โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
คำถาม: คนไทยเชื่อกันว่าการบวชพระลูกชาย เป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ แต่กระผมยังนึกไม่ออกว่าจะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้อย่างไร ในเมื่อก็เห็นๆ กันอยู่ว่าบวชแล้ว ก็ไปบิณฑบาต ไปทำความดีตามลำพัง ทิ้งพ่อทิ้งแม่ทิ้งครอบครัวเสียด้วยซ้ำ?
คำตอบ: เรื่องของความเชื่อ ใครจะเชื่ออย่างไรก็เรื่องของเขา ส่วนเราซึ่งเป็นชาวพุทธและเป็นคนรุ่นใหม่ จะตัดสินใจเชื่ออย่างไรควรพิจารณาดูเหตุดูผล เหตุผลตามหลักของพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่า ใครทำดีคนนั้นก็ได้ดี ใครทำชั่วคนนั้นก็ได้ชั่ว ใครทำใครได้
ลูกบวชลูกก็ต้องได้บุญ ในฐานะที่ได้ฝึกหัดขัดเกลาตัวเองตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไปฝึกหัดขัดเกลาตัวเองตามลูก บุญส่วนนี้จึงไม่ได้ แต่จะได้บุญส่วนอื่นคือได้บุญในฐานะที่สนับสนุนให้ลูกบวช และในฐานะที่ลูกบวชแล้ว ก็เลยตามไปตักบาตรให้ด้วยความเป็นห่วงพระลูกชาย ครั้นเมื่อไปตักบาตรแล้ว ก็ไม่ได้ตักให้เฉพาะพระลูกชายของตัวเองหรอก ตักบาตรให้พระองค์อื่นๆ ด้วย ท่านก็เลยได้บุญจากการให้ทานเพิ่มขึ้นมาอีกงบหนึ่ง
การบวชพระลูกชายถือเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่
คุณพ่อคุณแม่บางคนด้วยความเป็นห่วงลูกมาก จึงตามพระลูกชายไปอยู่ที่วัดตั้งครึ่งค่อนวันเกือบทุกวัน ก็เลยได้โอกาสฟังเทศน์ ได้ความรู้เรื่องบุญเรื่องบาป ทำให้รักบุญกลัวบาปมากยิ่งขึ้น ท่านจึงได้บุญตรงนี้อีกส่วนหนึ่ง หรือไหนๆ ก็มาถึงวัดแล้วเห็นญาติโยมคนอื่นๆ ที่มาวัดเขาถือศีล ภาวนา เขานั่งสมาธิกัน ก็เลยทำตามเขาไปด้วย ได้เข้าพวกเข้าหมู่เป็นนักปฏิบัติธรรมไป เพราะฉะนั้นนอกจากท่านจะได้บุญจากการตักบาตรทำทานแล้ว ท่านยังได้บุญจากการรักษาศีล และเจริญภาวนาอีกด้วย
บุญที่เกิดขึ้นคนละลักษณะ คนละส่วนกัน แต่ว่าได้บุญแน่นอน ยกเว้นคุณพ่อคุณแม่บางคน พอลูกบวชแล้วท่านก็อยู่เฉยๆ คิดว่าจะได้รับบุญจากพระลูกชาย ทำแบบนี้ไม่ได้บุญหรอกนะ ก็ไม่ได้ตักบาตร ไม่ได้ตามไปฟังเทศน์ที่วัด จะได้บุญมาจากไหน แต่ก็มีเหมือนกันที่พ่อไม่ไปวัด แต่พระลูกชายมาเทศน์ให้ฟังถึงบ้านก็เลยชื่นใจ ยอมทำตามที่พระลูกชายสอน ไปตักบาตร ไปถือศีล นั่งแหละคุณพ่อคุณแม่จะได้บุญตรงนั้น
คำถาม: ตามที่ผมได้มาชมบริเวณวัดพระธรรมกาย ผมได้เห็นโบสถ์ ซึ่งไม่เหมือนกับโบสถ์โดยทั่วไปเลยในประเทศไทย ได้นำเอาแบบมาจากไหนครับ?
คำตอบ: โบสถ์รูปร่างลักษณะนี้ ขนาดนี้ ไปเอามาจากไหน ตอบว่าเอามาจากวัดเบญจมบพิตรฯ นะ จะต่างกันก็หลังคา เพราะว่าถ้าจะทำหลังคาเหมือนที่วัดเบญจมบพิตรฯ แล้วละก็ต้องเพิ่มเงินอีกหลายล้านเหลือเกิน ก็เลยทำได้อย่างที่เห็นนี่แหละ ต้องประหยัดแล้วคำนึงถึงความคงทนด้วย
โบสถ์วัดพระธรรมกาย
หลังคาก็ใช้กระเบื้องสมัยนั้นนั่นแหละ มุงง่ายๆ เลือกเอาที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยที่เริ่มก่อสร้าง เดี๋ยวนี้บางโรงงานอาจจะมีกระเบื้อชนิดดีกว่านี้ก็ได้ ผนังของโบสถ์ใช้เสาเข็มของซีแพค ขนาด 23 เมตร ตอกลงไปจนกระทั่งตอกไม่ลง ก็คำนึงถึงความคงทน แม้แต่ท่อน้ำ ก็ใช้ท่อแสตนเลสไปเลย
ตอนสร้างก็ตั้งใจทำเอาไว้อย่างดี ให้แข็งแรงทนทาน ให้อยู่ได้สัก 1000 ปี ก็แล้วกัน ถ้าจะอยู่คู่กับพระศาสนาได้ก็ยิ่งดี แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันต้องพังสักวันหนึ่ง แต่ว่า...เมื่อทำแล้วก็จะให้มีความคงทนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และก็หวังว่าในยุคสมัยของผู้ร่วมการก่อสร้างโบสถ์นี้จะไม่มีการซ่อมแซม เพื่อจะได้มีเวลาในการศึกษาปฏิบัติธรรมมีเวลาค้นคว้า นำพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่แก่สาธุชนให้มากที่สุด นี่เป็นความตั้งใจของพวกเรา
คำถาม: พระประธานที่ประดิษฐานอยู่บนศาลาแห่งนี้(ในวัดพระธรรมกาย) รู้สึกว่าสวยงามแปลกตาดี ผมอยากทราบว่าได้แบบมาจากไหนครับ?
คำตอบ: พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ตามศาลาต่างๆ ในวัดพระธรรมกาย คือ พระธรรมกาย เรื่องก็มีอยู่ว่า หลังจากที่เราปฏิบัติธรรมกันมากเข้าๆ ก็พบลักษณะของพระธรรมกาย ที่เกิดในตัวของแต่ละคนว่าเหมือนกันทุกคน คือมีลักษณะมหาบุรุษครบ 32 ประการ
พระประธานวัดพระธรรมกาย
เราเคยเรียนลักษณะมหาบุรุษกันมาแล้ว เราก็ไปเห็นลักษณะมหาบุรุษของพระธรรมกายที่อยู่ในตัวเราด้วย เห็นว่าไม่ขัดแย้งกัน เราก็เลยจำลองเอาออกมาปั้นเป็นองค์พระ
คุณโยมค่อยๆ ฝึกสมาธิไปเถอะ ฝึกไปจนกระทั่งเห็นธรรมกายในตัว ก็จะพบว่า แหม..ที่หลวงพ่อปั้นออกมานี่ใกล้เคียงจริงๆ แม้ไม่เหมือน 100% แต่ก็ใกล้เคียงทีเดียว
ฝรั่ง หรือ ชาวต่างประเทศ ชาติไหนก็ตาม เวลาฝึกสมาธิก็จะเห็นอย่างเดียวกัน ค่อยๆ ฝึกไป อย่าเพิ่งเชื่อทันทีในขณะนี้ แล้วก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ
ถ้าเชื่อโดยยังไม่ได้พิสูจน์ ท่านเรียกว่า “งมงาย”
แต่ถ้าปฏิเสธโดยยังไม่ได้พิสูจน์ ท่านเรียกว่า “ดื้อรั้น”
ไปพิสูจน์คำพูดที่หลวงพ่อพูดเอาเองก็แล้วกัน