตชีวิตแบบย่อๆสักเล็กน้อยเพื่อให้คนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวของผมได้เข้าใจครับ

 

 

 

        อดีตของผม แม้จะเป็นคนหล่อ แต่ บ่...จี๊ ที่เริ่มทำธุรกิจรองเท้า โดยมีพนักงาน คือ ผมกับภรรยา เพียงสองคน ซึ่งตอนนั้นผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆส่งรองเท้าไปขายตามร้านต่างๆ แต่ยิ่งทำยิ่งเจ๊งครับ จนมีหนี้ท่วมท้นถึงสิบล้านบาท จากความทุกข์ตรงนี้เองครับ ทำให้ผมคิดได้ว่า “ในเมื่อชาตินี้ เราโดนความจนคุกคาม ดังนั้น เราต้องรีบทำบุญใหญ่ เพื่อคุกคามความจนให้หมดไป” และเมื่อคิดอย่างนี้ ผมจึงตัดสินใจรวบรวมเงินก้อนสุดท้ายของชีวิตทำบุญหนึ่งเอ็มแรก ในงานสลายร่างคุณยายอาจารย์ และเมื่อทำบุญไปแล้วก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดคาดไม่ถึง กล่าวคือ จากธุรกิจติดลบจำนวนมหาศาล กลับพลิกฟื้นมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างท้วมท้นต่อเนื่อง จนทำให้ปัจจุบัน ผมรวยแบบพุ่งกระฉูด เพราะนอกจากจะมีเงินใช้หนี้แล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เป็นต้นมา ผมยังมีเงินเป็นประธานกองกฐินระดับเอ็มต่อเนื่องทุกปี จนกระทั่งมาในปี พ.ศ.2550 ผมได้เป็นประธานกองไปถึง 2 โมดุล และปี พ.ศ.2551 ยังเป็นประธานกองกฐินไปที่ 2 โกฏิ ได้สร้างองค์พระไปสองพันกว่าองค์

 

        ในปี พ.ศ.2552 หลังจากที่เป็นประธานกองกฐินไปแล้วหลายเอ็ม บุญก็ส่งผลแบบรุนแรงและเฉียบพลัน กล่าวคือ มีเหตุทำให้ผมได้โรงงานใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ขนาด 20 ไร่ และเปิดบริษัทใหม่เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง จนผมมั่นใจขอรับบุญเป็นเจ้าภาพทอดกฐินปี พ.ศ.2553 แบบเป็นประธานเหมาชั้น ซึ่งพอรับบุญกฐินแบบเหมาชั้นไปเท่านั้นเองครับ ก็เกิดเรื่องใหญ่อีก กล่าวคือ ความรวยมันรุมเร้า พุ่งเข้าชนผมจากทุกทิศทุกทาง เพราะรองเท้ายี่ห้อคาร์ด๊าส ที่ผมเพิ่งปรับโฉมใหม่ไป โดยเพิ่มราคาขายให้แพงกว่าเดิม กลับขายดีมากกว่าตอนตั้งราคาไว้แบบถูกๆอีกครับ ทั้งๆที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาลงขนาดนี้ ซึ่งสวนทางกับคนในวงการผลิตรองเท้าบางราย ที่แม้จะลดราคาลงแล้ว ก็ยังขายไม่ค่อยจะได้ ธุรกิจของเขาทยอย...ร่วง ส่วนของผมทยอย...รุ่ง

 

 

        อีกทั้ง นายทุนผู้ผลิตรองเท้ายักษ์ใหญ่หลายราย ได้เลิกผลิต ปิดโรงงานไปหลายเจ้าแล้ว อย่างรายที่ทำรองเท้ายี่ห้อลอกเลียนแบบของผม ที่ผมเคยกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ ตอนนี้ก็อำลาวงการไปแล้วครับ จึงทำให้ผมไร้คู่แข่งโดยไม่ต้องไปจัดการอะไรเขาเลยนอกจากทำแต่บุญ และหลังจากเป็นประธานกองกฐินแบบเหมาชั้นแล้ว ได้มีคนมาเสนอขายเครื่องจักร ซึ่งราคาจริงๆมีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท แต่ผมซื้อมาได้ในราคาแค่ 20 กว่าล้านบาทเท่านั้น เพราะโรงงานรองเท้าเจ้าอื่นเขาเจ๊ง จึงนำเครื่องจักรที่ไม่ได้ผ่านการใช้งานมาเลย มาขายให้ผมในราคาต่ำกว่าทุนจำนวนหลายเครื่อง ทำให้ผมประหยัดไปหลายสิบล้านบาทครับ จนมีแต่คนเอาเรื่องของผมไปพูดกันว่า “เฮียศรัณย์เป็นคนดวงดี ที่ได้ของดี ราคาถูก”

 

 

        นอกจากปีนี้ ผมจะได้ของดี ราคาถูกแล้ว ผมยังแหกกฎการตลาด เนื่องจากปกติธุรกิจวงการแฟชั่นรองเท้าผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนแบบถี่มากๆ คือ ต้องเปลี่ยนแบบทุกๆ 3 เดือนจึงจะขายได้ เพราะแฟชั่นของสาวๆสมัยนี้เปรี้ยวปรี๊ดปร๊าด ต้องการอะไรใหม่ๆตลอดเวลา แต่แบบรองเท้าของผมนั้น ใช้แบบเดิมมานานถึง 3 ปีแล้ว บางรุ่นก็นานถึง 5 ปี แต่ยังฮอตฮิตติดชาร์ทเป็นเบสท์เซลเลอร์อยู่เลยครับ แถมยังเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าเดิม ทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลานั่งกลุ้มกุมขมับคิดแบบใหม่ๆ จึงเหลือเวลามานั่งสมาธิทำใจใสๆ แล้วคิดแต่ว่า “วันๆจะทำบุญอะไร”

 

 

        ที่แปลกมากไปกว่านั้น คือ นายทุนบางเจ้าที่เขาเห็นรองเท้าของผมขายดีในระดับพีค (Peek) เขาเลยเกิดอาการสะท้านและหวั่นไหว จึงไปปรับแผนการตลาดใหม่ เพื่อให้อยู่บนสนามการแข่งขันเดียวกับผมให้ได้ โดยเขาทำรองเท้าสไตล์เกาหลีออกมาประชันกับรองเท้าของผม แต่พอประชันไปประชันมา รองเท้าของผมก็ขายดีกว่ามากทั้งในและต่างประเทศ ถึงขนาดที่ว่าเมื่อลูกค้าต่างประเทศมารับสินค้าไปเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ยังไม่ทันเอาไปขายเลยครับก็รีบสั่งซื้อเพิ่มทันทีแบบตู้ต่อตู้ จนทำให้เดือนสิงหาคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจของผมมียอดส่งของเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว (เพิ่มขึ้นถึง 100 % ) โดยใช้พนักงานลดลง 30-40% จึงเป็นเหตุให้รายจ่ายเท่าเดิม แต่รายรับกลับพุ่งขึ้นแบบเหลือเชื่อครับ

 

        สุดท้ายนี้ ผมขอยืนยันว่า “บุญกฐินเป็นบุญที่พลิกชีวิตของผมจริงๆครับ จึงอยากจะชวนทุกคนมาตั้งกองเป็นประธานกองกฐินกัน แล้วอย่าลืมมาเวียนประทักษิณอัญเชิญรูปหล่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯแก้วใส ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2554 นี้นะครับ”

 

กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ศรัณย์ ภูริปรัชญา