แม่เสือสอนลูก
ตอน Tiger Mom เลี้ยงลูกให้ได้เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดี !
Amy Chua ผู้เขียนหนังสือแม่เสือสอนลูก คือ เธอเป็นชาวจีนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และเป็นศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัย Yale ในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงเรื่องราวของเธอในการเลี้ยงลูกแบบวัฒนธรรมจีน ท่ามกลางสังคมตะวันตก
Amy Chua ผู้เขียนหนังสือแม่เสือสอนลูก
Amy Chua เธอมีลูกสาว 2 คน โซเฟียและลูลู่ ที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งยอมทุกอย่างที่เธอป้อนให้ แตกต่างกับอีกคนที่ต่อต้านทุกอย่างเช่นกัน เอมี่ทุ่มเทและเข้มงวดกวดขัน รวมถึงขั้นบังคับ เพื่อให้ลูกของเธอเดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้ให้ เพื่อไปสู่การเป็นที่หนึ่งและความเป็นอัจฉริยะ แม้บางทีต้องถูกเกลียดจากคนที่เธอรัก
Amy Chua กับแบบฉบับการเลี้ยงลูกของเธอ
แต่เธอก็ยังคงยึดมั่นในหลักการและวิธีเลี้ยงลูกของตนเองอย่างแน่วแน่ แต่จากความแตกต่างของลูกทั้งสอง ทำให้บางครั้งต้องพลิกแพลงวิธีหรือมีเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เพื่อมาปรับใช้กับลูลู่ ลูกสาวหัวดื้อของเธอ เอมี่ต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัว ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูง เพื่อให้ลูกเป็นอัจฉริยะและประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการ ซึ่งเธอก็ไม่ผิดหวัง เพราะลูกสาวทั้งสองมีผลการเรียนและความประพฤติดีเยี่ยม ทั้งยังมีความสามารถพิเศษทางด้านดนตรีอย่างสูง เมื่อลูกสาวคนโตได้แสดงเดี่ยวเปียโนบนเวทีใหญ่ระดับโลก ส่วนคนเล็กก็เป็นอัจฉริยะทางไวโอลินไม่แพ้กัน
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมเธอจึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และวิธีการเลี้ยงลูกของเธอเป็นอย่างไรบ้าง
กฎที่เธอกำหนดไว้ให้ลูกปฏิบัติตาม1. ห้ามไปนอนค้างที่อื่น
2. ห้ามเล่นเกมคอมพิวเตอร์
3. ห้ามเล่นกับเพื่อน
4. ห้ามร่วมกิจกรรมโรงเรียน ห้ามบ่น ไม่มีสัมมาคารวะ
5. ต้องได้เกรด A และเป็นที่หนึ่ง เท่านั้น!
6. ห้ามเลือกกิจกรรมนอกหลักสูตรด้วยตัวเอง ต้องได้รับการยินยอมจากคุณแม่เท่านั้น
7. ต้องเรียนเปียโน และไวโอลิน ห้ามหยุดซ้อมเด็ดขาด
8. ห้ามใช้ของแบรนด์เนม หรือของแพง !Amy chua กับ ครอบครัวที่อบอุ่น
ลูกๆ ของเธอนั้นได้ผลการเรียน และกิจกรรมอยู่ในระดับดีเยี่ยม โดยลูกสาวคนโต (โซเฟีย) นั้นไปแสดงเดี่ยวเปียโนในเวทีโลก และคนเล็ก (ลูลู่) ก็เป็นอัจฉริยะทางด้านไวโอลินอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของผู้เป็นแม่...โซเฟีย ลูกสาวคนโตเดี่ยวเปียโนบนเวทีโลก
ลูลู่ ลูกสาวคนเล็ก กับ ความเป็นอัจฉริยะทางด้านดนตรี (ไวโอลิน)
แต่กว่าที่ลูกๆ ของเธอจะเก่งนั้น เธอได้ทำอย่างไรบ้าง...
ด้านดนตรี ในเพลงที่ยากๆ เธอจะให้ลูกฝึกหนัก เคี่ยวเข็ญมากโดยถ้ายังเล่นไม่ได้ ห้ามพักจนกว่าจะเล่นได้
ด้านดนตรี ในเพลงที่ยากๆ เธอจะให้ลูกฝึกหนัก
ด้านการศึกษา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกเคยสอบคณิตศาสตร์ได้ที่ 2 เธอให้ลูกฝึกทำโจทย์คณิตศาสตร์อย่างหนักโดย ให้ข้อสอบลูก 2000 ข้อ ให้ฝึกทำพร้อมกับจับเวลาไปด้วย
ฝึกทำโจทย์คณิตศาสตร์ 2000 ข้อ เพื่อให้ได้เป็นที่หนึ่ง !
...การที่พ่อแม่คอยเคี่ยวเข็ญ..เด็กๆ อาจจะไม่ชอบเลย แต่ทุกอย่างที่ทำคือความหวังดี
...ซึ่งเธอเองก็ถูกเลี้ยงดูแบบวัฒนธรรมจีนมาจนประสบความสำเร็จได้ถึงทุกวันนี้ !
และเพราะ...สังคมคนจีนในอเมริกา ทำให้เธอเรียนรู้ว่า
“ถ้าไม่เก่งจริงจะทำให้อยู่ในสังคมได้ยาก”
เธอจึงต้องเลี้ยงลูกให้เข้มแข็ง ต้องเอา “เป้าหมาย” เป็นหลัก ! ตามแบบฉบับวัฒนธรรมจีน นั่นคือ...
1. ใส่ใจอนาคตของลูกมากกว่าใส่ใจความรู้สึกของลูก
2. ยึดแนวคิดว่าลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่
3. เด็กอายุน้อยยังไม่รู้เรื่อง ต้องมีพ่อแม่คอยชี้แนะจากเรื่องราวดังกล่าวนี้...บางคนก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เด็กอเมริกาบางคนก็อยากจะเป็นแบบนี้บ้าง และบางคนก็ไม่เห็นด้วย มองว่าการเลี้ยงดูแบบนี้ทำให้เด็กเอเชียขาดความคิดสร้างสรรค์ เพราะไม่กล้าคิดอะไรเอง
แต่ในทางตรงกันข้าม..มีการศึกษาจากนักจิตวิทยาว่า...
การปกป้องเด็กมากเกินไป จะทำให้เปราะบาง EQ น้อย...พ่อแม่ต้องมั่นใจว่าลูกเราจะสามารถเอาชนะต่ออุปสรรคได้ ทนต่อการว่ากล่าว ดุด่า หรือความเครียดได้ อย่าไปปกป้องเขาจนเกินไป
นอกจากนี้...
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่า ...การชมว่าเด็กเก่ง ฉลาด ทำให้เด็กปฏิเสธงานยากๆ ...เพราะ เด็กจะกลัวความล้มเหลว เนื่องจากเคยได้รับคำชม จึงอยากจะรักษาตำแหน่งนั้นๆ ไว้ ไม่อยากเสียใจ อยากฉลาดตลอดไป ดังคำชมที่พวกเขาได้ยินถ้าเราไม่ฝึกทำอะไรซ้ำๆ ให้คล่องแคล่ว สมองจะไม่สามารถปฏิบัติงานในขั้นที่สูงไปได้...เช่นในเรื่องของดนตรี เมื่อได้รับการฝึกบ่อยๆ แล้ว เรื่องของ สุนทรียะ หรือ เรื่อง ของอารมณ์ จะสามารถใส่เข้าไปได้เองโดยอัตโนมัติเด็กที่ไม่เก่ง...ความจำไม่ดี ให้ใช้วิธี “ทำซ้ำๆ” แล้วจะเก่งได้เอง โดยใช้ความพยายามที่มากขึ้นก็จะได้ “ทักษะ” ในการทำข้อสอบซึ่งมาจากการทำซ้ำนั่นเองวิธีเลี้ยงลูกให้ดี ควรจะทำอย่างไรเราต้องเข้าใจก่อนว่า..เด็กจะมีพัฒนาการไปตามช่วงวัยแต่สิ่งที่สำคัญคือ..หากเราต้องการให้ลูกเป็นอย่างไรเราจะต้อง...1. ให้ลูกทำสิ่งนั้น จนกระทั่งให้ชินเป็นนิสัยตั้งแต่เล็กๆฝึกให้ทำในสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ยังเด็ก... สอนได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง...อยากให้ลูกเป็นคนอย่างไรให้ทำอย่างนั้น เช่น อยากให้ลูกตรงต่อเวลา พ่อแม่ก็ต้องทำเช่นนั้น เด็กจะซึมซับวินัยในเรื่องการเป็นเวลา ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องด้วยสายใยแห่งรัก..จะหล่อหลอมให้เขาเป็น "คนดี" ได้ ตั้งแต่ยังไม่เกิดพอคลอดแล้วก็ทำอย่างต่อเนื่อง ตัวเองทำด้วย ให้ลูกทำด้วย จนคุ้นชิน2. ต้องบอกเหตุและผล ที่ทำอย่างนั้นเพราะอะไรปลูกฝังความดีในตัวลูกภายใต้ขอบเขตของเหตุและผลที่มีฐานรองรับฐานรองรับดังกล่าวนั้นคือ...1.สัมมาทิฏฐิ
2.กฎแห่งกรรม
3.บุญบาป
ปลูกฝังไปเลย ไม่ต้องกลัวว่าเด็กเล็กเกินไปแล้วจะไม่รู้เรื่อง พูดไปเลย ยิ่งเล็กๆ ยิ่งจะซึมซับได้เป็นอย่างดี แล้วจะเป็น “มาตรฐานความคิด” ของเขา เมื่อเขาจะคิดและตัดสินใจอะไรก็จะอยู่บนมาตรฐานเหล่านี้ ถ้าหากมาตรฐานความคิดเสียแล้ววินิจฉัยเสียหมด
สัมมาทิฏฐิ ที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กจะเป็นมาตรฐานความคิด เป็นฐานรองรับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความคิด คำพูด การกระทำ ทำให้เป็นนิสัย ซึ่งในเรื่องหลักๆ ก็คือ ฝึกความ เคารพ การมีวินัย และความอดทน
มาตรฐานทางความคิดเหล่านี้ จะสอนให้เด็กประณีต รู้จักกระบวนการจัดการ ต้องฝึกให้ทำจนคล่องมือ
เช่น..ฝึกจัดกระเป๋า เช่น คนญี่ปุ่นถูกฝึกตั้งแต่ยังเด็กว่า กระบวนการในการจัดข้าวจัดของ ไม่ใช่แค่แพ็คเกจสวยอย่างเดียวนะ แต่กระบวนการจัดการจะเป็น เมื่อต้องจัดการงาน จะถูกฝึกให้คิดและแยกแยะ ตัดสินใจตลอดเวลา เราจะเห็นได้ว่า ของง่ายๆ ใกล้ตัวก็จะมีส่วนสร้างนิสัยของเด็กได้อย่างสำคัญทีเดียวรักวัวให้ผูก...รักลูกให้ตี
...ยังคงใช้ได้ดีในยุคปัจจุบัน...สัมมาทิฏฐิ หรือ มาตรฐานความคิดที่ถูกต้อง ควรปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็กๆ“คน” คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดถ้าฝึกให้ดี หล่อหลอมมาดีแล้ว สังคมจะได้สมาชิกที่เป็นชั้นหนึ่ง เป็นกำลังที่เข้มแข็งของสังคมอย่างแท้จริงแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว “การฝึกเด็ก” พ่อแม่นั้นจะต้องอยู่ใน ทางสายกลาง ไม่ตึงไปไม่หย่อนเกินไป หากเรารู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาตามหลักเหตุและผล เด็กจะเติบโตมาเป็นเด็กที่มี คุณธรรม และ ประสบความสำเร็จ ในชีวิตอย่างแน่นอน...
รับชมวิดีโอบทความที่เกี่ยวข้องกับ Tiger Mom