ชีลับ
กราบนมัสการ คุณครูไม่ใหญ่ ที่เคารพอย่างสูง
ลูก เป็นลูกสาวคนโตในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คน ลูกเรียนในโรงเรียนคาทอลิก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่บริหารโดยนักบวชของศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนจบมัธยมศึกษาปีที่3 และเรียนต่อจนจบปริญญาตรีในสถาบันของรัฐบาล เมื่อจบการศึกษา ลูกได้สอนในโรงเรียนคาทอลิกแห่งหนึ่ง จากนั้นลูกก็ได้รับการเสนอให้ไปทำงานมูลนิธิช่วยเหลือเด็กยากจน ในถิ่นทุรกันดารทางภาคอีสาน เป็นมูลนิธิที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือเด็กให้ได้รับการศึกษา และช่วยครอบครัวของเด็กให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว เช่น หางานให้ทำ ซื้อสิ่งของที่จำเป็นในการประกอบอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น ซื้อรถสามล้อให้ ซื้อรถเข็นของขาย ฯลฯ ซึ่งมูลนิธินี้เป็นหน่วยงานหนึ่งของคณะนักบวชของศาสนาคริสต์ค่ะ
จากงานที่ทำนี้นั่นเอง ทำให้ชีวิตของลูก เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง โดยเฉพาะลูกเปลี่ยนจากศาสนาพุทธ เป็นศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และอีกปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดให้ลูกเปลี่ยนศาสนา คือ ในบริเวณที่ลูกทำงานอยู่ มีอารามนักบวช (หญิง) ประเภทนักพรตที่เขาเรียกกันว่า “ชีลับ” หรือ “ชีมืด” อยู่ด้วย คือ เป็นนักบวชที่อยู่แต่ในอาราม ถือเขตนักพรตตลอดชีวิต ไม่ออกมาสัมผัสกับโลกภายนอก ด้วยความที่ลูกชอบอยู่เงียบๆ ชอบนั่งสมาธิ ลูกจึงติดใจบรรยากาศแบบนั้น ชอบในสถานที่ที่สะอาด เงียบ กิจกรรมหลักที่นักบวชคณะนี้ทำคือ สวดภาวนาวันละ 7 ครั้ง และทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง ครั้งแรกที่ลูกได้พบ และมารู้จัก ลูกได้ขอร่วมพิธีสวดเฉพาะวันหยุด คือทุกวันอาทิตย์ โดยทำวัตรทั้งเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น และค่ำ ยกเว้นทำวัตรเที่ยงคืนที่ไม่ได้ไป และในวันอาทิตย์ต้นเดือนจะได้บุญใหญ่ เพราะมีพิธีพิเศษต่างๆด้วย
ระยะหลังๆลูกก็ได้อ่านประวัติของพระเยซูเจ้าตั้งแต่แรก และได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ในพิธีทางศาสนาประจำวันในทุกๆเช้า ซึ่งเขาเรียกว่า “พิธีมิสซา” เป็นพิธีบูชาขอบพระคุณพระเป็นเจ้า ลูกเพียงแต่เป็นผู้เข้าร่วมพิธีเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เข้าไปมีส่วนในพิธี เพราะคนที่จะเข้าไปมีส่วนในพิธี จะต้องได้รับการเตรียมตัวมาอย่างดีแล้วเท่านั้น คือจะต้องได้รับการเรียนคำสอนจากบาทหลวงก่อน หมายถึงพระสงฆ์ของเขา จะต้องสอน แนะนำ และในที่สุดถ้าผ่าน ก็จะได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์ คือ ศีลล้างบาป ในที่สุด ลูกก็ได้รับศีลล้างบาป เป็นคริสตชนเรียบร้อย ขาดแต่ยังไม่ได้เข้าพิธี เพียงแต่เตรียมตัวเท่านั้นนะคะ เพราะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อน
ทางบ้านของลูกส่งข่าวอาการป่วยของคุณพ่อมาหา ซึ่งลูกมาทราบภายหลังว่า พ่อ เป็นมะเร็งที่โพรงจมูก และลามขึ้นสมอง ตอนนั้นน้องๆ ยังเรียนไม่จบ และลูกเป็นคนเดียวที่ขับรถของคุณพ่อได้ ลูกจึงได้มาอยู่ดูแลคุณพ่อ รับพ่อไปหาหมอเป็นเวลา 9 เดือน จนกระทั่งคุณพ่อเสียชีวิตในปี พ.ศ.2531 ครอบครัวของเราจึงขาดหลักสำคัญไป ลูกจึงต้องลาออกจากมูลนิธิดังกล่าวในข้างต้น แต่ให้ น้องสาวคนที่3 ซึ่งเพิ่งจบปริญญาตรีไปทำงานหน้าที่นี้แทน ปัจจุบันน้องสาวคนนี้ก็เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เพราะเธอมีสามีเป็นคริสตชน
เมื่อลูกออกจากงานแล้ว ก็มาช่วยกิจการค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ต่อจากคุณพ่อ และอยู่กับคุณแม่ที่บ้าน จนกระทั่งน้องชายจบการศึกษา ลูกจึงให้น้องชายทำกิจการนี้ต่อ
เมื่อปี พ.ศ.2533 ลูกได้พบกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ท่านได้พาลูกมาวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่ยังเป็นสภาหลังคาจากอยู่เลย เป็นเวลา 1 ปีกว่าๆ ลูกไม่ได้มีอคติ หรือไม่ถูกใจในวัดพระธรรมกายเลย แต่หลังจากนั้นลูกได้รับการติดต่อจากนักบวชหญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ ชวนให้ลูกไปช่วยงานมูลนิธิของคณะในภาคอีสานหลายจังหวัด ลูกคิดว่า จะไปช่วยสักพักหนึ่ง แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ ลูกได้ถูกส่งตัวไปดูงานของคณะที่ฟิลิปปินส์ 1 ปี หลังจากนั้นลูกก็ตกลงเข้าพิธีรับศีลล้างบาป เปลี่ยนศาสนาตั้งแต่นั้นมา ซึ่งลูกเคยจะเข้าพิธีไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่คุณพ่อมาเสียชีวิตซะก่อนจึงยุติไป เมื่อลูกกลับจากฟิลิปปินส์แล้ว ลูกได้ไปช่วยงานของคณะดังกล่าวที่ภาคอีสานอยู่พักหนึ่ง ระหว่างที่ทำงานที่นั่น ลูกก็ได้ไปสวดทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นกับคณะนักบวชที่เป็นนักบวชแบบนักพรต คือสวดภาวนาเป็นหลัก การกระทำเช่นนั้นทำให้ลูกรู้สึกสงบ รู้สึกสบายใจ วันหนึ่งอธิการของอารามนั้นถามลูกว่า อยากเข้าอารามไหม ลูกดีใจ และขออนุญาตกลับบ้านถามแม่ที่บ้านก่อน แม่ (ซึ่งยังนับถือศาสนาพุทธอยู่) ก็อนุญาต ลูกได้ตัดสินใจเข้าคณะนักบวชนักพรตทันที แต่ไม่ใช่คณะที่ลูกไปดูงานที่ฟิลิปปินส์ ลูกได้กลับไปที่อาราม และเข้าสัมผัสชีวิตโดยเป็นผู้ฝึกหัดเป็นเวลา 3 เดือน และจากนั้นก็เลื่อนขึ้นเป็นผู้เตรียมตัวบวชอีก 1 ปี และจากนั้นก็จะได้รับอนุญาตให้บวชครั้งแรก และจากนั้นอีก 3 ปี ก็จะได้บวชตลอดชีวิต อยู่ในคณะจนได้รับเสื้อศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็น “Novice” (ผู้ฝึกหัด) แล้วค่ะ
จนวันหนึ่งลูกรู้ข่าวจากทางบ้านว่า น้องชายคนเดียว ซึ่งอยู่กับ คุณแม่ และเป็นหลักของครอบครัว ป่วยเป็นโรคเอดส์ ลูกรู้อย่างนี้ก็ไม่เป็นอันสวดภาวนาเลยค่ะ ทานอาหารไม่ได้ นอนไม่ค่อยหลับ ไม่พูดไม่จากับใครเลย เก็บตัวอยู่เงียบๆคนเดียว เพราะลูกรักน้องคนนี้มากๆ คิดว่าน่าจะเป็นเรานะที่เป็น เพราะพี่ยอมตายแทนน้องได้ เป็นอย่างนั้นจริงๆค่ะ ลูกจึงปรึกษาผู้ใหญ่ เช่น สังฆราช พระสงฆ์ คุณแม่นวกจารย์ที่ดูแลลูกอยู่ ทุกท่านให้ความเห็นว่า ควรลาออกไปรักษาน้อง ดูแลคุณแม่ดีกว่า ลูกจึงจำเป็นต้องออกจากอาราม
เมื่อลูกเห็นสภาพน้องชาย ลูกแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า ทำไมเขาน่าสงสารเช่นนี้ คุณหมอบอกว่า น้องชายเป็นขั้นสุดท้ายแล้ว คงอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน แต่ลูกไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคุณแม่ กลัวว่าท่านจะช็อค ลูกตัดสินใจให้หมอใช้ยาที่ดีที่สุด ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก สัปดาห์ละเป็นหลักแสน โดยมีคุณแม่ดูแลอย่างดีมาโดยตลอด แม่บอกลูกว่า แม่ได้อธิษฐานขอคุณยายอาจารย์ และขอหลวงปู่ว่า ให้ลูกชายหาย ขอให้ค่าใช้จ่ายลดลงบ้าง เพราะเราก็ไม่ได้ร่ำรวย น้องชายของลูกก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนหายจริงๆ แม้จะมีเชื้อ HIV อยู่ แต่เขาก็ได้พ้นขีดอันตรายแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 น้ำหนักเขาขึ้นมาจาก 35 กก. เป็น 60 กก. หมอลดยามาเรื่อยๆ จนปี พ.ศ.2546 เขาก็สามารถขับรถไปหาหมอเองได้แล้ว
ลูกแน่ใจว่าที่น้องชายอาการดีขึ้น เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่ หลวงพ่อ และของคุณยายอาจารย์ ที่คุณแม่ได้หมั่นสวดมนต์ภาวนาขอพรให้อย่างสม่ำเสมอ เพราะคุณแม่คือลูกของหลวงพ่อคนหนึ่ง ท่านสวดมนต์ ทำบุญทุกบุญ เป็นนักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาอย่างดีมาตลอด จนถึงทุกวันนี้
แต่หลังจากที่น้องชายของลูกอาการพ้นขีดอันตราย เขาก็ไปมีครอบครัว และทิ้งแม่ไปอยู่กับ ภรรยาของเขา ช่วงที่น้องชายพ้นขีดอันตราย สามารถคุมกิจการที่ร้านได้แล้ว ช่วงนี้ที่บ้านของลูกมีเรื่องวุ่นวายมาก พี่น้องไม่สามัคคีกัน แม้ลูกจะเป็นพี่คนโตก็เป็นหลักให้ที่บ้านไม่ได้ ดังนั้น วันที่ 21เมษายน พ.ศ.2546 ลูกจึงขอคุณแม่ไปบวชเข้าอารามอีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่ใช่ที่เดิมค่ะ เป็นคณะใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นนักบวชแบบนักพรตเช่นเดิมค่ะ ลูกได้รับประสบการณ์ต่างๆในอารามแห่งนี้มากมายเป็นเวลาเกือบ 2ปีที่อารามแห่งนี้ลูกใช้ชีวิตอย่างไม่สงบเท่าไหร่ และแล้วลูกเกิดสำนึกขึ้นมาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต นั่นคือ ความกตัญญูต่อคุณแม่ของลูก ลูกคิดถึงคุณแม่ทุกวัน คิดถึงบ้าน เป็นห่วงแม่ที่ต้องอยู่คนเดียวเวลากลางคืน ถ้าแม่เป็นอะไรไปใครจะมาดูทัน เพราะต่างคนต่างไปอยู่กับครอบครัวของตัวเอง คุณแม่โทรไปหาทีไร ลูกจะร้องไห้ทุกครั้ง เพราะคิดถึงแม่ อยากกลับบ้านมาอยู่กับแม่ ลูกจะถามคุณแม่เสมอว่า “อยู่กับใคร” คุณแม่จะตอบทุกครั้งว่า “อยู่กับหลวงพ่อ” (แม่หมายถึงจานดาวธรรมค่ะ)
ในที่สุด ด้วยสิ่งใดลูกไม่ทราบ ลูกอยากกลับบ้าน ทั้งๆที่ก็รักชีวิตนักบวชแบบนั้นซึ่งเป็นความใฝ่ฝันมานานแล้วด้วยค่ะ แต่การอบรมสั่งสอนที่ลูกได้รับจากอารามทำให้ลูกมีความคิดว่า ถึงอย่างไร แม่ก็เป็นแม่ ทางอารามเขาสอนให้นับถือว่าแม่เป็นพระในบ้าน วันแล้ววันเล่า ลูกก็เฝ้าแต่อดทนคิดถึงบ้านจนสุขภาพไม่ดีเลย วันหนึ่ง ลูกจึงบอกคุณแม่ของลูกตรงๆว่า ลูกอยู่ไม่ไหวแล้วลูกอยากกลับบ้าน คุณแม่ตกใจนิดหน่อย ในที่สุดลูกก็ออกจากอารามมาเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 47 นี้เองค่ะ ลูกกลับมาอยู่ที่บ้านกับแม่ เพื่อดูแลแม่ ส่งแม่ไปวัด ส่งแม่ไปหาหมอยามแม่เจ็บป่วย และวันที่ 28 ก.ย. 47 ซึ่งเป็นวันครูธรรมกาย ลูกได้พาคุณแม่ไปหาหมอที่กรุงเทพฯ และได้มาวัดพระธรรมกายกับคุณแม่เป็นครั้งแรก หลังจากที่ลูกทิ้งวัดไป 14 ปีเต็มๆ ลูกได้ถวายปัจจัย เห็นหลวงพ่อเป็นครั้งแรกด้วยค่ะ ดีใจมากๆ ตื้นตันใจมากด้วยค่ะ เย็นวันนั้นลูกก็ได้ร่วมพิธีอัญเชิญ Top Dome ขึ้นประดิษฐาน ณ อาคาร 60 ปี ด้วยค่ะ คืนนั้นลูกขับรถกลับบ้านด้วยความปีติจริงๆค่ะ แม้ถึงบ้านเวลา 22.00 น. ลูกไม่รู้สึกเหนื่อยเลยค่ะ จากนั้นลูกได้มีโอกาสไปส่งคุณแม่ที่วัดอีกหลายครั้ง ลูกรู้สึกว่าลูกกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ และลูกคิดว่าลูกมีบุญเหลือเกินที่ได้ร่วมหล่อองค์หลวงปู่ทองคำ เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 47 ลูกรู้สึกภูมิใจ และสบายใจที่ลูกได้กลับมาอีกครั้ง
คืนวันที่ 16 ต.ค. 47 เวลา 19.30 น. หลังทานอาหารเย็น ลูกกำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติหลวงปู่อยู่ คุณแม่ของลูกยืนอยู่ดี ๆ ก็ล้มลงกับพื้น ท่านนอนชักอยู่พักหนึ่ง ลูกหันไปเห็นคุณแม่นอนชักพอดี จึงวิ่งไปเขย่าตัวคุณแม่แรงๆจนคุณแม่รู้สึกตัว แม่ถามลูกว่า “แม่เป็นอะไรไป แม่ไม่รู้ตัวเลย” ลูกจึงพาคุณแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ หมอหาสาเหตุไม่พบ ตรวจทุกอย่างดีหมด ตั้งแต่นั้นมา ลูกไม่เคยให้แม่ไปไหนคนเดียวหรืออยู่คนเดียวเลยค่ะ
ทุกวันนี้ลูกได้แต่ขอให้ลูกได้ธรรมะ ได้สร้างบารมีร่วมกับหมู่คณะด้วย และลูกอยากให้น้องๆของลูกทุกคนเข้าวัด
ลูกขอกราบเรียนถามหลวงพ่อดังนี้ค่ะ
1.เหตุใดคุณพ่อจึงเป็นมะเร็ง และมีอาการทรมานอยู่หลายเดือนก่อนเสียชีวิต คุณพ่อของลูกตอนนี้อยู่ที่ไหน ท่านสบายดีหรือไม่ ท่านฝากข้อความถึงคุณแม่และลูกๆหรือไม่คะ ได้รับส่วนบุญที่คุณแม่ทำบุญอย่างสม่ำเสมออย่างไรบ้าง และลูกจะต้องทำอย่างไรคุณพ่อจึงจะได้รับบุญมากๆคะ
2.ช่วงที่ลูกบวชในศาสนาคริสต์ อุทิศบุญไปให้คุณพ่อ ท่านได้รับหรือไม่คะ และท่านอยากให้ลูกบวชอยู่ที่อารามหรือเปล่า ลูกเคยฝันว่า คุณพ่อมาหาที่อารามแต่เข้าไม่ได้ ท่านยืนอยู่หน้าประตูของอาราม เพราะอะไรลูกจึงฝันเช่นนั้นคะ
3.เพราะบุพกรรมอะไร น้องชายของลูกจึงเป็นโรคเอดส์ ทุกวันนี้เขาไม่ยอมอยู่บ้านกับคุณแม่ค่ะ ทั้งๆที่เขารู้ว่าคุณแม่หวัง และรักเขามาก แต่เขากลับรักและดูแลภรรยาเขามากกว่าคุณแม่ของตัวเอง ลูกควรทำอย่างไร น้องชายของลูกจึงจะกลับใจเข้าวัดฟังธรรม และกลับเป็นคนดีอย่างที่เคยเป็นคะ
4.เหตุใดน้องสาวคนที่ 3 ต้องแต่งงานกับคนต่างศาสนา และเปลี่ยนศาสนาไปโดยปริยาย
5.น้องสาวคนนี้แม่ยกให้กับอาผู้หญิง (น้องสาวพ่อ) ซึ่งท่านไม่มีลูก แต่ทุกวันนี้เธอไม่พูดกับอาผู้หญิงซึ่งเป็นแม่ที่เลี้ยงเธอมา และไม่พอใจแม่ผู้ให้กำเนิดด้วย แม้บ้านจะอยู่ติดกันแต่เธอก็ไม่มาที่บ้านคุณแม่เลยค่ะ เธอโกรธอะไรกับแม่ทั้ง 2 ของเธอ และทั้ง 3 คน มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกันอย่างไร จึงมีอาการเช่นนี้คะ จะแก้ไขได้อย่างไร
6.เพราะเหตุใด น้องของลูกทุกๆคน จึงไม่เห็นด้วยกับการมาวัดพระธรรมกาย ลูกควรทำอย่างไรเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ และเข้ามาร่วมสร้างบารมีกับหมู่คณะคะ
7.ที่คุณแม่ยืนอยู่ดีๆ แล้วล้มไปชักอยู่กับพื้น ปากเบี้ยว มือหงิกๆ งอๆ น่ากลัวมาก แต่หมอกลับหาสาเหตุไม่พบ เพราะอะไร และแม่จะเป็นอีกหรือไม่คะ ลูกควรทำอย่างไรจึงจะช่วยคุณแม่ไม่ให้เป็นเช่นนี้อีกคะ
8.การที่ลูกเปลี่ยนศาสนา โดยเข้าพิธีอย่างถูกต้องของศาสนาคริสต์แล้ว ลูกจะต้องทำอย่างไรคะ จึงจะกลับมาเป็นลูกหลวงพ่อได้อย่างเต็มภาคภูมิคะ และถ้าลูกไม่ไปโบสถ์คริสต์อีก จะมีผลอย่างไรกับลูกในด้านฝ่ายวิญญาณหรือไม่คะ
9.บุพกรรมอะไร จึงส่งผลให้ลูกต้องเปลี่ยนศาสนา แต่ก็กลับมานับถือศาสนาพุทธอีกครั้งคะ
10.คุณแม่และลูก สร้างบารมีมากับหมู่คณะอย่างไร และในชาตินี้ทำไมคุณแม่จึงมั่นคงในพุทธศาสนา แม้ลูกๆแต่ละคนไม่ให้การสนับสนุนคุณแม่เลย
สุดท้ายนี้ ลูกขอกราบเรียนคุณครูไม่ใหญ่ว่า ลูกอยากเป็นนักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ลูกดูรายการของ DMC ทุกคืน และชอบมาก ลูกคิดอยากให้เพื่อนๆที่เคยรู้จัก และยังไม่รู้เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมได้ยินได้ฟังบ้าง ลูกมีความคิดที่จะเผยแผ่สิ่งที่ดีๆที่ลูกได้รับ ให้กับทุกคนที่ลูกสามารถพูดด้วยได้ เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้พบหนทางความจริง และชีวิตที่แท้จริงอย่างที่ลูกได้พบ ลูกขอบอกผ่านทางรายการอนุบาลฝันในฝันวิทยาว่า ไม่ต้องไปแสวงหาความจริง ความถูกต้องเกี่ยวกับชีวิตนี้ และชีวิตหลังความตายที่ไหนอีกแล้ว เปิด DMC ช่องนี้ช่องเดียว และเชื่อทุกเรื่องที่หลวงพ่อสอนสั่ง แล้วท่านก็จะพบกับชีวิตใหม่ พบอาณาจักรพระเจ้าในตัวคุณ เช่นเดียวกับที่ลูกกำลังได้พบอยู่ในขณะนี้
ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากัน นะจ๊ะ
-
จึงนำมาทดลองรมกับสัตว์ เมื่อได้ผลจึงนำมาทดลองกับเชลยศึก ทำให้ระบบการหายใจถูกทำลาย และตายอย่างรวดเร็ว
-
ตายใหม่ๆเป็นภุมมเทวาวนเวียนอยู่ที่บ้าน
-
ภายหลัง ได้รับบุญที่คุณแม่ทำอุทิศไปให้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้จิตของท่านคลายความผูกพันกับครอบครัว ไปเกิดเป็นเทพบุตรสุดหล่อสายคนธรรพ์ ชั้นจาตุมหาราชิกา มีวิมานเป็นทองขนาดย่อมๆ
-
ท่านฝากขอบคุณทุกคนที่ทำบุญให้โดยเฉพาะภรรยาท่านที่ทำบุญอุทิศให้
-
จะให้คุณพ่อได้รับบุญมากต้องทำให้ถูกหลักวิชาคือ ให้ถูกเนื้อนาบุญ จิตต้องผ่องใสทั้งก่อนทำ กำลังทำ และทำไปแล้ว นั่นคือต้องทำบุญในพระพุทธศาสนาทุกบุญ
-
ที่ลูกฝันเห็นพ่อมาหาที่อารามแล้วเข้าไม่ได้นั้น เป็นความรักและผูกพันกับท่าน บวกกับความจำได้หมายรู้ หรือสัญญาที่เป็นกฎของอารามไม่ให้คนอื่นเข้าไปจึงทำให้ฝันเช่นนั้น
-
แต่ความจริงท่านไม่ได้ไปเข้าฝัน ท่านไม่ได้อยากให้ลูกบวชในอาราม เพราะบุญที่ทำให้ท่านพ้นจากภุมมเทวา มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นบุญที่ทำไว้ในพระพุทธศาสนาไม่ได้มาจากตัวลูก
-
จึงทำให้ชาตินี้ถูกทำให้เปลี่ยนไปได้ง่าย เพราะคบกับคนเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น และปัจจุบันไม่ได้ให้โอกาสตัวเองศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จึงไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาดีอย่างไร และมีความจำเป็นต่อชีวิตของตนอย่างไร
-
จะแก้ไขต้องเริ่มจากคุณแม่ และตัวลูกเองต้องแสดงน้ำใจไปเรื่อยๆ คอยช่วยเหลือแบ่งปัน สักวันจะดีขึ้นเอง
-
ลูกจะชักชวนน้องๆเข้าวัดได้ต้องเริ่มที่ตัวลูก คือ ลูกต้องปฏิบัติธรรม ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาในพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ในระดับที่ทุกคนเกิดแรงบันดาลใจในการที่จะมาวัดได้
-
เมื่อเราใช้ดวงปัญญาพิจารณาว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นประโยชน์ต่อชีวิตอย่างแท้จริงและสมบูรณ์ ลูกก็ตัดแต่งกิ่งใหม่ออก แล้วมาสมาทานศีล และมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเท่านั้น ลูกก็จะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง
-
ส่วนอดีตที่ผ่านมาลูกก็ลืมไปเสีย แล้วคลายความผูกพันกับสิ่งที่ผ่านมาเท่านั้น ลูกจะได้มาเป็นลูกหลวงพ่ออย่างเต็มภาคภูมิ
-
อีกทั้งการจะไปสวรรค์ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นหลักไม่มีใครบันดาลได้ ดังนั้นจึงไม่มีผลต่อลูกทางฝ่ายวิญญาณ ลูกจึงไม่ต้องไปวิตกกังวล
-
ดังนั้นแม้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้ศึกษาคำสอนอย่างจริงจัง ลึกซึ้ง ทำให้ง่ายต่อการชักจูงและทำให้พลัดหลุดไปจากพระพุทธศาสนา
-
แต่ด้วยบุญเก่า และแรงกตัญญูในปัจจุบันจึงได้กลับมาสู่ร่มเงาพระพุทธศาสนาใหม่
-
ส่วนตัวลูกเองเคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมาแต่ขาดการอธิษฐานดังกล่าว ดังนั้นต่อจากนี้ไปให้ทุ่มเทเอาชีวิตจิตใจสร้างบารมีกับหมู่คณะให้เต็มที่ แล้วอธิษฐานจิตตามติดไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษอย่าได้พลัดพรากจากกันเลย
-
มีความคิดว่าจะแสวงหาคำตอบของชีวิต จึงได้ไปศึกษาเป็นนักพรต คล้ายๆกับอารามชีมืดในปัจจุบัน แต่สมัยนั้นเป็นศาสนาเทวนิยม สวดมนต์บูชาเทพเจ้า เพื่อให้เข้าถึงเทพที่ตนเองนับถือ อยู่ในวงจรนี้มาหลายครั้งจนเกิดความคุ้นเคย
-
แต่ในบางชาติก็เคยได้เจอพระพุทธศาสนา จึงได้ทำบุญในพระพุทธศาสนา ดังนั้นในชาตินี้ จึงมีบุญได้เจอพระพุทธศาสนา และมีความคุ้นกับการบำเพ็ญพรตแบบเทวนิยมด้วย จึงมีชีวิตเหมือนอยู่บนทางสองแพร่งตลอดมา
-
ตอนมีชีวิตอยู่ในอารามเป็นนักพรตในยุคนั้น การสวดมนต์ภาวนาก็คล้ายๆกับหญิงสาวที่หลงรักชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้าหรือหนุ่มในฝัน คือรักและผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ไม่เคยเห็น ก็ได้ผลเพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่ได้อะไรเกินไปกว่านี้
-
ลูกเป็นคนมีพื้นฐานใจดี มีความกตัญญูกับบิดามารดามาหลายชาติ ความกตัญญูนี้จึงดึงลูกกลับมาหาแม่อีก เพื่อดูแลท่าน
-
ในชาติที่บำเพ็ญพรตแบบเทวนิยมนั้น ลูกได้อยู่บำเพ็ญพรตจนหมดอายุขัย เมื่อตายแล้วจากชาตินั้น ลูกก็ไปเกิดเป็นวิทยาธร แบบบำเพ็ญพรตภาวนาคล้ายตอนมีชีวิตอยู่ในป่าหิมพานต์
-
โดยยังมีความหลงผิดเชื่อว่ายังมีเทพเจ้าที่อยู่สูงกว่านี้อีก และตนต้องบำเพ็ญพรตต่อไป เพื่อให้เข้าถึงเทพเจ้าชั้นสูงกว่านี้ให้ได้ นี่คือความคิดคำนึง
-
อยู่ป่าหิมพานต์ ในหมู่ที่มีความคิดเดียวกัน โดยคิดว่าป่าหิมพานต์คือสวรรค์ หรือส่วนหนึ่งของดินแดนพระผู้เป็นเจ้า เมื่อไม่เห็นพระเจ้าก็คิดว่า พระเจ้าอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เพื่อให้เข้ากับความคิดของตน คือว่าเอง เออเอง ทั้งๆที่ไม่มีอยู่จริง ชีวิตจะอยู่ในวงจรนี้ เป็นความหลงชนิดหนึ่ง
-
ผู้ที่คิดแบบนี้มีเป็นจำนวนมาก เมื่อจุติจากมนุษย์ก็ยังมีความคิดเหล่านี้อยู่ และจะถูกดึงดูดให้ไปรวมกลุ่มกัน เหมือนดังชาติปัจจุบัน
-
เทวนิยม คือ การสวดอ้อนวอน บวงสรวงบ้าง บูชายัญเทพเจ้าที่ตัวนับถือบ้าง เพื่อให้ท่านบันดาลในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือส่วนรวม
-
ส่วน พุทธศาสนา เป็นการกระทำด้วยตนเอง ด้วยการละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส มีเป้าหมายสูงสุด คือ ขจัดกิเลสซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้หมดสิ้น แล้วไปนิพพาน
-
ส่วนสวรรค์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภพ 3 และยังอยู่ในวัฏฏะไม่พ้นจากทุกข์