ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2554
ตอน พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 90 อุเบกขาบารมี
พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ตอนที่ 90 "อุเบกขาบารมี"
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
สำหรับบารมีข้อสุดท้ายที่พระโพธิสัตว์จะได้บำเพ็ญต่อไปนั้น คือ อุเบกขาบารมี
10.อุเบกขา มีความหมายอยู่ทั้งหมดสามนัยยะด้วยกัน ดังนี้
นัยยะที่หนึ่ง หมายถึง ความเป็นผู้ที่มีใจเที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือหมายถึง การให้ความเป็นธรรมกับทุกคนอย่างเสมอภาคกัน โดยไม่มีอคติหรือลำเอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความลำเอียงเพราะรัก ความลำเอียงเพราะชัง ความลำเอียงเพราะหลง หรือความลำเอียงเพราะกลัว
นัยยะที่สอง หมายถึง การปล่อยวาง หรือการวางเฉยเมื่อเห็นว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้แล้ว สำหรับในกรณีที่ยังสามารถช่วยเหลือกันได้ ก็ให้ช่วยเหลือกันไป แต่ถ้าหากไม่สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้แล้ว พระโพธิสัตว์ก็จะปล่อยวาง โดยพิจารณาว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมใดไว้ ก็ย่อมได้รับผลของกรรม (ที่ตัวเขาได้ทำ)-นั้น เป็นต้น
นัยยะที่สาม หมายถึง การวางเฉยในอารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะเป็นอารมณ์ที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจก็ตาม พระโพธิสัตว์ก็จะต้องมีใจที่สงบนิ่ง (ใสเย็น แจ่มกระจ่าง)-คือ มีอารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ (เป็นสภาวะกลางๆเฉยๆ อย่างผู้ที่มองโลกไปตามความเป็นจริง)
ดังนั้น อุเบกขาบารมี จึงหมายถึง การฝึกใจของพระโพธิสัตว์ให้หยุดนิ่ง โดยไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์หรือสิ่งต่างๆที่มากระทบอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ว่าอารมณ์หรือสิ่งต่างๆที่มากระทบใจของพระโพธิสัตว์นั้น จะเป็นสิ่งที่น่าชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม
อีกทั้ง ยังเป็นการฝึกให้พระโพธิสัตว์มีใจที่บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป จะได้ไม่เอนเอียงไปตามความยินดียินร้ายอันเกิดจากความอคติลำเอียงต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคน สัตว์ สิ่งของ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง พระโพธิสัตว์จึงจำเป็นจะต้องฝึกวางใจให้เป็นกลางๆในธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าสิ่งต่างๆที่ท่านจะต้องพบเจอในหนทางการสร้างบารมีนั้น จะเป็นความสุขหรือจะเป็นความทุกข์ก็ตาม
ดังนั้น อุเบกขาบารมี จึงถือเป็นบารมีอันดับสุดท้ายในบารมีสิบทัศที่สำคัญมาก ซึ่งพระโพธิสัตว์จะต้องกระทำอย่างยิ่งยวด เพราะพระโพธิสัตว์ได้เล็งเห็นแล้วว่า อุปสรรคสำคัญที่จะมาบั่นทอนการสร้างบารมีของท่านนั้น คือ ความมีใจเอนเอียงต่อสิ่งต่างๆที่มากระทบ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมาในรูปของความสุขหรือความทุกข์ก็ตาม อันเป็นเหตุทำให้ใจของพระโพธิสัตว์อาจจะกระเพื่อมขึ้นๆลงๆด้วยความดีใจหรือเสียใจขึ้นมาได้
ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ พระโพธิสัตว์จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบำเพ็ญอุเบกขาบารมี โดยการฝึกใจให้วางเฉย ไม่ยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้งแปดประการ อันได้แก่ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ นั่นเอง
ดังนั้น การบำเพ็ญอุเบกขาบารมีของพระโพธิสัตว์ จึงอุปมาเหมือนกับแผ่นดินที่คนทิ้งสิ่งของที่สะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง แผ่นดินย่อมไม่แสดงอาการใดๆ มีแต่นิ่งเฉยไม่หวั่นไหว ฉันใด พระโพธิสัตว์ก็วางใจเป็นกลาง ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายได้ ฉันนั้น
จากเรื่องราวของบารมีทั้งสิบทัศที่ได้กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่ากว่าบารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละท่านจะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จนได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์ทุกๆท่านจะต้องทุ่มเทในการสั่งสมบ่มบารมีทั้งสิบทัศให้แก่รอบ ให้เข้มข้น ให้บริบูรณ์อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันเลยทีเดียว ชนิดที่เรียกว่า ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ หรือต้องแลกมาด้วยชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งบารมีนั้น...ท่านก็ยอม ซึ่งทั้งหมดที่พระโพธิสัตว์ได้ทุ่มเททำไปนี้ ก็เป็นไปเพื่อมวลมนุษย์ชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่บารมีของพระโพธิสัตว์เต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว เมื่อนั้นพระโพธิสัตว์ก็จะเสด็จมาบังเกิดบนโลกมนุษย์ พร้อมกับตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งวัฏสงสารได้ในที่สุด นอกจากนี้ บารมียังสามารถแบ่งระดับตามความเข้มข้นของการสร้างบารมีได้อีกสามระดับ ส่วนแต่ละระดับจะมีความแตกต่างและความเข้มข้นต่างกันอย่างไรนั้น เราคงต้องติดตามกันในตอนต่อไป