Negative Thinking ในตัวคุณ บอกอะไร!


[ 24 มิ.ย. 2554 ] - [ 18293 ] LINE it!

 
" />
"ทันโลก ทันธรรม"
" />
ตอน Negative Thinking ในตัวคุณ
" />
 
" />
Negative Thinking ในตัวคุณ 
" />

" />
" />
 NagativeThinking
" />
 
" />
" />
ความคิดนั้น "สำคัญ" ไฉน?
" />
 
 
" />
" />
       
หลายครั้งที่มนุษย์เรามักจะโทษสถานการณ์ภายนอกที่ทำให้ตัวเองย่ำแย่มากกว่าจะโทษตัวเอง ไม่ว่าจะโทษคนอื่น โทษการเมือง รัฐบาล หรือแม้กระทั่งโทษ “ดวงชะตา” ที่ร้ายไปกว่านั้น บางครั้งก็โทษ “พ่อ แม่” ที่เลี้ยงเรามา ไม่ดี แทนที่จะกลับมาคิดว่า “วิธีมองโลก” ของเรา “วิธีปฏิบัติ” ของเรา ผิดปกติ เรา “มองโลกในแง่ร้าย” ไปหรือเปล่า ทำให้เราทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เราไม่ได้ “พัฒนาตนเอง” จึงไม่ประสบความสำเร็จหรือเปล่า? เราลองมาดูแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว..
ปัญหาส่วนใหญ่เลยคือ มนุษย์เรา “ไม่รู้ตัว” ว่าเรามี “ความคิดในทางลบ” หรือที่เรียกว่า Negative Thinker หรือ ผู้ที่คิดลบอยู่เสมอ นั่นเอง
" /> " /> " />

" />
 
ความคิดในทางลบคืออะไร?
“ความคิดในทางลบ” คือ ความคิดที่ไม่สร้างสรรค์ ความคิดที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความคิดที่นำไปสู่ “พฤติกรรมการทำร้าย” ทำให้เกิด “ความสูญเสีย” ทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางวิญญาณ
 
" /> " />
" />
อยากรู้ว่าเราเป็น Negative Thinker ประเภทไหน?
 
หากอยากทราบว่าตนเองเป็น Negative Thinker ประเภทไหนนั้น ก่อนอื่นเราต้องทราบ ดังนี้
 
" />
1. มองตัวเองให้ทะลุปรุโปร่ง ให้เห็นในส่วนของ “รูปแบบความคิด” ของเรา ว่าเราเป็นคน คิดอย่างไรแล้วก็ “ยอมรับ” เมื่อยอมรับได้แล้วก็จะนำไปสู่ การตัดสินใจ ที่จะเปลี่ยนแปลง
 
" />
2. เปลี่ยนแปลงความคิดโดยการใช้ “สติ” หมายถึง การมองย้อนกลับไป ว่า...
 
ตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่แล้วคิดเพื่ออะไร
ตอนนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่แล้วทำไปทำไม
ตอนนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรทุกข์ สุข เศร้าใจ
.
..เท่านี้เราก็พอจะมองออกแล้วว่าเราคิดในทาง “บวก” หรือ “ลบ” โดยการทำ “สติ” ให้อยู่กับตัวเอง แล้วย้อนกลับมา...แน่นอนว่าคนที่ “คิดลบ” จะพบ “ทุกข์ที่ซ่อนเร้น” อยู่ภายในจิตใจของตนเอง
" />
" />
" /> " /> " />


" />
" />
ตีหนูทำไม?
" />
" />

" />
 
ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลถึงความคิดและพฤติกรรม
" />
" />
 
พฤติกรรมที่คิดในเชิง “ลบ” มีอะไรบ้าง?
 
 
...ความคิดในเชิงลบ โดยมากแล้ว มักจะเป็น ปัญหาที่มักจะเกิดในวัยเด็กเราอาจจะมีความขัดแย้งหรือภาวะบอบช้ำ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก อย่างเช่น   
          ถูกพ่อ แม่ ตี โดยที่ตัวเองไม่ได้ทำผิด เป็นต้น จะถูกสะสมอยู่ในระดับ จิตใต้สำนึกแล้ว ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมซึ่งแบ่งเป็น 11 รูปแบบ  คือ..
 
" />
" /> " />
1.      “เย็นชา”
คือ คนที่เฉยๆ ไม่ค่อยยินดี ยินร้าย ขาดเป้าหมายในชีวิต และชอบ “เก็บตัว” เงียบๆ อยู่คนเดียว “เหม่อลอย” และทำงานแบบ ไม่มีแรงบันดาลใจ นิ่งๆ เฉยๆ อยู่ได้เป็นวันๆ วิธีแก้...ต้องใช้ สติ ย้อนเข้ามาดู ว่า หากเรา ไม่สนใจใยดีอย่างนี้จะเกิดผลอย่างไร ถามตัวเองว่าเรา จะ ยอมรับ ผลที่เกิดขึ้นตรงนั้นได้หรือเปล่า?
" /> " />
 
2.     “รักตัวเองไม่เป็น” คือ ไม่รู้จักรักตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง ขาด ความภาคภูมิใจ ในตัวเอง เช่น ไม่พอใจในสรีระของตัวเอง รู้สึกตัวเอง ไม่สวย ไม่ดี ไม่มีความพอดี คิดตำหนิตัวเองอยู่ตลอดเวลา วิธีแก้... คือพอใจในตัวเองและที่ สำคัญคือ คนเราจะใครชอบใคร หรือว่าจะ ยอมรับใคร มันไม่ได้อยู่ลักษณะอาการภายนอก มันอยู่ที่ พื้นฐานข้างใน มันอยู่ที่ “ความงดงามภายใน”
 
" />
3.     “ต้องการเป็นที่ยอมรับอยู่เสมอ” คือ คนที่ต้องการให้คนมา “ยอมรับ” ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราจะสังเกตได้ง่ายๆ คือ คนประเภทนี้จะเป็นคนประเภท ถูกตำหนิไม่ได้ ประเภทฉันไม่ดี ฉันทำอะไรเสียหมด..เธอว่าฉัน เธอทำเองแล้วกัน...ฉันไปดีกว่า วิธีแก้...คือ มองตัวเองและเคารพตัวเอง สร้าง “ภาพลักษณ์” โดยการ “ยอมรับตัวเอง”
 
 
" />
4.      “จมปลักอยู่กับอดีต” คนประเภทที่.. “ฉันเป็นคนอย่างนี้แหล่ะ คงไม่มีใครรักฉันจริง ไม่มีใครที่จะยอมรับฉันได้” แทนที่จะคิดอย่างนั้นให้ “ยอมรับ” ว่า “ฉันเคยเป็น” แต่สิ่งที่ฉัน “เป็น” ในวันนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ “เคยเป็น” ฉันได้ “เปลี่ยนแปลง” แล้ว มีวิธีคิด
 
" />
5.        “อารมณ์ไร้สาระ” คือ คนที่ตกอยู่ในอารมณ์ “รู้สึกผิดมากเกินไป” เช่น ตีอกชกตัวและทำท่า “สำนึกผิด” เพื่อจะได้พ้นตัว และ พ้นความรับผิดชอบไป จะได้มีคนช่วยเหลือและมาทำหน้าที่แทน ทางแก้คือ วิเคราะห์ออกมาแล้วหาทางแก้ไขมีระบบงาน “ชัดเจน”
 
6.       “กลัวการลองของใหม่” คือ คนที่มีระเบียบวินัยมากเกินไป ทำอะไรซ้ำๆ ระมัดระวังเรื่องเวลา ทางแก้คือ ต้องมองให้ออกก่อนว่า ทุกอย่างไม่จำเป็นต้อง “สมบูรณ์แบบ” แค่พอใช้ได้ก็พอล้ว และ อย่ากลัว ความล้มเหลว ให้นึกว่า พอล้มก็ เริ่มใหม่ได้
 
" />
7.         “กลัวการแหวกกรอบของประเพณี” เช่น ถ้าเราไม่ชอบ ก็ไม่ต้องทำ แล้วเลิกจับผิดผู้อื่น
 
" />
8.         “โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม” คือ ประเภท “บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” ให้มองว่า โลกเรานี้ มี “ให้” และ “รับ” เราต้องหัดรับบ้างหัดให้บ้าง โลกเราก็อยู่ได้อย่างสงบสุข   

" />
9.          “ผัดวันประกันพรุ่ง” ต้องแก้โดย ยอม “รับผิดชอบ” ในสิ่งที่เราทำ คือ เมื่อผัดวันประกันพรุ่งแล้วเกิดความเสียหายอย่างไร เราต้องยอมรับและเรียนรู้เพื่อแก้ไข
 
" />
10.      “พึ่งพาผู้อื่น” คือคนประเภท ที่ตัดสินใจเองไม่เป็น ไม่รู้จัก “ความสันโดษ คนประเภทนี้มาจากพื้นฐานครอบครัวประเภทที่ ชอบ “ออกคำสั่ง” ทางแก้ คือ เราต้องรู้ว่า “ใคร” เป็นผู้ “ครอบงำ” ความคิด และการตัดสินใจของเราอยู่ แล้วให้ไปบอกผู้นั้นว่า เราเป็นคน มีหลักการโดยการแสดงให้เขาเห็นว่าเราทำตามหลักการนั้น อย่าปล่อยให้เขามาครอบงำเราได้มาก
 
" /> " />
" />
" />
11.     “โกรธแล้วต้องแสดงออก” ทางแก้คือเราต้องพิจารณา ว่า ความโกรธไม่มีประโยชน์ มันเป็นการโยนสิ่งที่เป็นลบ ให้กับตัวเองและผู้อื่น และ สถานการณ์ที่เรา ควบคุมไม่ได้ เราอาจไม่จำเป็นต้องไปโกรธ เช่น “รถติด” แม้เราจะโกรธไป รถก็ไม่ได้หายติด ทางแก้คือ แก้ที่ “ใจ” ทางแก้คือ หาอะไรที่สร้างสรรค์จรรโลงใจทำดีกว่า เช่น รถติดแล้วเราทำอะไรไม่ได้ก็เปิดซีดีธรรมะฟังดีกว่า
 
" /> " />
พฤติกรรมเชิงลบ (Negative Thinking) ทั้ง 11 แบบ นี้ เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนให้ ตัวเราเห็นว่า
จุดบกพร่อง ของเราเป็นอย่างไร และสามารถแก้ได้ ด้วยการมี “สติ”
" /> " />
 
 
การแก้ไขพฤติกรรมเชิงลบในแบบ “ธรรมะ”
 
...      “หน่อ” แห่งความ “สำเร็จ” อยู่ในตัวเรานี่เอง คนไหนที่มี ”ความคิดเชิงบวก” (Positive Thinking) นั่นหมายถึง คนคนนั้น ได้มี หน่อแห่งความสำเร็จอยู่ภายในแล้ว พร้อมจะผลิดอกออกผลออกไปในภายภาคหน้า แต่ในทางตรงกันข้าม หากเป็น “ความคิดเชิงลบ” ก็จะนำมาซึ่งความคิดแย่ๆ ถ้าคนสองคนนี้เริ่มต้นในจุดเดียวกัน เราจะรู้ได้เลยว่า คนคิดบวก จะมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า 
 
          เรามีหลักที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราไว้สามารถเอาไปนึก “ทบทวน” ได้ตลอดเวลา เพราะเป็นหลัก “สมบูรณ์” เหมือน เห็นต้นไม้ทั้งต้นครบรอบด้าน แล้วทำให้เราคิดต่อไปได้ว่า การคิดทั้งบวกและลบไม่ได้สรุป ณ จุดเวลานั้นๆ เช่น ณ ตอนนี้คิดเชิงบวก พอเวลาผ่านไปอาจเปลี่ยนความคิดเป็นลบได้ จากประสบการณ์ชีวิตที่เข้ามากระทบ
 
 
" /> " /> " />
        การ “ฝึกตนเอง” ให้คิดเชิงบวก แล้วมีพลังแห่งความสำเร็จรออยู่ข้างหน้าจะแก้ความคิดเชิงลบได้อย่างไรนั้น เรามาดูหลักธรรมดังนี้
 
" />

มรรคมีองค์8

" />
" />
" />
" />
มรรคมีองค์ 8 หนทางออกของปัญหาทั้งปวง
" />
 
" />
 
 
มรรคมีองค์ 8  หมายถึง หนทางปฏิบัติ 8 ประการ เพื่อให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่
 
" />
1.          สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก 10 ประการ (เช่น เชื่อว่าการให้ทาน การมีน้ำใจ แบ่งปัน การบูชาผู้ที่ควรบูชา การต้อนรับเป็นสิ่งที่ดี เชื่อว่ากรรมมีจริง เชื่อว่าโลกนี้โลกหน้ามีจริง เชื่อในเรื่องของการเวียนไหว้ตายเกิด เชื่อในพระคุณของบิดามารดา เชื่อในนรกสวรรค์ เชื่อว่าผู้ที่หมดกิเลสแล้วมีจริง) 10 ข้อนี้มีความเกี่ยวโยงกันหมด เข้าใจในการเวียนว่ายตายเกิด และเข้าใจว่าจะออกไปจากวงจรนี้ได้อย่างไร เป้าหมายคืออะไร เหล่านี้ คือจุดเริ่มต้นของ “ความเห็นถูก”
2.          สัมมาสังกัปโป ความคิดถูกต้อง
3.          สัมมาวาจา การพูดจาถูกต้อง
" />
" />
4.          สัมมากัมมันตะ การกระทำถูกต้อง
" />
5.          สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ
" />
6.          สัมมาวายามะ การเพียรถูกต้อง
" />
7.          สัมมาสติ การระลึกได้ถูกต้อง
" />
8.          สัมมาสมาธิ การตั้งใจมั่น รู้จักการทำสมาธิ 
 
 
" />
" />
          มรรคทั้ง 8 องค์จะเสริมสารกันหมด ถ้าเราปฏิบัติทุกข้อ เราจะได้วิธีแก้ไขความคิดเชิงลบในปัจจุบันที่มีอยู่ให้น้อยลง แล้วสร้างความคิดเชิงบวกให้เข้ามามาก ในขณะเดียวกัน หากผู้ที่มีความคิดเชิงบวกอยู่แล้ว ระหว่างนี้อาจมีความคิดเชิงลบเข้ามา  แต่หากเข้าใจ “มรรคมีองค์ 8” แล้วละก็ เราจะสามารถทำให้ “เชื้อบวก” ในใจ เติบโตขึ้น
 
            ให้เราตระหนักให้ดีเลยว่า “สิ่งที่เราคิด” ถ้าย้ำคิดบ่อยๆ มัน จะกลายเป็น “ผัง” อยู่ในใจเรา แล้วชีวิตเราจะเป็นไปตามนั้น  แต่ทั้งนี้ เราต้องสามารถ แยกให้ออกว่า “ความคิดร้ายๆ” กับ ความ “ไม่ประมาท”
 
"คิดร้าย" คือ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวร้ายๆ หดหู่ ใจแย่ลง
 
“ไม่ประมาท” คือ เราจะคิดว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่ หากเกิดความเสียหายขึ้นแล้วเราจะป้องกันอย่างไร ใจจะไม่จดจ่ออยู่กับเรื่องร้ายๆ แต่ว่า “คาดการณ์” และ “เตรียมการ” ป้องกันเหตุร้ายต่างๆ ได้อย่างไร
 
เมื่อเราฝึกตามมรรคมีองค์ 8 เราจะชำนาญมากขึ้น ผลคือเราจะมีพลังความสร้างสรรค์ในตัวอย่างมากมาย...
 
" />
 
        ดูองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างในชาติที่พระองค์ทรงได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนั้น ขณะนั้นท่านกำลังสร้าง “บารมี” อยู่ เกิดเป็น ดาบสชื่อ "สุเมธดาบส" ก็ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า “บุคคลท่านนี้ อีก 4 อสงไขย กับ แสน มหากัลป์ จะบรรลุธรรมเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แม้จะเป็นเวลานานมาก แต่ท่านก็ทรงคิดในแง่ดี สำรวจตนเองเลยว่า จะทำอย่างไรได้บ้างให้ได้รับผลตามพุทธพยากรณ์ ไม่ใช่ว่านั่งรอความสำเร็จ แต่คิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น แล้วท่านก็พบว่าต้องทำ
 
ทศบารมี 10 (ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี) ทบทวนและตั้งใจจะทำสิ่งนี้ต่อไปจนถึงวันที่บรรลุธรรม
 
 
          ...การจะประสบความสำเร็จได้นั้น เราเองต้องมองให้เห็นภาพ “ความสำเร็จ” รออยู่ แม้จะเป็นภารกิจที่ยากเท่าใดก็ตาม อย่านึก “ท้อ” มองแต่ว่า “เป้าหมาย”  แล้วเดินหน้าทำอย่างนั้นโดยไม่ย่อท้อ แม้จะเกิดอุปสรรคใหญ่หลวง ก็ไม่อาจบดบังความคิดเชิงบวกของเราไปได้ เราจะสามารถยืนหยัด แล้วไม่นาน เมฆหมอกที่บัง “ดวงตะวัน” ก็จะผ่านพ้นไป... 
 
 
 
 
 
" /> " /> " /> " />
" />

 
รับชมวิดีโอ
 
 
 
 
 


บทความที่เกี่ยวข้องกับ Negative Thinking ในตัวคุณ
 
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
หางานอย่างไร ให้ได้งาน วิธีการหางานให้ได้ดังใจต้องการหางานอย่างไร ให้ได้งาน วิธีการหางานให้ได้ดังใจต้องการ

โรคอัลไซเมอร์ คืออะไร ทำอย่างไรไม่ให้เป็น!โรคอัลไซเมอร์ คืออะไร ทำอย่างไรไม่ให้เป็น!

Planking หยุดนิ่งโลกทั้งใบ!Planking หยุดนิ่งโลกทั้งใบ!



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

Review รายการ