คำถาม – คำตอบ เกี่ยวกับการบวช
เฉลยชัด!
คำถาม – คำตอบ เกี่ยวกับการบวช
ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวโครงการอุปสมบทหมู่ ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ก็เกิดกระแสการตอบรับจากชายไทยอย่างท่วมท้น โดยดูจากคำถามที่ประเดประดังเข้ามาที่ศูนย์รับข้อมูลของโครงการเป็นจำนวนมาก จนทีมงานฯ เพิกเฉยต่อไม่ได้ จึงทำการคัดคำถามและขออนุญาตทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการเข้ากราบสัมภาษณ์ พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ M.D.;Ph.D ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งท่านรับหน้าที่เป็นประธานคณะทำงานอุปสมบทหมู่ทุกโครงการที่ผ่านมา...
ทำไมต้องบวชตั้ง 100,000 รูป มากเกินไปหรือเปล่า?
บวชกันมากขนาดนี้ มีการวางแผนตั้งรับและจัดระบบกันอย่างไร?
อยากบวชเอง...เดี่ยวๆ แบบเงียบๆ สงบๆ มากกว่ามาบวชเป็นแสน เพราะไม่อยากเจอความวุ่นวาย
บวชแสนรูป...ได้บุญต่างจากบวชเองอย่างไร?
เคยบวชแล้ว ทำไมต้องบวชอีก?
จากสำนวนไทยที่ว่า ชาย 3 โบสถ์ คบไม่ได้ อย่างนี้บวชแล้วบวชอีกจะดีหรือ?
ทำไมต้องบวช...ในเมื่อทุกวันนี้ก็เป็นคนดี ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน?
อยากบวชจริงๆ แต่ลางานไม่ได้ ทำอย่างไร?
บวชทำไม บวชแล้วดีอย่างไร?
การบวชในพระพุทธศาสนามีกี่วิธี?
การบวชในยุคปัจจุบันใช้แบบไหน?
ทุกวันนี้...ก็ทดแทนคุณพ่อแม่ดีอยู่แล้ว ให้เงินและเลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี ทำไมต้องบวชให้ด้วย?
ทำไมต้องโกนศรีษะ ถือศีล 8 อบรมกันก่อนบวช... ให้บวชทันทีเลยไม่ได้หรือ?
ระยะเวลาการอบรมนานเกินไปหรือเปล่า?
อบรมแล้วต้องอดข้าวเย็นด้วย กลัวทนไม่ได้
การบวชสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนให้ดีขึ้นได้จริงหรือ?
กลัวความลำบากทำอย่างไร?
บวชแล้วได้บุญจริงหรือ คุ้มไหมกับการเสียเวลา?
บวชเมื่อไหร่ก็เหมือนกัน เอาไว้พร้อมแล้วค่อยบวชก็ได้จริงหรือ?
โครงการนี้ เป็นหนึ่งในโครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก ที่เกิดขึ้นโดยดำริของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อรวมพลังพุทธบริษัท 4 ทั้งแผ่นดิน ช่วยกันฟื้นฟูประเพณีการบวช และการสร้างศาสนาทายาท เพื่อสืบอายุพระศาสนา โดยวัดพระธรรมกายทำหน้าที่ประสานงานอำนวยความสะดวกให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการ
สืบเนื่องมาจากการที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้รับทราบข้อมูลจากพระเถระผู้ใหญ่ว่า ปัจจุบันนี้วัดต่างๆ มีผู้มาบวชจำพรรษาน้อยลงมาก ขนาดพระอารามหลวงในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งแต่ก่อนเคยมีผู้บวชจำพรรษาปีละ 40-50 รูป ปีนี้ผู้เข้ามาบวชจำพรรษาเพียงแค่ 1-2 รูป บางวัดก็ไม่มีเลยแม้แต่รูปเดียว ทั้งๆ ที่ประชากรที่อยู่รายรอบวัดในเขตกรุงเทพฯ มีมากถึง 10 ล้านกว่าคน ตรงจุดนี้แสดงให้เห็นว่า ธรรมเนียมที่ชายไทยจะต้องบวชให้ได้อย่างน้อย 1 พรรษา เมื่ออายุครบกำหนดบวช เริ่มเลือนหายไป
มิหนำซ้ำยังพบว่า จากสถิติที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสำรวจ ณ วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 พบว่า ในประเทศไทยมีวัดร้างถึง 5,937 วัด อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนน่าเป็นห่วงสถานการณ์ของพระพุทธศาสนา เพราะปัญหาสังคมกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากปัญหาศีลธรรมที่เสื่อมลง อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ลงเรื่องโจรบุกวัดตัดเศียรพระพุทธรูปไปขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการลงมือกระทำอย่างอุกอาจไม่กลัวบาปกรรม หรือแม้กระทั่งปัญหาการรุกที่วัดในเขตภาคใต้ แล้วขุดดินในเขตสงฆ์ไปขาย หรือปัญหาอบายมุข ทั้งๆ ที่ประเทศเราเป็นเมืองพุทธแท้ๆ แต่กลับมีสถิติการดื่มเหล้ามากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ตลอดจนปัญหาที่ใกล้ตัวเข้ามาอีกก็คือ ปัญหาครอบครัวแตกแยก ลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ปัญหาโจรผู้ร้าย ปัญหาความไม่สงบในบ้านเมือง อาชญากรรม ยาเสพย์ติดต่างๆ นานา แต่ในขณะที่ปัญหาสังคมกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น และสังคมก็กำลังโหยหาธรรมะอย่างยิ่ง แต่จำนวนพระภิกษุผู้จะทำหน้าที่สอนศีลธรรมแก่ประชาชนกลับลดลงไปทุกที
ภาพประวัติศาสตร์ของการบวชพระเรือนแสนรูป ณ วัดพระธรรมกาย
การอบรมในครั้งนี้ นอกจากจะจัดอบรมที่วัดพระธรรมกายแล้ว ยังจัดอบรมในวัดต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วภูมิภาคของประเทศ เพื่อเพิ่มความสะดวกตามภูมิลำเนาของผู้อยู่ใกล้ เนื่องจากโครงการนี้ พระผู้ใหญ่จากวัดต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อเพิ่มความสะดวกตามภูมิลำเนาของผู้อยู่ใกล้ เนื่องจากโครงการนี้ พระผู้ใหญ่จากวัดต่างๆ ทั่วสังฆมณฑล ท่านยินดีเปิดวัดของท่านเป็นสถานที่จัดอบรมกว่า 500 วัดทั่วประเทศ เพราะท่านอุทิศชีวิตมาบวชในพระพุทธศาสนาหยัดสู้ ยอมเหนื่อยถึงขนาดนี้ ก็หวังจะเห็นความเจริญของพระพุทธศาสนา อยากจะฟื้นฟูศีลธรรมโลก ดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยสืบไป ท่านจึงได้ส่งตัวแทนพระพี่เลี้ยงมาเข้าร่วมประชุมสัมมนา วางระบบการตั้งรับด้วยกัน
อีกทั้งทางโครงการยังเปิดรับสมัครธรรมทายาทผู้เคยผ่านการอุปสมบทมาแล้ว ให้กลับมาบวชใหม่ เพื่อฝึกอบรมเตรียมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพระพี่เลี้ยงในโครงการอีกด้วย ซึ่งการอบรมครั้งนี้จะเป็นมาตรฐานและหลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ เพราะจะมีการถ่ายทอดสดการอบรมเทศน์สอนจากพระเถระผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมจากทั้งแผ่นดิน โดยผ่านทีวีดาวเทียม กระจายไปอย่างทั่วถึงพร้อมกันทั่วประเทศ
การบวชเป็นหมู่คณะจะดีกว่าบวชเดี่ยวในกรณีที่ว่า พลังหมู่จะเสริมพลังเดี่ยว เหมือนเด็กที่ไม่ยอมไปโรงเรียน แล้วไปบอกพ่อแม่ว่า ผมไม่อยากไปโรงเรียนเพราะคนเยอะคนเยอะวุ่นวาย ขออ่านหนังสือสงบๆ นั่งอ่านคนเดียวเงียบๆ อยู่ที่บ้านดีกว่า สมมุติว่าพ่อแม่อนุญาต แล้วเราแอบย่องไปดูว่าเด็กคนนี้จะยอมนั่งอ่านหนังสือตลอดวัน วันละ 7 ชม เหมือนอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่า ซึ่งเราจะพบว่าเด็กน้อยคนมากที่จะดูหนังสือเองได้วันละ 7 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ดูไปสักพักก็จะแอบนอน เล่นอินเตอร์เน็ต แอบแชต เล่นเกม หรือไม่ก็แอบหนีไปเที่ยว แต่เด็กที่ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนตามปกติ แน่นอน...! เขาจะได้เรียนเต็มเวลา คือ 7 ชั่วโมง เพราะโรงเรียนมีกฎระเบียบ มีอาจารย์คอยดูแล มีเพื่อน มีพลังหมู่ช่วยเสริมพลังเดี่ยว การมาบวชเรียนธรรมะก็เหมือนกัน พลังหมู่จะทำให้เราสามารถลุกมาสวดมนต์ตี 4 นั่งสมาธิตรงเวลา ได้ศึกษาธรรมะที่มีหลักสูตรที่ถูกวางไว้เป็นอย่างดีแล้วซึ่งการไปบวชครั้งนี้ นับว่าโชคดีมาก เพราะผู้ชวนจะได้เรียนรู้ธรรมะจากพระเถระผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมจากทั่วไปประเทศ ซึ่งการไปบวชเดี่ยวคนเดียว จะไม่ได้รับโอกาสอย่างนี้ ไหนๆ เราก็สละเวลามาบวชแล้ว การบวชครั้งหนึ่งในชีวิตก็น่าจะได้ อะไรที่ดีที่สุดกลับไป
การอบรมได้กระจายกันบวชตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
โครงการบวชพระแสนรูป เกียรติประวัติสูงสุดในชีวิต
การบวชพระแสนรูปเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และไม่ใช่สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดจะทำขึ้นมาก็ทำได้ ต้องเกิดจากการรวมพลังพุทธบริษัท 4 ทั้งแผ่นดินจึงจะสำเร็จ ซึ่งเมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็จะส่งผลต่อความยั่งยืนของพระพุทธศาสนาให้ปักหลักอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยอย่างยืนยาว
ผู้ที่บวชแสนรูปในครั้งนี้ ถือเป็นเกียรติประวัติชีวิตอันสูงสุด เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กอบกู้ฟื้นฟูศีลธรรมโลกให้หวนกลับคืนมา เพราะการบวชเองเดี่ยวๆ และรอวันเวลาให้มีพระนักปฏิบัติเกิดขึ้นทีละรูป สองรูป ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกที่เสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ
บวชพระยอยกพระพุทธศาสนาให้เฟื่องฟูเหมือนในสมัยพุทธกาล
ดังนั้น ผู้ชวนบวชในโครงการนี้ จะได้บุญพิเศษเหนือกว่าการบวชเองแบบธรรมดาๆ ทั่วไป ซึ่งผลบุญจากการกอบกู้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เข้มแข็งและต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวนี้เอง จะเป็นทางลัดที่ย่นย่อภพชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดให้ลดน้อยลง
ในฐานะที่เป็นผู้องอาจในการยอยกพระพุทธศาสนาให้เฟื่องฟูรุ่งเรือง ก็จะมีอานิสงส์ทำให้ชีวิตไม่พบกับความตกต่ำ จะมีฤทธิ์ไม่มีประมาณ เหมือนการประกอบเหตุของพระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ ต่อพระพุทธศาสนา อีกทั้งการใช้ปัญญาพิจารณาตริตรองจนเห็นบุญที่จะเกิดแก่ตนเองแล้วรีบขวนขวายทำ ก็จะทำให้เป็นผู้มีปัญญามาก เมื่อบุญส่งผลถึงคราวจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็บรรลุได้โดยง่าย
คำถามนี้ ก็คล้ายๆ กับคำถามที่ว่า เมื่อวานกินข้าวไปแล้ว...ทำไมวันนี้ต้องกินอีก กินไปแล้วก็น่าจะพอแล้ว ตรงนี้เราจะเห็นว่า ร่างกายยังต้องการอาหารไปหล่อเลี้ยงให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ จิตใจก็เช่นเดียวกัน ย่อมต้องการบุญกุศลไปหล่อเลี้ยงใจให้ผ่องใสมีพลังอยู่เสมอเช่นกัน ในเมื่อภาวะปัจจุบันทำให้จิตใจต้องเจอกับปัญหาต่างๆ นานาที่เพิ่มขึ้น ทำให้สภาพจิตใจเสียความปกติไป วิ่งเราจะเห็นได้จากอาการเครียด หงุดหงิด เศร้า วิตกกังวล หมดกำลังใจ จากนั้นก็ไปแสวงหาทางออกผิดๆ โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วจิตใจต้องการธรรมโอสถเพื่อบำบัด ต้องการความสงบเพื่อคิดทบทวนตนเอง ฝึกฝนปฏิรูปตนเองและเรียนรู้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งบุญกุศลจากการบวช นอกจากจะทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นยังส่งผลช่วยให้ชีวิตประณีตและมีความสุขมากขึ้น
แม้แต่พระมหากษัตริย์ไทยก็ยังทรงให้ความสำคัญ
อยากบวช แต่ลางานไม่ได้ ไม่ต้องกังวล
มี 3 วิธีหลัก และ 2 วิธีพิเศษ
การบวชมี 3 วิธีหลัก ได้แก่
1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นวิธีการอุปสมบทช่วงต้นของพุทธกาล โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ประทานการบวชให้ด้วยพระองค์เอง โดยพระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวา แล้วเปล่งพระสุรเสียงว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด” หากผู้นั้นยังไม่บรรลุอรหัตผล พระองค์ก็จะตรัสต่อไปว่า “เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” ซึ่งผู้ที่จะได้รับประทานการบวชแบบนี้ จะต้องสั่งสมบุญในอดีตมามากพอ โดยเฉพาะบุญจากการทอดกฐิน ถวายผ้าไตรจีวร และด้วยอำนาจบุญนี้เอง บาตรและจีวรจะบังเกิดขึ้นแก่ผู้บวชเป็นอัศจรรย์
2. ติสรณคมนูปสัมปทา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานอนุญาตให้พระสาวกรูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้บวชให้ เพราะเมื่อพระพุทธสาสนาแผ่ขยายออกไป ก็เกิดความไม่สะดวกต่อกุลบุตรผู้มีศรัทธาอยากบวช เนื่องจาต้องเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อให้ทรงประทานการบวชให้ ซึ่งการบวชวีนี้ ผู้บวชจะต้องกล่าวเพื่อขอถึงไตรสรณคมน์คือ ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง 3 รอบ ก็สามารถเป็นภิกษุได้โดยบริบรูณ์
3. ญัตติจตุตถกัมมูปสัมปทา เป็นวิธีบวชที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบอำนาจให้คณะสงฆ์ คือ ภิกษุตั้งแต่ 10 รูปขึ้นไปร่วมกันทำ (ในดินแดนห่างไกลที่มีพระภิกษุน้อย พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระบรมพุทธานุยาตให้พระภิกษุจำนวน 5 รูปขึ้นไป ให้การอุปสมบทได้) พระภิกษุที่บวชด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก คือ พระราธะ โดยมีพระอุปฌาย์ คือ พระสารีบุตร วิธีนี้เป็นวิธีบรรพชาอุปสมบทที่ใช้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
การบวชโดย 2 วิธีพิเศษ ที่ใช้ในสมัยพุทธกาล ได้แก่
1. โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา เป็นวิธีบวชที่พระพุทธเจ้าทรงมอบพระโอวาทให้รับไปปฏิบัติด้วย ซึ่งการบวชนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานแก่พระมหากัสสปะรูปเดียวเท่านั้น ในพระไตรปิฏกมีการกล่าวถึงพระโอวาทที่พระองค์ตรัสประทานแก่พระมหากัสสปะไว้ดังนี้
“ดูก่อนกัสสปะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกาอย่างนี้ว่า เราจักเข้าไปตั้งหิริโอตตัปปะอย่างแรงกล้าไว้ในภิกษุทั้งหลาย ทั้งที่เป็นเถระ ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ และทั้งที่มีพรรษาปานกลาง
ดูก่อนกัสสปะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักฟังธรรมทั้งหมดที่ประกอบไปด้วยกุศล เราจักเงี่ยโสตลงฟังธรรมนั้นทั้งหมดแล้วประมวลมาไว้ด้วยใจ
ดูก่อนกัสสปะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า กายตถาคตสติที่เกิดพร้อมด้วยความยินดีจักไม่พรากจากเราดูก่อนกัสสปะเธอพึงศึกษาอย่างว่ามานี้แล”
2. ทายัชชูปสัมปทา วิธีนี้พระพุทะเจ้าทรงใช้บวชสามเณรที่อายุยังไม่ครบ 20 ปี แต่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นพระอรหันต์แล้ว และรับภาระหนักเทียบเท่าพระภิกษุได้ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าทรงประทานการบวชให้เองโดยตรัสว่า “อชฺชโต ปฐฺฐาย ภิกฺขุ โหหิ” (เธอจงเป็นภิกษุตั้งแต่วันนี้ไป) คำว่า ทายัชชูปสัมปทา แปลว่า การรับเข้าหมู่โดยความเป็นทายาท สามเณรที่พระพุทธเจ้าทรงบวชยกขึ้นเป็นพระมีอยู่ 3 รูปคือ
1. สามเณรสุมมะ 2. สามเณรโสปากะ 3. สามเณรทัพพะ
1. ถ้าจะบรรพชาเป็นสามเณรอย่างเดียว ให้ใช้วิธี ติสรณคมนูปสัมปทา
2. ถ้าจะบรรพชาและอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ให้ใช้วิธี ติสรณคมนูปสัมปทา เพื่อยกฐานะเป็นสามเณรก่อน แล้วจึงค่อยทำการอุปสมบทด้วยวิธี ญัตติจตุตถกัมมูปสัมปทา เพื่อยกฐานะจากสามเณรขึ้นเป็นพระภิกษุอีกทีหนึ่ง
บวชให้พ่อแม่ได้บุญใหญ่
2. การมีระยะเวลาการอบรมช่วงก่อนบวช จะมีผลดีต่อผู้บวชเอง เพราะผู้บวชจะได้มีเวลาท่องจำบทสวดมนต์ คำขานนาค ขออุปสมบทเป็นภาษาบาลีได้ นอกจากนี้ ยังได้ซ้อมบรรพชา ซ้อมบวช เพื่อให้การบวชของเราศักดิ์สิทธิ์และสมบรูณ์แบบที่สุด
3. ระยะเวลาอบรมก่อนบวชเป็นช่วงที่มีไว้เพื่อบ่มเพาะคุณธรรมให้พร้อมที่จะเป็นพระแท้อย่างแท้จริง การฝึกวินัย เคารพ อดทน และการนั่งสมาธิ จะทำให้เรามีความบริสุทธิ์บริบูรณ์เพียงพอ ซึ่งจะทำให้พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามา ตลอดจนญาติโยมกราบไหว้เราได้อย่างสนิทใจ
ไม่นานเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจากการบวช ซึ่งเราจะนำไปใช้ได้ชั่วชีวิต เพราะนิสัยที่ไม่ดีในตัวเรามีตั้งมากมาย จะเปลี่ยน จะปรับปรุง จะสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องใช้เวลาบ่มเพาะนิสัยที่ดีๆ ให้เกิดขึ้นจนกลายมาเป็นนิสัยใหม่ของเรา
ถ้าเราบวช อย่างไรก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าเราตั้งใจจริงแค่ไหน เพราะในการบวชเราจะได้เรียนรู้หลักธรรมจากพระอาจารย์ผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตได้อย่างดียิ่ง เราจะเข้าใจว่า ทำไมคนระดับไอน์สไตน์จึงยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเรารู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าประเสริฐสุดยอดอย่างไร อีกทั้งจะได้ปฏิวัตินิสัยตัวเองครั้งใหญ่ เพราะในการอบรม เราจะได้ฝึกกิจวัตรกิจกรรมทุกอย่างให้เป็นระบบระเบียบ ทำให้ธรรมะซึมซับไปสู่วิถีชีวิตของเราจริงๆ
เคยลองถามผู้มาบวชรุ่นก่อนๆ ซึ่งเขาเป็นลูกคุณหนู ไม่เคยทำงานบ้านอะไรเลย นอนตื่น 10 โมง ตื่นเที่ยงประจำ แต่เขาก็สามารถอยู่ได้จนจบโครงการ อีกทั้งยังภูมิใจ ปลื้มใจตัวเอง พอลองไปถามเขาว่า ลำบากแค่ไหน เขาตอบว่า หากความลำบากเพียงแค่นี้เขายังทนไม่ได้ ต่อไปเขาจะทนอะไรได้ เพราะชีวิตในสังคมปัจจุบันต้องปากกัดตีนถีบมากกว่านี้หลายเท่า และยังถามต่อว่า แล้วเคยคิดท้อไหม? เขาตอบว่า หากเขาท้อแล้วสึกออกไปก่อนจบโครงการ เขาก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย และจะติดเป็นนิสัย เป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรต่อไปก็ไม่สำเร็จ
ทั้งจริง ทั้งคุ้ม เพราะบุญบวชเป็นบุญใหญ่ที่สามารถปิดนรกเปิดสวรรค์ให้กับผู้บวช หากตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็จะได้บุญอันจะนับประมาณมิได้ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “ถึงแม้จะมีผู้วิเศษเก็บดอกไม้จากป่าหิมพานต์ แล้วนำมาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง 1,000 พระองค์ กระทำดังนี้ทุกวัน ผลบุญจากการบูชานั้นก็ไม่เท่าผลบุญจากการบวชเป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา”(ที่มา : การบวชในพระพุทธศาสนา พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
นอกจากนี้ การบวชยังส่งผลให้เราได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาเป็นเวลานานถึง 64 กัป ผู้ที่สนับสนุนการบวชก็ได้บุญด้วยหลายกัป เวลา 1 กัป เป็นเวลาที่ยาวนานมาก สมมติว่า มีขุนเขากว้างใหญ่สูง 1 โยชน์ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์( 1 โยชน์ เท่ากับ 16 กิโลเมตร) ทุกเวลา 100 ปี นำผ้าบางเบาเหมือนควันไฟมาลูบขุนเขานั้นหนหนึ่ง จนขุนเขานั้นสึกลงมาราบเสมอกับพื้นดิน ระยะเวลานี้เท่ากับ 1 กัป
ไม่มีใครรับรองว่าเราจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน ยิ่งพ่อแม่ของเราท่านก็อายุมากแล้ว ก็ไม่แน่ว่าใครจะไปก่อนใคร ถ้าบวชได้ก็บวชตอนนี้เลย ไม่ควรประมาท แล้วอีกอย่างคราวหน้าจะได้บวชจริงหรือ ไม่บวชตอนนี้อาจจะพลาดโอกาสไม่ได้บวชเลยก็ได้ อีกทั้งยิ่งบวชเร็ว ก็ยิ่งได้ประโยชน์เร็ว
สิ่งที่อยากฝากไว้
ประเพณีการบวชพระ ขั้นตอนการบวชพระทำอย่างไร
>> นำเสนอคลิปวิดีโอ พิเศษ ! ชวนบวชแบบมันส์ ฮา และได้สาระ
สมุุดภาพบวช Gallery โครงการอุปสมบทหมู่ 100 ,000 รูป เข้าพรรษา 2553