ถ้ามีใครว่าร้ายพระรัตนตรัยจะทำอย่างไรดี


[ 14 มี.ค. 2555 ] - [ 18271 ] LINE it!

หลวงพ่อตอบปัญหา
 
 
 

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้ามีใครว่าร้ายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ฟังจะทำอย่างไรดีครับ?

 
คำตอบ: ก่อนอื่น อย่าเพิ่งโกรธเขา แต่ควรให้ความสงสารเขามากกว่า เพราะเขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย และกำลังหาบาปด้วยปากแท้ๆ ถ้ามีโอกาสก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาทราบความจริง จะได้ล้มเลิกความเป็นผิดนั้นเสีย คือต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ช่วยแก้ข้อสงสัยต่างๆ ให้เขาด้วยเหตุผล เพื่อปลูกฝังความเห็นถูกให้ เขาจะได้ไม่ผิดพลาดอีกต่อไป แต่การที่เราจะทำอย่างนี้ได้นั้น เราเองจะต้องประพฤติตนดังนี้
 
ถ้ามีใครมาว่าร้ายพระรัตนตรัยก็อย่างเพิ่งโกรธเขาควรให้ความสงสารโดยเป็นกัลยาณมิตรให้เขา
ถ้ามีใครมาว่าร้ายพระรัตนตรัยก็อย่างเพิ่งโกรธเขาควรให้ความสงสารโดยเป็นกัลยาณมิตรให้เขา
 
        1) ฝึกตัวเองให้เป็นคนมีใจหนักแน่น มั่นคง แต่ความคิดต้องไม่คับแคบ แบบตีกรอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำใจเปิดกว้าง อดทน ต่อการว่าร้ายจากผู้ที่เราหวังดี แล้วพยายามเข้าไปชี้ทางถูกให้ ซึ่งการจะกระทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน
 
        2) ต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจจริงๆ จนสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ ในกรณีที่เรายังไม่สามารถแก้ความเห็นผิดให้แก่เขาได้ ให้พยายามชี้ชวนชักนำให้เขาไปหาผู้ที่มีความรู้ดีจริงๆ ให้ช่วยแก้ไขความเห็นผิดของเขา วิธีนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย
 
        3) ประพฤติธรรมอย่างเคร่งครัด จนปรากฏผลออกมาเป็นบุคลิกภาพที่น่าเลื่อมใส เพื่อจะได้เป็นพยานแก่พระศาสนาว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น ส่งผลให้ชีวิตราบรื่นเป็นสุขได้จริง เป็นการทำให้ดู แทนการพูดปากเปล่า
 

คำถาม: คุณแม่ห้ามไม่ให้มาวัดพระธรรมกาย เพราะกลัวจะบวชตลอดชีวิต จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรครับ?

 
คำตอบ: ทำหน้าที่ในบ้าน หรือเรื่องการเรียนให้เรียบร้อย แล้วให้หมั่นมาวัดเรื่อยๆ คุณแม่ท่านบ่นว่าหนักๆ เข้า ไม่นานท่านก็จะเลิกว่าเองเพราะเรามาวัดเพื่อทำความดี มาฝึกนิสัยดีๆ ซึ่งไม่นานบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสได้
 
มาฝึกนิสัยดีๆ แล้วบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสศรัทธาได้
มาฝึกนิสัยดีๆ แล้วบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสศรัทธาได้
 
        คุณพ่อ คุณแม่มีลูกใจบุญสุนทาน น่าจะดีกว่ามีลูกเป็นจิ๊กโก๋นะ ค่อยๆ พูดอธิบายให้ท่านฟังดีๆ ท่านจะได้เข้าใจและไม่กลัวผิดๆ อีก
 
คำถาม: จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร?
 
คำตอบ: พยายามให้ตัวเองได้มีโอกาสมาวัดเสียก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปห่วงท่านเลย มาวัดทีแรกแม่ไม่ให้มา แต่นานๆ เข้าถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าแม่ก็ตามมาวัดด้วยเองแหละ
 
ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าคุณแม่ก็ตามมาวัดด้วยเอง
ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าคุณแม่ก็ตามมาวัดด้วยเอง
 
        พระของวัดธรรมกายเกือบทุกรูปเจอปัญหานี้ หลวงพ่อยังจำได้ หลวงพี่มหาชิโตที่คุมการก่อสร้างของวัด ในปีแรกท่านยังไม่ได้บวช เพิ่งจบวิศวกรรมศาสตร์มาใหม่ๆ ท่านมาช่วยงานวัดอยู่ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แม่ก็ร้องไห้ จนพี่ชายพี่สาวมาตามตัวกลับ ท่านก็ดีไม่เถียงสักคำ แม่และพี่มาตามให้กลับก็ไปแต่งตัว เสร็จเรียบร้อยก็เดินตามกลับไป รุ่งขึ้นเช้าประมาณ 6 โมงหลวงพ่อไปเปิดประตูวัด เห็นท่านมาถึงพอดี ก็ถามท่านว่า “ทำไมกลับมาแล้วล่ะ” ท่านบอกว่า “เขามาตามผมกลับ ผมก็ไป แต่เขาไม่ได้ผูกขาผมไว้ ผมก็กลับมาใหม่” อีก 2-3 วันแม่ก็มาตามอีก ท่านก็ดี แต่งตัวเสร็จก็เดินตามแม่กลับไป รุ่งขึ้นก็มาแต่เช้า คราวนี้มาถึงตั้งแต่ตี 5 เลย ทั้งพ่อแม่และพี่มาตามกลับ 3-4 ครั้ง ท่านกลับไปแล้ว ก็กลับมาอีก ตอนหลังทางบ้านเลยเลิกตาม ตอนนี้ท่านบวชมาได้ประมาณ 10 พรรษาแล้วท่านไม่เคยเถียงพ่อแม่เลย ตำราเล่มนี้พระของเรานำมาใช้ได้ผลหลายรูปสร้างวัดมาได้ไม่ถึง  10 ปี มีผู้ตั้งใจบวชไม่สึกไปแล้ว 15 รูป จะเอาไปใช้บ้างก็ได้นะ
 
คำถาม: นมัสการหลวงพ่อที่เคารพสูงสุด ลูกขอถามว่าความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส?
 
คำตอบ: ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์ แต่ถ้ารักชาวบ้าน ยังต้องถามต่อว่ารักแบบไหน ถ้าเป็นความรักความสงสาร โดยไม่มีราคะความใคร่เจือปน เขาเรียกว่า เมตตา รักแบบนี้พอใช้ได้นะ
 
ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์
ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์
 
        หากรักเพราะมีราคะ คือรักแบบอยากให้เขามาอยู่ด้วยใกล้ๆ หรือตามเขาต้อยๆ ไป เข้าทำนองไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวไม่ลงคอ รักแบบนี้ความจริงไม่ใช่หวังดี หรือบริสุทธิ์หรอก คิดจะผูกเขาไว้กับตัวหรืออยากให้เขาผูกเราไว้
 
        สิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องผูกไว้หรือจูงไปเขาเรียกอะไร? เพราะฉะนั้นถ้าไปรักใครแบบนี้ให้รีบถอนตัวออกมาเสียเถอะนะ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ไม่ต้องไปรักใครหรอก นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วจะหายโง่เอง
 
คำถาม: หลวงพ่อคะ ทำไมจึงว่า “ความรักเป็นความทุกข์” คะ?
 
คำตอบ: ความรัก โดยเฉพาะความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล เพราะเมื่อความรักเกิดขึ้นในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากน้ำตา
 
ความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์
ความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์
 
        เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรัก ก็ไม่ต้องเสียน้ำตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือเมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำให้เป็นทุกข์อยู่ดี
 
        ตั้งแต่โบราณกาลมา หญิงชายคนใดสามารถครองตัวเป็นโสดหรือออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ มักได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เพราะอย่างน้องที่สุด แม้จะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องประสบกับความทุกข์จร คือทุกข์ที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ การประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความทุกข์เหล่านี้หมุนเวียนกันเข้ามาให้เผชิญทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็น
 
        ในพระพุทธศาสนา จึงสรรเสริญคนอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตว่า เป็นผู้ฉลาดเลี่ยงทุกข์ และยิ่งกว่านั้นคนโสดยังมีโอกาสสร้างบุญบารมีแสวงหาความสุขทางธรรมได้โดยสะดวกอีกด้วย


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้างเราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง

ผู้ที่นอนหลับยากและตื่นง่ายเกิดจากกรรมอะไรผู้ที่นอนหลับยากและตื่นง่ายเกิดจากกรรมอะไร

เราสามารถฝึกการให้อภัยได้อย่างไรเราสามารถฝึกการให้อภัยได้อย่างไร



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

หลวงพ่อตอบปัญหา