ชีวิตชาวสวรรค์


[ 3 พ.ค. 2555 ] - [ 18281 ] LINE it!

ชีวิตชาวสวรรค์
 
 
 
     กว่าพระพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้นมาในโลกนี้ยากแสนยาก จะต้องอาศัยพระโพธิสัตว์ผู้มีใจใหญ่ ทุ่มเทสร้างบารมีอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก ทำทุกอย่างเพื่อสร้างบารมีให้แก่รอบ จนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นทีพึ่งของโลกทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น จึงมีพระพุทธศาสนาอยู่คู่โลก การบังเกิดขึ้นของพระพุทธองค์จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้ใดปฏิบัติตามพระพุทธโอวาท ผู้นั้นย่อมมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ใน มหาสีหนาทสูตร ว่า
 
"อิธาหํ สารีปุตฺต เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต
ปริจฺจ ชานามิ ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ
มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา สุคตึ สคฺคํ
โลกํ อุปปชฺชิสฺสตีติ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน
จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา
สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนํ เอกนฺตสุขา เวทนา เวทิยมานํ ฯ
 
     ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่งสุคติโลกสวรรค์ เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์"
 
     การที่หลวงพ่อได้ยกพุทธพจน์บทนี้ขึ้นกล่าวเป็นอารัมภบท เพราะตั้งใจจะถือโอกาสนำเรื่องสัคคกถา คือการพรรณนาเรื่องสวรรค์มาเล่าสู่พวกเราเป็นตอนๆ จนกว่าจะจบเนื้อหาสาระ ส่วนจะจบตอนไหน ก็ค่อยๆ ศึกษากันไป ที่ผ่านมาเราได้รับฟังเรื่องอบายภูมิทั้ง ๔ ตั้งแต่นิรยภูมิ เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน จนเป็นที่เข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว
 
     * การพรรณนาถึงสุคติสวรรค์นี้ นับเป็นหนึ่งใน อนุปุพพิกถา ๕ ประการ คือ ทานกถา การพรรณนาเรื่องการให้ทาน ซึ่งเป็นก้าวแรกของการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้น สีลกถา การพรรณนาเรื่องศีล คุณค่าของความเป็นมนุษย์ สัคคกถา การพรรณนาเรื่องสวรรค์ ภพภูมิแห่งการเสวยทิพยสมบัติ ซึ่งหลวงพ่อจะทยอยนำมาเล่าให้ฟัง กามาทีนวกถา คือการพรรณนาโทษและความเศร้าหมองของกาม และประการสุดท้ายคือ เนกขัมมานิสังสกถา  เป็นการพรรณนาอานิสงส์ของการบำเพ็ญเนกขัมมะ
 
     อนุปุพพิกถานี้ ในสมัยปฐมโพธิกาล คือเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงเริ่มเผยแผ่พระธรรมคำสอนใหม่ๆ นั้น จะทรงใช้ธรรมหมวดนี้เป็นแม่แบบในการแสดงธรรมแก่พุทธบริษัทที่มีจิตเลื่อมใสในพระองค์ ให้สมาทาน ให้รื่นเริงเบิกบาน ให้อาจหาญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ที่ผ่านมาหลวงพ่อก็ได้เล่าถึงทานกถาและสีลกถามาพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้เรามารับฟังเรื่องราวของสวรรค์กันต่อไป
 
     เทวโลก หรือที่เราเรียกว่าสวรรค์นี้ เป็นที่สถิตอยู่ของทวยเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงชั้นสูงสุด มี ๖ ชั้นคือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี ก่อนที่จะกล่าวถึงประเภทของทวยเทพ เราจะพูดกันถึงการอุบัติขึ้นของทวยเทพ คือ มนุษย์ซึ่งรวมทั้งสัตว์เหล่าอื่น ที่ได้สั่งสมบุญกุศลเอาไว้มากพอที่จะได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว บุญกุศลก็จะส่งให้มาอุบัติในเทวโลก และเมื่อจะเกิด ก็เป็นแบบโอปปาติกะ เป็นอุปปัตติเทพ คือเป็นเทวดาผู้อุบัติขึ้นแล้วโตเป็นหนุ่มเป็นสาวทันที ไม่ต้องนอนในครรภ์มารดาเหมือนมนุษย์ หรืออยู่ในฟองไข่เหมือนสัตว์เดรัจฉานบางจำพวก
 
     เมื่อพวกเทวดาอุบัติขึ้นจะมีรูปร่างเป็นทิพย์ ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาวเป็นเทพบุตรเทพธิดาที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม อยู่ในวัยอันเจริญนี้ตั้งแต่อุบัติจนถึงเวลาจุติ แต่ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในฐานะอะไร เป็นเทพประเภทไหน นั่นก็สุดแล้วแต่สถานที่ที่ตนอุบัติขึ้น คือ หากตนได้สร้างบุญกุศลไว้น้อย ก็ไม่สามารถจะมีวิมานเป็นของตนเองได้ หากไปอุบัติเกิดที่ตักของเทพองค์ใด ก็จะตั้งอยู่ในฐานะเป็นบุตรธิดาของเทพองค์นั้น
 
     หากเป็นสตรีสร้างบุญกุศลไว้ ตายแล้วไปอุบัติเกิดขึ้นเหนือแท่นที่บรรทมของเทพบุตรองค์ใด ก็ต้องเป็นบริจาริกาขององค์เทพนั้น หากเป็นสตรีสร้างบุญกุศลเอาไว้น้อย มีวาสนาจะได้เป็นเพียงพนักงานตกแต่งประดับประดาอาภรณ์เครื่องต้นเครื่องทรงของเทพองค์ใด ก็จะไปอุบัติเกิดที่ใกล้ๆ แท่นบรรทมของเทพผู้เป็นนาย หากสร้างบุญไว้น้อยมีวาสนาจะได้เป็นเพียงเทวดาประเภทรับใช้ หรือเป็นบริวารของเทพผู้มีบุญองค์ใด ก็จะไปอุบัติภายในประสาทพิมานของเทพองค์นั้น
 
     ถ้าไม่ได้อุบัติในบริเวณวิมานของเทพองค์ใด แต่อุบัติเกิดในที่ว่างระหว่างแดนต่อแดน แยกไม่ออกว่าควรเป็นบริวารของเทพผู้เป็นเจ้าของวิมานไหน ในกรณีนี้ จอมเทพผู้ทรงเป็นอธิบดีผู้ใหญ่กว่าทวยเทพทั้งปวงในสวรรค์ชั้นนั้น จะเสด็จมาแล้วทรงทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาตัดสิน สมมติว่าเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์ซึ่งเป็นจอมเทพที่ปกครอง ก็จะวินิจฉัยปัญหาของเทวดาในสวรรค์ชั้นนั้น วิธีวินิจฉัยคดีของพระองค์ท่าน คือ หากเทวดาที่อุบัติเกิดใหม่ เกิดใกล้วิมานของเทพองค์ใด ก็ทรงตัดสินให้เป็นบริวารของเทพองค์นั้น
 
     หากว่าทรงอนุมานดูแล้ว เห็นว่าสถานที่ที่เทวดาอุบัติเกิดใหม่นั้น ตั้งอยู่กึ่งกลางพอดี อย่างนี้ก็ต้องพิจารณากันต่อ จอมเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ ท่านจะทรงดูที่พักตร์ของเทวดาผู้อุบัติใหม่ว่า หันหน้าเล็งแลไปทางวิมานของเทพองค์ใด พระองค์ก็ทรงตัดสินให้เป็นบริวารของเทพองค์นั้น หากเทพบุตรเทพธิดาผู้ที่อุบัติเกิดใหม่นั้น ไม่แลดูวิมานของเทพองค์ใดเลย นั่งนิ่งเฉยๆ อยู่อย่างนั้น ท่านจอมเทพก็จะทรงตัดสินให้เป็นบริวารของพระองค์เอง
 
     หากว่าตนได้เคยสร้างบุญกุศลไว้มากพอเพียง ก็จะไปอุบัติเกิดในวิมานของตนเอง เพราะว่ามีปราสาทพิมานพร้อมทั้งเทพบริวารคอยต้อนรับอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเป็นบุตรธิดาหรือเป็นเทวดารับใช้ของเทพองค์ใด จะมีชีวิตที่เป็นอยู่อย่างสบาย มีอิสระเสรี มีความสุข เสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นๆ  ทิพยปราสาทก็มีความสวยงามวิจิตรพิสดารแตกต่างกันออกไปตามกำลังบุญ ตั้งแต่วิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้ว และมีที่พิเศษออกไปอีกเยอะแยะมากมาย เทวดาจะเสวยสุขจนกว่าจะหมดอายุขัยหรือหมดบุญที่ได้ทำเอาไว้
 
     เมื่อกล่าวถึงความเป็นอยู่ของทวยเทพในโลกสวรรค์ เทวดาเขาจะมีรูปโฉมผิวพรรณวรรณะเป็นทิพย์สวยสดงดงามมาก สรีระกายก็เกลี้ยงเกลาสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินไฝฝ้าทุกอย่าง ไม่มีกลิ่นเหม็นในกายเหมือนมนุษย์เรา เทวดาจะเนรมิตกายให้ใหญ่โต หรือเล็กเท่าใดก็ได้ดังใจปรารถนา เพราะกายของเขาเป็นทิพย์ พวกเทวดาจะมีเทวฤทธิ์ คือมีฤทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามกำลังบุญ เช่นนึกคิดอยากได้อะไรก็จะได้ดังใจปรารถนา หรือระลึกชาติได้ในระดับหนึ่ง มีตาทิพย์ หูทิพย์ รู้วาระจิตของมนุษย์ แปลงร่างก็ได้ เป็นต้น
 
     เทวดาจำนวนเป็นพันองค์สามารถที่จะเนรมิตตัวให้เล็กลง แล้วเข้าไปอยู่รวมกันในสถานที่ที่เล็กประมาณเท่าปลายเส้นผมก็ได้ เช่นในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ บางครั้งหมู่เทวดาได้พากันมาเฝ้าพระองค์เพื่อสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา มีมากมายนับจำนวนได้ถึง ๑๐,๐๐๐ โกฏิ ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องเนรมิตกายให้เล็กลง เพื่อจะได้ฟังธรรมอยู่ใกล้ๆ พระพุทธองค์
 
     อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ พวกเทวดาจะบริโภคสุธาโภชน์ ซึ่งเป็นอาหารทิพย์ สุธาโภชน์ที่เขาบริโภคเข้าไปแล้ว จะซึมหายไปในกายจนหมด และตราบใดที่ยังมีชีวิตเป็นเทพอยู่ในสวรรค์ จะไม่มีอุปัทวันตรายใดๆ ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือไม่มีศัสตราอาวุธต่างๆ ที่จะมาเบียดเบียนบีฑาได้ พวกเขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญ รัศมีที่เกิดจากอาภรณ์ต่างๆ ก็ดี รัศมีของปราสาทพิมานที่ทวยเทพสถิตอยู่ก็ดี และรัศมีกายของเทวดาทั้งหลายเองก็ดี จะส่องแสงสว่างรุ่งเรืองตลอด 
 
     เมื่อเทวโลกเต็มไปด้วยรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสวเช่นนี้ ในเทวโลกจึงไม่มีเวลากลางคืน มีแต่ทิวาวารที่ปรากฏ เป็นดุจกลางวันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ต้องมีการตามประทีปโคมไฟน้อยใหญ่ให้เหนื่อยยาก เทวโลกจะส่องสว่างได้เองด้วยอำนาจแห่งรัศมีของวัตถุสิ่งของต่างๆ นี่ก็เป็นเทวานุภาพที่มีความพิเศษที่เกิดขึ้นด้วยบุญฤทธิ์ทั้งนั้น
 
     ถ้าหากพวกเราตั้งใจทำความดี สั่งสมบุญกันไว้ให้มากๆ สักวันหนึ่งเราก็จะได้ไปเป็นอย่างชาวสวรรค์ ดังที่หลวงพ่อได้กล่าวไว้ในตอนต้น เพราะฉะนั้น ถ้าอยากเป็นสหายแห่งเทวดา ก็ให้ทุ่มเทสร้างบารมีกันอย่างเต็มที่ มีหิริโอตตัปปะ และมีศีล ๕ เป็นปกติกันทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

* ภูมิวิลาสินี (พระพรหมโมลี)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
จาตุมหาราชิกาจาตุมหาราชิกา

พญานาค ๔ ตระกูลพญานาค ๔ ตระกูล

ยักษ์ประเภทต่างๆยักษ์ประเภทต่างๆ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน