View this page in: English
ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2554
Case Study กรณีศึกษากฎแห่งกรรม
มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 1
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา
การสร้างบารมีของบุคคลระดับตำนาน มหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่
สำหรับเรื่องราวของ Case Study ในค่ำคืนนี้ จะเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องกับสะเก็ดข่าวสั้นทันปรโลกของคุณพ่อประยุทธ ยุ่นสมาน หรือ “ยุ่นสมาน...หวานเสมอ” ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เคยออกอากาศผ่านไปแล้วถ้าลูกๆ นักเรียนอนุบาลฝันในฝันทุกคนยังจำกันได้...ในเคสดังกล่าวก็ได้เล่าถึงเรื่องราวการสร้างบารมีของลูกอุบาสิกาเขตในกับพระอาจารย์หัวหน้างานของตัวเธอในพุทธันดรที่ผ่านมา
เรื่องราวการสร้างบารมีของลูกอุบาสิกาเขตในกับพระอาจารย์หัวหน้างานของตัวเธอในพุทธันดร
เคสยุ่นสมาน...หวานเสมอที่เคยออกอากาศไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พระอาจารย์หัวหน้างานของตัวเธอในภพชาตินั้น สามารถทำความฝันที่ตัวท่านได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้ให้เป็นจริงได้ นั่นก็คือ การได้รับเลือกให้เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ที่รับใช้ใกล้ชิดพระราชาองค์ที่ออกบวช ซึ่งบุคคลที่ทำหน้าที่คัดเลือกว่า ใครจะได้มาเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพุทธันดรที่ผ่านมานั้น ก็คือ ท่านมหาเสนาบดีนั่นเอง ซึ่งมหาเสนาบดีท่านนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากๆ บุคคลหนึ่งในพุทธันดรที่ผ่านมาเลยทีเดียว
พระอาจารย์หัวหน้างานของตัวเธอ (ในภพชาตินั้น)
ได้รับเลือกให้เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ การที่ท่านมหาเสนาบดีเป็นบุคคลสำคัญมากๆ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าท่านมหาเสนาบดีท่านนี้เป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถ ท่านเก่งทั้งบู๊และบุ๋น เรียกได้ว่า ขงเบ้งยังต้องเป็นรองท่าน อีกทั้ง ท่านยังเป็นผู้ที่มี Vision หรือเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและไม่ธรรมดามากๆ เรียกได้ว่า มองอะไร..ขาด และไม่เคยพลาดในทุกครั้งที่ตัดสินใจ นอกจากท่านมหาเสนาบดีท่านนี้จะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถ แล้ว ท่านมหาเสนาบดียังเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อพระราชาองค์ที่ออกบวชเป็น อย่างมาก ชนิดที่เรียกว่า ถวายหัว ถวายใจหรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทั้งตัวและหัวใจของท่านมหาเสนาบดี ท่านได้ถวายแด่พระราชาองค์ที่ออกบวชไว้หมดแล้ว
ท่านมหาเสนาบดีผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถ
และมีความจงรักภักดีต่อพระราชาองค์ที่ออกบวชเป็นอย่างมาก
ดังนั้น การที่ท่านมหาเสนาบดีจะคัดเลือกใครสักคนมารับใช้ใกล้ชิดบุคคลที่ท่านรักและเคารพอย่างสูงสุด ซึ่งก็คือ พระราชาองค์ที่ออกบวช ท่านมหาเสนาบดีจึงต้องคัดเลือกนายทหารผู้นั้นด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งในเวลาที่ท่านทำการคัดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ท่านจะคัดแล้วคัดอีก เลือกแล้วเลือกอีก เพื่อให้ได้นายทหารที่มีคุณสมบัติตามที่ตัวท่านได้ตั้งเอาไว้ หรือนายทหารผู้ที่ถูกคัดเลือกนั้นจะต้องเป็นระดับหัวกะทิ หรือหัวเพชรเท่านั้น ถึงจะสามารถมารับใช้ใกล้ชิดพระราชาองค์ที่ออกบวชได้
ท่านมหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่คัดเลือกนายทหารรับใช้ใกล้ชิดพระราชาองค์ที่ออกบวช
ดังนั้น บุคคลที่สามารถคัดคนในระดับ Champ ให้มาสนองงานและรับใช้ใกล้ชิดพระราชาองค์ที่ออกบวชได้ บุคคลนั้นจะต้องเป็นบุคคลระดับตำนาน หรือเป็นบุคคลระดับ Super Champ หรือ Champ of champ ซึ่งในเคสที่ผ่านมาเราก็ได้ยินได้ฟังและได้ศึกษาเรียนรู้ถึงเรื่องราวการสร้างบารมีของบุคคลที่เรียกว่า Champ มาหลายต่อหลายท่านแล้ว มาในคราวนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะต้องมาศึกษาเรื่องราวการสร้างบารมีของบุคคลระดับตำนาน หรือ บุคคลระดับ Super Champ หรือ Champ of champ ซึ่งก็คือ ท่านมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นของพระราชาองค์ที่ออกบวชนั่นเอง
มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่
เรื่องก็มีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ย้อนยุคไปจนถึงพุทธันดรที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในยุคสมัยหลังจากพุทธปรินิพพานของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 3 ในภัทรกัปนี้) แม้ว่าในยุคสมัยนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้น คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็ยังคงดำรงอยู่ อีกทั้งพระพุทธศาสนาก็ยังคงเป็นศาสนาหลักของโลกในยุคสมัยนั้น หรือประชากรโลกส่วนใหญ่ยังคงนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักนั่นเอง
ส่วนลัทธิความเชื่ออื่นๆ เช่น ลัทธิทรงเจ้าเข้าผี หรือลัทธิความเชื่อแบบเทวนิยมต่างๆ เป็นต้น ก็จะมีอยู่บ้างในบางพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา
สำหรับสภาพสังคมความเป็นอยู่ของมนุษย์ในยุคสมัยนั้น หรือในพุทธันดรที่ผ่านมา จะมีลักษณะชีวิตความเป็นอยู่ที่อิงกับธรรมชาติ ไม่ทำลายธรรมชาติ และไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหมือนอย่างในยุคปัจจุบันนี้
อีกทั้งสังคมในยุคนั้น ยังเป็นสังคมเกษตรกรรมที่มีอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง โดยมีวัดในพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน และมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่า เป็นสังคมที่ค่อนข้างสงบสุข และอยู่กันแบบพี่ๆ น้องๆ ส่วนการเดินทางไปไหนมาไหนในยุคนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะอาศัยม้าและวัวเทียมเกวียนเป็นหลัก
ประชาชนส่วนใหญ่ใช้ม้าและวัวเทียมเกวียนในการเดินทาง
สำหรับสภาพของดินฟ้าอากาศในยุคนั้น ก็จะมีสภาพอากาศที่บริสุทธิ์มากกว่าในยุคปัจจุบันนี้ คือ ไม่มีอากาศเสีย และไม่มีมลภาวะที่เป็นพิษอย่างที่พวกเรากำลังพบเจอกันอยู่ในยุคปัจจุบัน
อีกทั้งฝนก็ยังตกต้องตามฤดูกาลอีกด้วย เรียกได้ว่า ในยุคนั้นจะไม่มีฝนหลงฤดู และไม่มีภาวะฝนแล้งซึ่งก็ส่งผลทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารในยุคนั้นมีโอชารสและมีคุณภาพที่ดีกว่าในยุคปัจจุบันมากกว่ามากๆ และด้วยความที่อาหารก็ดี อากาศก็เยี่ยมนี้เอง จึงทำให้มนุษย์ในยุคนั้น มีอายุขัยที่ยืนยาวมากกว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันมากๆ สภาพของดินฟ้าอากาศมีแต่ความบริสุทธิ์
พืชพันธุ์ธัญญาหารในยุคนั้นมีโอชารสและมีคุณภาพที่ดีกว่าในยุคปัจจุบันมากๆ
ส่วนสภาพทางภูมิประเทศของโลกในยุคสมัยนั้น หรือในพุทธันดรที่ผ่านมา จะมีผืนดินกับผืนน้ำที่พอๆ กัน โดยพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินจะมีความกว้างใหญ่ และเชื่อมติดกันมากกว่าสภาพภูมิประเทศในยุคปัจจุบัน ที่ถูกแบ่งออกเป็นทวีปเล็กทวีปน้อย แต่ถึงกระนั้น ในบางพื้นที่ในยุคสมัยนั้นก็ยังมีพื้นที่ ที่เป็นเกาะแก่งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีกระจัดกระจายมากมายเหมือนอย่างในยุคปัจจุบันนี้ มีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินจะมีความกว้างใหญ่ ไม่ถูกแบ่งออกเป็นทวีปเล็กทวีปน้อย
นอกจากนั้น ในแต่ละพื้นที่ (ของยุคสมัยนั้น) ยังมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นแคว้นเล็ก แคว้นใหญ่ โดยที่บางแคว้น (ในยุคสมัยนั้น) ก็จะมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศใหญ่ๆ ประเทศหนึ่งในยุคสมัยนี้ แต่ก็มีบางแคว้นที่มีขนาดใหญ่เพียงแค่จังหวัดๆ หนึ่งในประเทศของเราเท่านั้น
แบ่งเขตการปกครองออกเป็นแคว้นๆ ขนาดเล็ก,ใหญ่ต่างกันไป
สำหรับระบบการปกครองในยุคสมัยนั้น ส่วนใหญ่ก็จะปกครองกันด้วยระบบ “ กษัตริย์ ” ที่ทศพิธราชธรรม และในแต่ละแคว้นก็จะมีอิสระในการปกครองดูแลแคว้นของตัวเอง แม้ว่าในยุคสมัยนั้นจะอยู่กันแบบพี่แบบน้อง และมีการแบ่งระบบการปกครองอย่างเป็นสัดเป็นส่วนแล้วก็ตาม แต่ในบางครั้งก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้แต่ละแคว้นเกิดการกระทบกระทั่งกันบ้างเหมือนกัน เพียงแต่เหตุการณ์กระทบกระทั่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นถี่เหมือนอย่างในยุคปัจจุบันนี้
นอกจากนั้น การบริหารจัดการในแต่ละแคว้น ยังมีลักษณะที่คล้ายๆ กัน คือ จะมีหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น มีหน่วยงานทหารที่คอยดูแลความปลอดภัยของประชาชน, มีหน่วยงานอากรที่คอยทำหน้าที่เก็บภาษีของประชาชน เป็นต้น
ปกครองกันด้วยระบบ “ กษัตริย์ ” ที่ใช้ทศพิธราชธรรม
ส่วนไพร่ฟ้าประชาชนของแต่ละแคว้น ก็จะมีอาชีพที่หลากหลายคละเคล้ากันไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลัก เช่น ปลูกพืชผักผลไม้ หรือเลี้ยงสัตว์เพื่อนำไปขาย เป็นต้น แต่ก็มีประชาชนบางส่วนที่ประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น รับราชการบ้าง เป็นพ่อค้าหรือแม่ค้าบ้าง เป็นต้น ซึ่งการซื้อขายสินค้าก็จะใช้การแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราเหมือนอย่างในยุคปัจจุบันนี้
แต่เรื่องที่น่าสนใจ และน่าติดตามที่สุด นั่นก็คือ ในยุคสมัยนั้น จะมีแคว้นที่สำคัญอยู่แคว้นหนึ่ง ซึ่งแคว้นแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นแคว้นที่มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนัก แต่ทุกๆ แคว้นที่อยู่โดยรอบ ต่างก็ต้องหันมามองด้วยความสนใจว่า “ทำไมแคว้นนี้ถึงเป็นแคว้นที่มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความเจริญทางด้านจิตใจ
ไพร่ฟ้าประชาชนมีอาชีพที่หลากหลายคละเคล้ากันไป
โปรดติดตาม มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 2 ต่อไป
บทความที่เกี่ยวข้องกับชีวิตก็เป็นอย่างนี้ “ยุ่นสมาน...หวานเสมอ" ที่ผ่านมา |