เผยสูตรตำรับ “พุทธโอสถ” ยาอายุนับ 2500 ปีที่แก้ทุกข์โรค


[ 29 ก.ค. 2549 ] - [ 18257 ] LINE it!

 
 
แม้โลกทุกวันนี้ จะมีวิทยาการรุดหน้าไปเพียงใดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า โรคภัยไข้เจ็บ จะพัฒนาไปเร็วกว่ามนุษย์ก้าวหนึ่งเสมอ เราจึงพบเห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่ทั่วไป  ชาวจีนเชื่อว่าร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ดังนั้น การเจ็บป่วยใดๆ จึงเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้งสี่ การรักษาจึงต้องพยายามปรับให้แต่ละธาตุในร่างกาย มีความพอดี มีความสมดุลกัน  จึงจะทำให้ร่างกายแข็งแรง และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ อย่างไรก็ดี  โลกนี้ก็ยังมีโรคอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่สามารถจะรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่  หรือกินยาอย่างไร ก็ไร้ผล  จนทำให้ผู้ป่วย และคนใกล้ชิดเกิดความทุกข์ทรมานทั้งร่างกาย และจิตใจ  โรคที่ว่าเขาบอกว่าเป็นโรคเกิดจากกิเลส ตัณหาที่นอกจากจะทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานไม่ปกติแล้ว ยังทำให้เกิด “โรคทุกข์” ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม  จึงขอเสนอตำรับยาแก้โรคดังกล่าว ที่เรียกว่า “พุทธโอสถ” มาให้ท่านที่สนใจได้ลองนำไปใช้ดู  เผื่อจะช่วยบรรเทาอาการของโรค หรือถ้าใช้อย่างสม่ำเสมอ  ร่างกายก็อาจสร้าง “ภูมิต้านทาน” ขึ้นมาได้เอง จนโรคร้ายหายไปได้ในที่สุด

ยา “พุทธโอสถ” นี้  ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เป็นตำรับยาของพระพุทธองค์  ที่เก่าแก่และค้นพบมาแล้วกว่า 2500 ปี เป็นยาวิเศษที่มีหลายขนาน และหลายสูตร สุดแต่ผู้ป่วยต้องการรักษาโรคใด ดังจะได้ยกตัวอย่าง ดังต่อไปนี้

- โรคอิจฉาริษยา โรคนี้เมื่อเกิดกับผู้ใด จะเกิดความร้อนรุ่ม ธาตุไฟในตัวจะเพิ่มมากกว่าปกติ  อาการของโรคนี้มีหลายระดับ  และแต่ละคนก็จะแสดงออกไม่เหมือนกัน อย่างบางคนก็เป็นเพียงแต่หมกมุ่น ครุ่นคิด บางคนก็เกิดอาการพาลรีพาลขวาง เช่น คิดว่ายายคนนี้  ไอ้คนนั้น ทำไมถึงได้ตำแหน่ง ทั้งๆ ที่โง่จะตาย สู้เราก็ไม่ได้ เลยหงุดหงิด ขี้โมโห  พาลไม่ทำงานหรือทำแบบเสียไม่ได้  หรือบางคนก็แสดงอาการหมั่นไส้คนที่เราอิจฉา ด้วยการประชดประชัน แดกดัน แต่ถ้าเป็นถึงขั้นหนัก ก็อาจจะเกิดความอาฆาตแค้น  จนถึงกับวางแผนทำร้ายผู้อื่นดังที่เราเห็นจากหนังหรือละครก็มี ทางแก้และยารักษา ส่วนใหญ่ผู้ที่เกิดโรคอิจฉาริษยานั้น มักอยู่บนสมมุติฐาน  2 ประการ คือ ประการแรกเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น  เช่น  จนกว่า  สวยน้อยกว่า เก่งน้อยกว่า ฯลฯ ประการที่สอง เกิดจากการคิดว่าตัวเองดีกว่าผู้อื่น  แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับ หรือได้ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าน่าจะต้องได้มากกว่าผู้อื่น  เช่น คิดว่าตัวเองทำงานเก่ง ฉลาด น่าจะต้องได้รับตำแหน่งที่คาดหวัง แต่กลับไม่ได้  หรือคิดว่าตัวเองควรได้รับมรดกมากกว่า เพราะเป็นพี่คนโต และรับผิดชอบมากกว่า แต่พ่อกลับยกให้น้องคนเล็ก  เป็นต้น 

ดังนั้น  ตำรับยาที่จะแก้โรคนี้ได้  ต้องใช้สูตรที่ชื่อว่า “ความเมตตา” คือ การรู้จักรักตนเองและผู้อื่นให้เป็น มีความปรารถนาดีต่อตนเอง และผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ที่ทำงานหรือแม้แต่กับศัตรู  วิธีใช้  เมื่อตื่นนอนทุกเช้า  ให้ริน “ความเมตตา” ออกมาจากใจ สัก 1 ช้อนโต๊ะแล้วกินก่อนอาหารเช้า  จะทำให้เรามองโลกด้วยความสดชื่น ไม่ไปคอยจับผิดผู้อื่นให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจต่อกัน ทำอะไรกับใคร ก็จะทำด้วยความรัก  เพราะความเมตตาจะเป็นเหมือนน้ำที่ช่วยดับธาตุไฟ อันร้อนรุ่มกลุ้มใจให้ลดน้อยลง  และหากจะให้หายเร็วยิ่งขึ้น อาจจะเพิ่มกลางวัน เย็น  และก่อนนอนอีกครั้งละ 1 ช้อนชา พร้อมฝึกลมหายใจ  ด้วยการหายใจเข้าก็ “ เฮ้อ เธอ” หายใจออกก็ “เฮ้อ  เธอ” คือ ให้เห็นแก่ตัวให้น้อยลง  และเห็นแก่คนอื่นให้มากขึ้น  ไม่นานโรคอิจฉาริษยาก็จะลดน้อยถอยลงไป  หากกินเป็นประจำสม่ำเสมอ  ก็จะทำให้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส  มีเสน่ห์ให้คนอื่นรัก และยอมรับเรามากขึ้นๆ  ทำให้เรารู้สึกมีค่า ไม่ด้อยไปกว่าใคร และจะนำมาซึ่งสิ่งที่เราปรารถนาได้ในที่สุด

- โรคชิงสุกก่อนห่าม โรคนี้มีมาช้านานแต่อดีต แต่ปัจจุบันกำลังระบาดในหมู่วัยรุ่น วัยเรียน อาการของโรคคือ เกิดการ “ป่อง” หรือ “ท้อง” ขึ้นมา เนื่องจากมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร  หรือในขณะที่ยังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน และไม่มีงานทำ  แถมบางคนยังได้โรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคเอดส์  โรคติดยา เป็นต้น แม้สมัยนี้เยาวชนจำนวนไม่น้อย จะรู้จักใช้ยาคุม และถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการท้อง แต่โรคชิงสุกก่อนห่ามนี้  ก็ยังทำให้ผู้ป่วยเกิดความทุกข์  ความเครียด เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม จึงต้องลักลอบทำ ไม่ให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูบาอาจารย์จับได้  โรคนี้กำลังเป็นปัญหาทางสังคมอย่างมาก สาเหตุ คงมิใช่เกิดจากยาเบนโล แต่การระบาดของโรคดังกล่าว น่าจะมาจากสื่อบางสื่อที่ขาดความรับผิดชอบ เสนอสิ่งยั่วยุ ทำให้เกิดการเลียนแบบ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดความไตร่ตรอง  ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องโก้เก๋ ทันสมัย และพ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาให้กับเด็ก 

ดังนั้น  จึงควรกันไว้ดีกว่าแก้ ซึ่งจะต้องใช้ตัวยาหลายชนิดผสมผสานกัน อันได้แก่  ความรัก  การดูแลเอาใจใส่  ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความอดกลั้น วิธีปรุงยากันโรคชิงสุกก่อนห่าม ให้พ่อแม่ผู้ปกครองใส่ความรักลงในหม้อ  แล้วเคี่ยวด้วยความเอาใจใส่  ให้ลูกๆ กินอย่างน้อยวันละครั้ง แล้วเสริมด้วยการสอนให้ลูกรู้จักมีความรับผิดชอบ ต่อตนเองและผู้อื่น  ด้วยการช่วยทำงานบ้าง อย่าปล่อยให้เล่น หรือเรียนแต่เพียงอย่างเดียว  ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความอดกลั้นเป็นวิตามินเสริม ที่จะอดทนต่อสิ่งยั่วยุต่างๆ ไม่ไปตามแรงชักชวนของเพื่อนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ส่วนเด็ก เยาวชนที่ต้องกินยานี้ ก็ต้องมีความกตัญญูรู้คุณ ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองทำด้วยความหวังดี เป็นการป้องกันเราจากโรคอันมิน่าพึงปรารถนาดังกล่าว

- โรคทุจริต คดโกง โรคนี้กำลังเป็นกันมาก และขยายตัวไปยังทุกภูมิภาคของโลก ส่วนใหญ่ผู้เป็นโรคนี้ มักจะรู้ตัว แต่ไม่ค่อยคิดจะรักษา เพราะมักเป็นๆหายๆ  กล่าวคือ เมื่อสบโอกาสก็จะกำเริบขึ้นมาสักทีหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีโอกาส โรคก็จะไม่สำแดงอาการ ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงเกิดอาการเรื้อรัง และมักจะละเลย คิดว่าไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะตราบใดที่โรคดังกล่าวยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองแล้ว ก็ยังนิ่งเฉยอยู่  สำหรับอาการโดยทั่วไปของผู้เป็นโรคนี้  คือ จะเกิดความโลภ  ไม่คิดถึงบาบบุญคุณโทษ แต่พร้อมจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาตามที่อยากมี อยากได้ และอยากเป็น ส่วนสาเหตุของโรค กล่าวกันว่าเกิดจากต่อมความซื่อสัตย์สุจริต  และหิริโอตัปปะ (ความเกรงกลัวและละอายต่อบาป) เกิดบกพร่อง  ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้โดยสมบูรณ์ 

ดังนั้น  การจะรักษาโรคนี้ได้ ก็ต้องรักษาจากต้นเหตุ คือจะต้องกระตุ้นต่อมดังกล่าว ให้ทำงานตามหน้าที่ให้ได้  โดยให้ ต้มใบสัจจะพร้อมด้วยรากของคุณธรรม กินทุกวัน  เพื่อปรับพื้นฐานจิตใจให้มั่น ขณะที่กินก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า จะลด ละ เลิกกิเลส และความโลภทั้งมวล เพื่อให้โรคหายเร็วขึ้น  หลายคนที่เป็นโรคนี้ อาจจะคิดว่าโรคนี้เป็นแล้วไม่มีใครพบ ใครเห็น จึงปล่อยให้มีอาการซ้ำซาก กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ อาจจะถูกสังคมลงโทษ ไม่มีใครคบ ไม่มีใครเคารพนับถือ ต้องอยู่อย่างคนไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี เป็นที่ดูถูกดูแคลน สร้างความอับอายขายหน้าให้แก่วงศ์ตระกูล หรืออาจต้องติดคุกติดตะรางตามความผิด  เราจึงไม่ควรประมาทให้โรคนี้เกิดขึ้นกับเราหรือลูกหลานของเรา เพราะมันจะเป็น “ตราบาป” ที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต

เพียงตัวอย่างสามโรคข้างต้น คงจะพอทำให้เราได้เห็นว่า พุทธโอสถ นั้น สามารถทั้งแก้ และกันโรคที่จะทำให้เกิด “ทุกข์” ได้อย่างแท้จริง อยู่ที่ว่าเราจะเชื่อมั่นในยาขนานนี้แล้วปฏิบัติตาม หรือจะปล่อยให้โรคคุกคามเราต่อไป  ก็สุดแต่ทางเลือกของแต่ละคน

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เผยโรคร้ายหลายชนิดจ่อคิวรุมเร้า พวกช่างจ้อโทรศัพท์มือถือเผยโรคร้ายหลายชนิดจ่อคิวรุมเร้า พวกช่างจ้อโทรศัพท์มือถือ

พบสารก่อมะเร็งในลิปสติกและอายชาโดว์พบสารก่อมะเร็งในลิปสติกและอายชาโดว์

บินเที่ยวประวัติศาสตร์ ส่งซิกโลกเปิดสุวรรณภูมิบินเที่ยวประวัติศาสตร์ ส่งซิกโลกเปิดสุวรรณภูมิ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

DMC NEWS