มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 11


[ 19 ธ.ค. 2554 ] - [ 18270 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2554
Case Study กรณีศึกษากฎแห่งกรรม


มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 11
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา 
 
 ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
 
เพื่อเป็นการยุติกรณีพิพาทของเด็กๆ ทั้งสองฝ่าย เด็กหนุ่ม จึงได้หันมาทางท่านมหาเสนาบดี   พร้อมกับบอกให้ท่านมหาเสนาบดีช่วยไปตามพยานปากเอก
 
เพื่อเป็นการยุติกรณีพิพาทของเด็กๆ ทั้งสองฝ่าย เด็กหนุ่ม จึงได้หันมาทาง
ท่านมหาเสนาบดี   พร้อมกับบอกให้ท่านมหาเสนาบดีช่วยไปตามพยานปากเอก
 
        เมื่อเด็กหนุ่ม ที่ดูเหมือนกับเทพบุตรจำแลง คนนั้น ได้ฟังเรื่องราวความจริงจากเด็กๆ ทั้งสองฝ่ายแล้ว   เพื่อเป็นการยุติกรณีพิพาทของเด็กๆ ทั้งสองฝ่าย เด็กหนุ่ม จึงได้หันมาทางท่านมหาเสนาบดี   พร้อมกับบอกให้ท่านมหาเสนาบดีช่วยไปตามพยานปากเอกคนสำคัญ ซึ่งก็คือ พี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาขายและแจกเด็ก ให้มาช่วยเล่าถึงสาเหตุของการทะเลาะวิวาทของเด็กทั้ง  2  ฝ่าย   ซึ่งท่านมหาเสนาบดีก็รีบปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่ลังเลในทันที
 
ซึ่งพี่ ผู้ใหญ่ใจดีก็ได้เล่าให้เด็กหนุ่ม และทุกๆ คนฟัง
 
ซึ่งพี่ ผู้ใหญ่ใจดีก็ได้เล่าให้เด็กหนุ่ม และทุกๆ คนฟัง
 
        และภายในช่วงไม่กี่อึดใจ พี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาขายและแจกเด็กก็ได้มายืนอยู่ในวงประชุมแห่งนั้น    ซึ่งพี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีก็ได้เล่าให้เด็กหนุ่ม และทุกๆ คนฟังว่า พวกเขาตั้งใจที่จะทำขนมมาขายและแจกให้กับพวกเด็กๆ  ซึ่งพวกเขาก็แจกขนมให้กับเด็กๆ ทุกคน โดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่า เด็กกลุ่มนั้นกลุ่มนี้จะมาจากที่ไหน   แต่ที่เด็กๆ สองกลุ่มนี้ทะเลาะกัน   ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ เมื่อสักครู่  มีเด็กๆ มารับขนมเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ พวกเขาทำขนมไม่ทัน เมื่อขนมทำไม่ทัน ก็เลยทำให้แจกไม่ทั่วถึง    พอเด็กๆ ได้รับขนมไม่ทั่วถึง ศึกแย่งชิงขนมหวานของเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มจึงได้เกิดขึ้น
 
เด็กหนุ่ม จึงได้เรียกหัวหน้าแก๊งของเด็กทั้งสองกลุ่มออกมา   แล้วสอนพวกเด็กๆ ทุกคนให้รู้จักการเสียสละและให้อภัย
 
เด็กหนุ่ม จึงได้เรียกหัวหน้าแก๊งของเด็กทั้งสองกลุ่มออกมา  
แล้วสอนพวกเด็กๆ ทุกคนให้รู้จักการเสียสละและให้อภัย 
 
        เมื่อเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มได้ฟังเรื่องราวจากพี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาแจกแล้ว    สีหน้า,  แววตาและท่าทางของพวกเด็กๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป คือ จากเดิมที่หน้าตาของเด็กแต่ละคนจะดูละม้ายคล้ายๆ กับ...ยักษ์ แต่พอมาถึงจุดนี้ หน้าตาของเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มก็เริ่มดูดีขึ้น เย็นขึ้น   และพร้อมที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้น
 
        เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่ม จึงได้เรียกหัวหน้าแก๊งของเด็กทั้งสองกลุ่มออกมา   แล้วสอนพวกเด็กๆ ทุกคนให้รู้จักการเสียสละและให้อภัย ซึ่งเด็กๆ ทุกคนก็ตั้งใจฟังคำแนะนำหรือคำสอนของเด็กหนุ่ม ด้วยความตั้งใจเป็นอย่างดี
 
เด็กๆ ทุกคนจะเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปแล้ว ท่านมหาเสนาบดี ก็ได้เดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปด้วย
 
เด็กๆ ทุกคนจะเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปแล้ว 
ท่านมหาเสนาบดี ก็ได้เดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปด้วย
 
        เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงแล้ว    เด็กหนุ่ม ก็ได้หันไปบอกกับพี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาแจกเด็กๆ ด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำที่ไพเราะว่า วันนี้ พวกเราจะขออนุญาตนั่งทานขนมแบบเหมาหมดร้านเลย  แล้วเด็กหนุ่ม ก็ไม่รอช้าได้พาเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มยกโขยงกันไปที่หน้าร้านขนมในทันที  ซึ่งพวกเด็กๆ ก็เดินตามต้อยๆ ไปอย่างว่าง่าย    และนอกจากเด็กๆ ทุกคนจะเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปแล้ว ท่านมหาเสนาบดี ก็ได้เดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปด้วย
 
บรรยากาศที่เคยขมุกขมัวด้วยความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนานเบิกบาน
 
บรรยากาศที่เคยขมุกขมัวด้วยความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนานเบิกบาน
 
            และในตอนนั้นเอง บรรยากาศที่เคยขมุกขมัวด้วยความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนานเบิกบาน โดยมีเด็กหนุ่ม  ซึ่งบัดนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็กไปซะแล้ว   เป็นศูนย์กลางของบรรยากาศอันชื่นมื่น   เด็กๆ ทุกคนเริ่มปรองดองกัน   จนกระทั่งกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับไม่เคยตั้งมวยกันมาก่อน
 
            เมื่อบรรยากาศดีๆ ได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณ กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่ออกร้านอยู่ข้างๆ ต่างก็พากันรู้สึก เบิกบานและเกิดความสนุกสนานของกลุ่มเด็กๆ กลุ่มนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีเหล่านั้น จึงได้เอาขนมอร่อยๆ ที่พวกเขามีมาแจกสมทบเพิ่มเติม ซึ่งก็ทำให้เด็กๆ ทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจกันยกใหญ่
  
ได้รับขนมจากกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่ออกร้านอยู่ข้างๆ แล้ว    พวกเด็กๆ ก็ได้ส่งต่อขนมให้แก่กันและกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน
 
ได้รับขนมจากกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่ออกร้านอยู่ข้างๆ แล้ว   
พวกเด็กๆ ก็ได้ส่งต่อขนมให้แก่กันและกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน 
 
            เมื่อพวกเด็กๆ ได้รับขนมจากกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่ออกร้านอยู่ข้างๆ แล้ว    พวกเด็กๆ ก็ได้ส่งต่อขนมให้แก่กันและกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน    และในช่วงเวลาแห่งการแบ่งปันนี้เอง    เด็กๆ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความประทับใจอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นและเบ่งบานอยู่ในใจดวงน้อยๆ ของพวกเขาว่า การให้กัน-ดีกว่าการแย่งกันตั้งเยอะ  ด้วยเหตุนี้เองเด็กๆ ทุกคนจึงเคี้ยวขนมกันตุ้ยๆ อย่างมีความสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา  เพราะในขนมที่อร่อยๆ นั้นมีรสแห่งการให้และมิตรภาพผสมอยู่ด้วยนั่นเอง 
 
        และในขณะที่พวกเด็กๆ กำลังทานขนมกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น  เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงาม ซึ่งนั่งอยู่กลางวงเด็กๆ ก็จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่สนุกๆ ให้พวกเด็กๆ ได้หัวเราะกันอย่างเบิกบานและมีความสุข 
  
แท้ที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงามราวกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็คือ พระราชโอรส
 
แท้ที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงามราวกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็คือ พระราชโอรส
 
        ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงามราวกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็คือ พระราชโอรส หรือพระราชาองค์ที่ออกบวช นั่นเอง 
 
        ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็ทำให้ท่านมหาเสนาบดีมองพระราชโอรสด้วยความรู้สึกแปลกใจว่าเหตุไฉนในตอนที่พระราชาและพระราชโอรสเสด็จมาชมการฝึกของนักเรียนเตรียมทหารในครั้งนั้น    พระราชโอรสจึงทรงทอดพระเนตรการฝึกของเหล่านักเรียนเตรียมทหารที่แลดูตื่นเต้นเร้าใจ   ด้วยความรู้สึกที่เรียบเฉยและสงบนิ่งราวกับภูเขาหินที่ไม่หวั่นไหวต่อลมและฝน  
 
คำสอนที่พระราชโอรสทรงแนะนำและอบรมให้พวกเด็กๆ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ   ซึ่งก็ทำให้ท่านมหาเสนาบดีรู้สึกเคารพรัก,  ศรัทธาและปลื้มในตัวพระราชโอรสเป็นอย่างมาก
 
 คำสอนที่พระราชโอรสทรงแนะนำและอบรมให้พวกเด็กๆ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ  
ซึ่งก็ทำให้ท่านมหาเสนาบดีรู้สึกเคารพรัก,  ศรัทธาและปลื้มในตัวพระราชโอรสเป็นอย่างมาก
 
        แต่พอมาตอนนี้ พระราชโอรสทรงดูเหมือนกับเป็นคนละคน   คือ พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์  เลยแม้แต่นิด   แถมยังทรงดูสบายๆ เป็นกันเองและให้ความรู้สึกที่กลมกลืนไปกับเด็กๆ เป็นอย่างมาก  ซึ่งก็ทำให้พระองค์กลายเป็นขวัญใจ   หรือเป็นที่ดึงดูดให้เด็กๆ อยากที่จะเข้าใกล้    อีกทั้งพระองค์ยังทำให้พวกเด็กๆ ที่กำลังทะเลาะกันจนแทบจะแลกหมัด สามารถเปลี่ยนใจกลับกลายมาปรองดองสามัคคีกันและรักกันเหมือนอย่างกับคนที่รู้จักกันมานานอีกด้วย
 
        และที่สำคัญ คำสอนที่พระราชโอรสทรงแนะนำและอบรมให้พวกเด็กๆ รู้จักที่จะแบ่งปันและการเสียสละ   ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ   ซึ่งก็ทำให้ท่านมหาเสนาบดีรู้สึกเคารพรัก,  ศรัทธาและปลื้มในตัวพระราชโอรสเป็นอย่างมาก
 
ช้าก่อนอย่าเอ็ดไป   ตอนนี้พระราชบิดาได้เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองนี้
 
ช้าก่อนอย่าเอ็ดไป   ตอนนี้พระราชบิดาได้เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองนี้ 
  
        เมื่อมาถึงจุดนี้ ท่านมหาเสนาบดีจึงคิดอยากจะทูลถามคำถามที่ค้างคาใจกับพระราชโอรส   ซึ่งช่วงเวลานี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีและเหมาะสมที่สุด ที่จะเคลียคัดชัดเจนกับคำถามที่คาใจนั้น
 
        เมื่อท่านมหาเสนาบดีเห็นว่า จังหวะและโอกาสที่ตัวท่านจะทูลถามคำถามมาถึงแล้ว    ท่านจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ๆ พระราชโอรส    พร้อมกับย่อเข่าลงแล้วก็กล่าวคำถามอย่างนอบน้อมว่า ข้าแต่พระอาญาไม่พ้นเกล้า ทำไมพระองค์ และก่อนที่ท่านมหาเสนาบดีจะพูดจบ   พระราชโอรสก็ชิงตอบก่อนว่า ช้าก่อนอย่าเอ็ดไป   ตอนนี้พระราชบิดาได้เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองนี้    เพื่อมาดูงานเทศกาลฉลองประจำปีและสารทุกข์สุกดิบของไพร่ฟ้าประชาชนเป็นการส่วนพระองค์
 
ซึ่งพระราชโอรสก็ได้กำชับกับท่านมหาเสนาบดีว่า เรื่องนี้ห้ามไปบอกใคร
 
ซึ่งพระราชโอรสก็ได้กำชับกับท่านมหาเสนาบดีว่า เรื่องนี้ห้ามไปบอกใคร 
 
        ส่วนตัวพระองค์เองก็อยากมาเที่ยวชมงานเทศกาลแบบสบายๆ โดยไม่ต้องมีขบวนติดตามแบบเป็นทางการ ดังนั้นพระองค์จึงได้ปลอมตัวเป็นคนธรรมดามาเที่ยวชมงานอย่างที่เห็นอยู่นั่นเอง ซึ่งพระราชโอรสก็ได้กำชับกับท่านมหาเสนาบดีว่า เรื่องนี้ห้ามไปบอกใคร เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ยินเช่นนั้น   ท่านก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
 
        แต่ยังไม่ทันที่ท่านมหาเสนาบดีจะได้ถามคำถามที่ค้างคาใจนั้น   งานเทศกาลฉลองประจำปีก็ได้เริ่มขึ้น   เมื่อเป็นเช่นนี้..ท่านมหาเสนาบดีจึงต้องชะลอและเก็บคำถามนี้ไว้ก่อน
 
พระราชโอรส ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กไปแล้วโดยปริยาย
 
พระราชโอรส ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กไปแล้วโดยปริยาย
 
        แล้วพระราชโอรส ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กไปแล้วโดยปริยาย ก็ได้พาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวงานเทศกาลในส่วนอื่นๆ ต่อ   โดยมีท่านมหาเสนาบดี พร้อมกับเพื่อนๆ ของท่าน  ตามไปด้วย แล้วทั้งหมดก็เดินมาถึงบริเวณพิธีที่สำคัญที่สุดในงานเฉลิมฉลองครั้งนี้  นั่นก็คือการชิงช่อดอกไม้
 
        ส่วนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามขนาดไหนนั้น เราคงจะต้องอดใจรอรับฟังกันต่อใน ตอนที่ 12   
 
กรณีศึกษากฎแห่งกรรมจากชีวิตจริง (Case study in real life)

     บุคคลที่ปรากฏในเรื่องราวต่อไปนี้ มีตัวตนจริงในปัจจุบัน ประสบชะตากรรมขึ้นลงตามกระแสของวัฏฏะและกฎแห่งกรรม (ชมตัวอย่างบทสัมภาษณ์จากรายการชีวิตในสังสารวัฏ) ผู้อ่าน-ผู้ชมก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปฏิเสธในทันที ควรศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แล้วค่อยนำไปเป็นอุทธาหรณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป

     "วิชชาธรรมกาย" เป็นความรู้ดั้งเดิมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายในภพภูมิต่างๆ ตรงตามพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก วิชชาธรรมกายจึงเป็นหลักฐานยืนยันการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทันสมัยตลอดกาล (อกาลิโก)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ปลื้มเหลือล้นที่จะได้รวยสุดกำลังปลื้มเหลือล้นที่จะได้รวยสุดกำลัง

ไอด้อล แห่งศตวรรษที่ 21ไอด้อล แห่งศตวรรษที่ 21

ผมอยากเป็นพระสองร้อยเปอร์เซนต์จริงๆผมอยากเป็นพระสองร้อยเปอร์เซนต์จริงๆ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน