สภาพของเปรตแต่ละชนิด


[ 3 พ.ค. 2554 ] - [ 18268 ] LINE it!

ตายแล้วไปไหน
ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร
 
สภาพของเปรตแต่ละชนิด
 
เปรตถูกกาจิก
เปรตถูกแร้ง การุมจิกกินเนื้อ
 
     เปรตชิ้นเนื้อ ครั้งหนึ่งพระมหาโมคคัลลานเถระได้เห็นชิ้นเนื้อลอยอยู่ในอากาศ พวกแร้งบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างพากันโผถลาตามจิกทึ้งชิ้นเนื้อนั้น และชิ้นเนื้อนั้นก็ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร จึงคิดว่าน่าอัศจรรย์เป็นนักหนา ต่อมาได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าประวัติของเปรตตนนี้ว่า
 
     ในชาติก่อน เปรตชิ้นเนื้อตนนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าโค ครั้นตายแล้ว ก็ไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในขุมนรกอยู่นานนักหนา เมื่อหมดกรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตชิ้นเนื้อ เสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศเห็นปานนี้
 
     เปรตก้อนเนื้อ คราวหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นก้อนเนื้อลอยอยู่ในอากาศ เหล่าแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็พากันโผถลาตามจิกทึ้งก้อนเนื้อนั้นเป็นอลหม่าน และก้อนเนื้อนั้น ก็ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร พระบรมศาสดาได้ตรัสเล่าประวัติของเปรตตนนี้ว่า
 
     ในชาติก่อน เปรตก้อนเนื้อตนนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่านกขาย ครั้นเขาทำกาลกิริยาตายไปแล้ว ไปตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานานนักหนา เมื่อหมดกรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตก้อนเนื้อ เสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศเห็นปานนี้
 
     เปรตไม่มีผิวหนัง คราวหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นบุรุษไม่มีผิวหนังลอยอยู่ในอากาศ เหล่าแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็พากันโผถลาตามจิกทึ้งบุรุษเปรตประหลาดนั้นเป็นอลหม่าน บุรุษเปรต ผู้ไม่มีผิวหนัง ก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญครางโอดโอยอยู่ สมเด็จพระบรมครูเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติของเปรตตนนี้ว่า
 
เปรตไม่มีผิวหนัง
เปรตไม่มีผิวหนังปวดแสบปวดร้อนทุกข์ทรมานแสนสาหัส
 
     ในชาติก่อน เปรตผู้ไม่มีผิวหนังนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าแกะขาย ฆ่าแล้วถลกหนังไปขาย บางคราวก็ถลกหนังเสียทั้งเป็นๆ ครั้นเขาทำกาลกิริยาตายไปแล้วก็ตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานานนักหนา เมื่อหมดกรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมยังมี จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์เปรตไม่มีผิวหนัง เสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศเห็นปานนี้
 
     เปรตหญิงไม่มีผิวหนัง สมัยหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตหญิงตนหนึ่ง ซึ่งไม่มีผิวหนัง ลอยอยู่ในเวหาส เหล่าแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมต่างโผถลารุมตามจิกทึ้งอยู่ตลอดเวลา เปรตหญิงนี้ ก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติของเปรตตนนี้ว่า
 
     ในชาติก่อน เปรตหญิงซึ่งไม่มีผิวหนังนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ประพฤตินอกใจสามี ไปคบชู้อยู่กับบุรุษอื่น เมื่อดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก เสวยทุกข์โทษสิ้นกาลช้านาน ครั้นหมดกรรมพ้นจากขุมนรกแล้ว เศษกรรมชั่วยังมี จึงต้องมาเกิดในเปตติวิสัยภูมิ เป็นเปรตหญิงไม่มีผิวหนัง และถูกสัตว์เปรตคือ แร้ง กา นกตะกรุมจิกทึ้งอยู่เช่นนั้น
 
     เปรตหัวด้วน สมัยหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตตนหนึ่งซึ่งไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก ลอยอยู่ในเวหาส มีหมู่แร้ง กา และนกตะกรุมพากันรุมจิกรุมทึ้งอยู่ตลอดเวลา เปรตหัวด้วนตนนั้น ก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติของเปรตตนนี้ว่า
 
เปรตหัวด้วน
เปรตหัวด้วนด้วยกรรมที่เคยเป็นเพชฌฆาต
 
     ในชาติก่อน เปรตตนนี้เกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพไม่บริสุทธิ์ คือ เป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจร มีนามว่า “ หาริกะ” อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้ เมื่อดับชีวิต ขาดใจตายแล้วได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เสวยทุกข์โทษอยู่สิ้นกาลนาน ครั้นหมดกรรมพ้นจากขุมนรกแล้ว เศษกรรมชั่วยังมี จึงต้องมาเกิดในเปตติวิสัยภูมิ เป็นเปรตศีรษะขาดรูปร่างแปลกประหลาด และถูกแร้ง กา และนกตะกรุมพากันรุมจิกทึ้งอยู่เช่นนั้น
 
     เปรตบรรพชิต อีกหลายสมัยต่อมา พระมหาโมคคัลลานะ ผู้มีทิพยจักษุ ได้เห็นเปรตซึ่งมีรูปร่างเป็นภิกษุ เปรตมีรูปร่างเป็นภิกษุณี เปรตมีรูปร่างเป็นสิกขมานา เปรตมีรูปร่างเป็นสามเณร และเปรตมีรูปร่างเป็นสามเณรี เปรตเหล่านี้ล่องลอยอยู่ในอากาศ บาตรก็ดี จีวรก็ดี ประคตเอวก็ดี ของเปรตเหล่านั้นลุกเป็นเปลวไฟโชติช่วงแผดเผาร่างกายอยู่ตลอดเวลา และเปรตเหล่านั้น ก็ได้แต่ส่งเสียงร้องครวญครางไปมาบนอากาศ เป็นที่น่าแปลกประหลาดอัศจรรย์เป็นที่สุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าประวัติของเปรตเหล่านั้นว่า
 
     ในชาติก่อน เปรตเหล่านั้น ได้เกิดเป็นมนุษย์มีโอกาสประเสริฐสุด โดยได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร และสามเณรี ในพระพุทธศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาเหล่านั้นประพฤติผิดธรรม ผิดวินัย มีอาจาระอันชั่วช้า ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เมื่อละโลกแล้ว ได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกอยู่สิ้นกาลช้านาน ครั้นหมดกรรมพ้นจากแดนนรกแล้ว เศษกรรมชั่วยังมี จึงต้องมาเกิดในเปตติวิสยภูมินี้ เป็นเปรตแสนทุเรศ คือ ทรงเพศเป็นภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร และสามเณรี ถูกไฟเผาให้ได้รับความเร่าร้อน ส่งเสียงร้องโอดโอย ครวญครางอย่างน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก ท่องเที่ยวไปมาอยู่ในอากาศเช่นนั้น
 
     บรรดาเปรตทั้งหลาย ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ หากพิจารณาให้ดีก็จะเห็นว่าเป็นเปรตในลักษณะเศษบาปเสียทั้งสิ้น คือ เป็นเปรตประเภทที่ได้ประกอบอกุศลกรรมทำชั่วเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นสัตว์นรกในนิรยภูมิ เสวยทุกข์โทษอยู่จนหมดกรรมในแดนนรกแล้ว แต่ว่าเศษแห่งบาปกรรมยังมีอยู่ จึงต้อง มาเกิดเป็นเปรต มีสภาพต่างๆ กัน ด้วยอำนาจแห่งเศษบาปที่ตนได้กระทำไว้ ฉะนั้นท่านจึงเรียกเปรตประเภทนี้ว่า เปรตเศษบาป
 
รับชมวิดีโอ
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เปรตที่รับส่วนบุญได้และไม่ได้เปรตที่รับส่วนบุญได้และไม่ได้

ทำไมตายแล้วไปเป็นเปรตทำไมตายแล้วไปเป็นเปรต

อสุรกายคืออะไรมีความเป็นอยู่เป็นอย่างไรอสุรกายคืออะไรมีความเป็นอยู่เป็นอย่างไร



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ตายแล้วไปไหน