อนาคตของเรานั้นถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ


[ 22 พ.ค. 2555 ] - [ 18289 ] LINE it!

ข้อคิดรอบตัว
 
 
 
อนาคตถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ?
 
        การดูดวงคือศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล บางคนเชื่อว่าเป็นความวิเศษ บางคนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การดูดวงก็ยังเป็นที่นิยมของบุคคลทั่วไปในทุกยุคทุกสมัย และในทุกๆ ประเทศ เพราะแน่นอนใครๆ ก็ย่อมอยากรู้อนาคตของตัวเอง แท้จริงแล้วการดูดวงคือศาสตร์แห่งอนาคตหรือเป็นเพียงกุศโลบายเครื่องเตือนใจให้มนุษย์เท่านั้น
 
อนาคตถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ
อนาคตถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ
 
        ปัจจุบันเราจะเห็นว่าโหราศาสตร์เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตเราเกือบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง แม้กระทั่งมีการดูดวงของนักการเมืองว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร แท้จริงแล้วสิ่งที่เราควรจะทราบก็คือ
 

โหราศาสตร์นั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีที่มาที่ไปอย่างไร?

 
        เจริญพร... ต้องบอกว่ามีมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งจริงๆ ในยุคปัจจุบันคิดดีๆ บางท่านบอกว่ามันขัดๆ รึเปล่า เพราะบางคนบอกว่าเดี๋ยวนี้คนเรามีความรู้มากขึ้น เมื่อก่อนเวลามีราหูมาอมจันทร์ บางคนก็จะเอากระป๋องมาเคาะไล่ราหูออก เดี๋ยวนี้ก็รู้แล้วว่าเกิดจากเงาโลกมาบังดวงจันทร์อย่างนี้เป็นต้น เพราะวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้นจนกระทั่งรู้แล้วว่าดวงดาวอยู่ตรงไหน เข้าใจระบบสุริยะจักรวาลมากขึ้น ความรู้ในเรื่องเหตุและผลดีขึ้น ความเชื่อเรื่องดวงมันน่าจะลดลง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะลดเท่าไหร่ บางคนมีความรู้สูงเรียนจบปริญญาเอกมาก็มี ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ นักธุรกิจใหญ่ นักการเมือง รัฐมนตรี ผู้บริหารประเทศก็ดี แต่ก็เชื่อดวง ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ซึ่งดูมันขัดแย้งกันว่าคนมีความรู้สูง มีหน้าที่การงานอำนาจความรับผิดชอบเยอะแยะมากมาย น่าจะเชื่อมั่นในตัวเองแล้วก็ตัดสินใจเองได้ ทำไมต้องไปหาหมอดูด้วย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า พื้นฐานมนุษย์คือ มีความไม่รู้ ทางพระเรียกว่า อวิชชา คือความไม่รู้นี้หุ้มห่อใจอยู่ ทำให้ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง บางคนบอกว่าเดี๋ยวนี้มีความรู้เยอะแล้ว อวิชชาน้อยลงแล้ว อันนั้นเป็นแค่ความรู้ทางโลก ความรู้แบบผิวเผินเท่านั้นเอง ที่บอกว่ารู้มาก แล้วรู้หรือไม่ว่า ก่อนจะมาเกิดนั้นตัวเองมาจากไหน? ตายแล้วไปไหน? ตรงนี้คือความไม่รู้ที่หุ้มห่อใจอยู่ เรารู้แค่เรื่องปัจจุบันนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นเอง ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากมาย พอเป็นอย่างนี้ก็เลยไม่มั่นใจในตัวเอง ถ้าในอดีตชีวิตยังไม่ซับซ้อนคนยังไม่มาก ประเทศไทยสมัยก่อนมีคนแค่ไม่ถึง 1 ล้านคน สมัยอยุธยายังมีแค่ล้านคนเอง เพิ่งมาเพิ่มมากก็ในสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง ชีวิตก็อยู่กันโดยทั่วๆ ไป พอได้ยินเสียงฟ้าผ่าขึ้นมาบ้าง เกิดพายุพัดบ้าง น้ำท่วมใหญ่บ้าง ก็มีเกิดพระแม่คงคา ฟ้าผ่าก็มีเทพเจ้าสายฟ้า พายุพัดก็มีวายุเทพ ฯลฯ ก็จะมีการสมมุติเทพเยอะแยะเลย พอเห็นภูเขาใหญ่ก็ไหว้กราบหวังเป็นที่พึ่งที่ระลึก เห็นต้นไม้ใหญ่ก็คิดว่าต้องมีเทวดาอยู่แน่เลย ก็ไหว้กราบ เจอวัวคลอดออกมามี 2 หัวก็กราบไหว้ สุนัขมี 5 ขา ก็กราบ อย่างนี้เป็นต้น คือพอเจออะไรแปลกๆ ก็ให้ความเคารพเพราะรู้สึกว่ามันผิดธรรมชาติ หรือว่าเจอธรรมชาติที่ใหญ่ๆ เช่นว่าภูเขาใหญ่ก็มีความยำเกรง มีการสมมุติเทพต่างๆ ขึ้นมามากมาย เพราะความไม่รู้ ต้องการที่พึ่ง พอเป็นอย่างนี้ปั๊บ ก็มีบางคนตอบสนองต่อความวิตกกังวลและความไม่รู้ของมนุษย์นี้ โดยการสร้างศาสนาขึ้นมา สมมุติมีเทพเจ้าเกิดขึ้น มีพระเจ้าเกิดขึ้น ถ้าเป็นชาวป่าชาวเขาก็เป็นพวกนับถือผีสางนางไม้ แต่ถ้าเกิดว่าเมื่อไหร่ที่ผู้ปกครองตนเองนับถือผีสางนางไม้นี่ก็พัฒนาการกลายเป็นเทพเจ้าขึ้นมา กลายเป็นพระเจ้าขึ้นมา จริงๆ ก็คือผีนั่นเอง แต่เป็นผีที่มีระดับขึ้นมาหน่อย แล้วก็สร้างเครื่องบูชาที่อลังการขึ้น จากเดิมที่เป็นศาลเพียงตา เป็นศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ ก็กลายเป็นมหาวิหารใหญ่ขึ้นมา ดูมีพิธีกรรมที่อลังการขึ้นมา สุดท้ายก็ก่อรูปจนกระทั่งกลายเป็นศาสนาขึ้นมา นี้คือที่มาของศาสนาที่เรียกว่าเทวนิยม เพราะของเราพุทธเจ้าพระองค์ไม่ได้ว่ามนุษย์ไม่รู้ก็เลยสมมุติเอาความเชื่ออย่างหนึ่งๆ ขึ้นมาแล้วมาบอก เพื่อให้คนรู้สึกว่า นึกอะไรไม่ออกก็พึ่งพระเจ้านั้นก็ไม่ใช่ ความจริงก็คือ พระองค์ไปตรัสรู้ความจริงแล้วก็มาสอนมนุษย์ ว่าจริงๆ เป็นอย่างนี้นะ ถ้าสรุปโดยย่ออย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโวท่านขยายความอย่างที่ว่า พื้นฐานความจริงของมนุษย์ทุกคนนี้คือติดคุกอยู่ เป็นนักโทษอยู่ นักโทษประหารด้วย ไม่เชื่อเช็คดูสิใครบ้างที่ไม่ตาย แต่คุกนี้เผอิญว่าเป็นคุกที่ใหญ่มาก คือทั้งโลกเป็นคุกเลย ใหญ่จนกระทั่งนักโทษยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นติดคุกอยู่ แล้วไม่รู้ด้วยว่าคุกนี้มีกฎของคุกว่าอย่างไร ทำอะไรแล้วจะต้องรับโทษเพิ่มอะไรยังไงนี่ไม้รู้แล้วก็ไม่บอกกฎให้รู้ด้วย ให้หาอาหารกินเองด้วย ไม่ให้อาหารนะ คุกบางที่อย่างบางขวางนี่ก็ยังมีข้าวให้ แต่คุกนี้นี่ไม่มีต้องไปหาอาหารกินเอง ระหว่างหา หาด้วยวิธีการที่ผิดกฎของคุก เช่น ไปปล้น ไปลักขโมยเขา ไปฆ่าเขา ก็รับโทษเพิ่มอีก มันเป็นอย่างนี้
 
        พระพุทธเจ้าพระองค์ไปตรัสรู้เห็นความจริงตรงนี้ทั้งหมด แล้วก็มาสอนเราว่า ให้รู้ตัวว่าติดคุกอยู่นะ พระองค์เปรียบตัวเองว่าเป็นเหมือนลูกไก่ตัวพี่ คือสามารถเจาะกระเปาะไข่ออกมาเห็นได้ก่อนตัวอื่น พูดง่ายๆ คือเป็นนักโทษแหกคุกออกมาได้สำเร็จ กำจัดกิเลสได้หมดและเข้าพระนิพพานได้ พระองค์ก็มาสอนคนอื่นให้รู้ว่า เราติดคุกอยู่ คุกนี้มีกฎของคุกอยู่ก็คือ กฎแห่งกรรม ทำอย่างนี้แล้วเป็นบาปจะผิดก็รับโทษหนักขึ้น ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะเป็นบุญเป็นกุศลและเดี๋ยวกิเลสจะเบาบางลง ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 นะ สุดท้ายพอกิเลสหมดไปจากใจก็จะสามารถพ้นจากคุกนี้ไปได้ พ้นจากคุกคือวัฏสงสารไปได้ เป็นอย่างนี้
 
        เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านสอนความจริง แต่ว่าศาสนาอื่นๆ นั้นสอนความเชื่อ นี่คือความแตกต่างที่ต่างกันมาก เพราะฉะนั้นหมอดูจริงๆ แล้วนี่ก็เหมือนกับศาสนาที่สอนเรื่องความเชื่อนั่นเอง แต่เป็นขนาดย่อมเยา ไม่ได้พัฒนาตัวไปขนาดถึงศาสนา ถ้าในจังหวะเหมาะๆ หมอดูบางคนนี่ไปเกิดถูกยุคเข้า ยังสามารถพัฒนาตนเองไปเป็นศาสดาก็ยังได้ เพราะมันเหมือนเป็นกลุ่มความเชื่อย่อยๆ อยู่อย่างนั้นเท่านั้นเอง
 
        สรุปทั้งหมดก็คือว่า เกิดจากความไม่รู้ คืออวิชชาที่หุ้มห่อใจแล้วทำให้ไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเอง จึงพยายามโหยหาที่พึ่งภายนอกตัว
 

อนาคตของเราถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ และถูกกำหนดโดยใคร แล้วทำไมหมอดูจึงทราบได้?

 
        เจริญพร... เพราะมีคำๆ หนึ่งที่ศาสนาที่พึ่งภายนอกจะชอบใช้คำว่า “พรหมลิขิต“ ในศาสนาที่เชื่อพระเจ้าก็จะว่าพระเจ้าลิขิตไว้หมด ฮินดูบอกพรหมลิขิต แต่พระพุทธเจ้าบอกกว่า กรรมลิขิต คือตัวเราลิขิตชีวิตตัวเราเอง ถามว่าอนาคตเราเองกำหนดไว้แล้วรึเปล่า สิ่งที่เราเจออยู่เรื่องต่างๆ จะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ทุกอย่างเกิดจากเหตุ 2 ประการ คือ
 
        1. กรรมในอดีตที่เราเคยทำเอาไว้ ส่งผลเป็นวิบากมาในปัจจุบันมีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
 
        2. กรรมที่เราทำในปัจจุบันชาตินี้
 
        2 อย่างนี้ประกอบกัน เพราะฉะนั้นเราจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเองในปัจจุบันด้วย กรรมในอดีตมันผ่านไปแล้วเราแก้ไม่ได้ แก้ได้ในอีกความจริงหนึ่งคือกรรมที่เราทำในปัจจุบันนี้แหละ อย่างสมมุติบางคนเราอยากจะรู้ว่าอนาคตถูกกำหนดไว้รึเปล่านี้ แค่ดูตัวอย่างก็ตอบได้แล้ว เด็กนักเรียนภพในอดีตนั่งสมาธิมามากและทำบุญเกี่ยวกับเรื่องการศึกษามามาก เกิดมาชาตินี้เลยฉลาด สติปัญญา ไอคิวดี ถ้าเรียนหนังสืออยู่นี่นะ เกิดเทอมนี้ทั้งเทอมไม่อ่านหนังสือเลย โดดเรียนตลอดทั้งเทอมเลย แล้วไปสอบคิดว่าผลจะเป็นอย่างไร ไม่เข้าเรียน ไม่ดูหนังสือ เค้าสอนอะไรเรียนอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ จะหัวดีแค่ไหนถ้าไปเจอสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเรียนมาก่อนนี่ ก็ทำไม่ได้ ก็สอบตก ที่บอกว่าอนาคตกำหนดไว้แล้วแสดงว่าจะอ่านหนังสือหรือไม่ก็ได้คะแนนสอบเท่ากันเลยใช่ไหม ก็ไม่เท่ากัน ถ้าอ่านหนังสือก็ได้คะแนนแบบหนึ่ง ไม่อ่านก็ได้อีกแบบหนึ่ง นี่เป็นตัวชี้ว่าอนาคตเรายังไม่ได้กำหนดไว้ 100 % แล้ว มันขึ้นอยู่กับกรรมปัจจุบัน กรรมในอดีตมีผลมาส่วนหนึ่ง ปัจจุบันอีกส่วนหนึ่ง ผสมกันเข้าถึงจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา
 
        เพราะฉะนั้นหมอดูจะดูได้ ต่อให้เป็นหมอดูที่เก่งจริงๆ นะ อย่างมากก็ดูได้แค่ว่าในส่วนอดีต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอนาคตและปัจจุบันที่ทำด้วย มันต้องอดีตกับปัจจุบันประกอบกัน ไม่ใช่ชีวิตเราเองไปตามดวง ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว มีพรหมลิขิตเอาไว้แล้วเรียบร้อย อย่างนั้นไม่ใช่ เรามีกรรมลิขิต เราคือผู้ลิขิตชีวิตของเราเอง ให้ทราบหลักตรงนี้เอาไว้
 
หมอดูที่เขาดูดวง ทำไมเขาสามารถมองเห็นอดีต หรือสามารถทำนายอนาคตได้ถูกต้อง?
 
        เจริญพร... ถามว่าถูกหมดรึเปล่า หมอดังๆ ก็ผิดมาเยอะนะ อย่างสมมุติถ้ามีหมอดูสัก 10 คน ทำนายปั๊บ ที่จะดังนี่ต้องหาเรื่องใหญ่ๆ ทำนาย ให้แรงๆ ไปเลย ก็ปรากฏว่าพอหมอดู 10 คน ทำนายปั๊บ คนหนึ่งทำนายถูกก็บอกว่าหมอดูคนนี้สุดยอด เยี่ยมมากเลย ทำนายอนาคตได้แม่น ส่วนอีก 9 คนที่ทำนายไม่ถูกเขาก็ไม่พูดถึง ก็เงียบหายไป แล้วถ้าเกิดมีหมอดูสัก 100 คนปั๊บ ก็ทำนาย 100 แบบ คนที่บังเอิญทำนายได้ตรงคนนั้นก็ดังไปเลย อีก 99 คนนั้นเขาก็ไม่พูดถึง ดูอย่างหมอดูที่ทายเลขลอตเตอรี่ตามแผงที่ขายใบหวย ทำไมเขาไม่บอกล่ะว่าเลขอะไรตรงๆ ไปเลย ทำไมต้องมีเลขอะไรแบบหงิกๆ งอๆ ให้ตีความได้หลายๆ แบบ แล้วก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นอย่างนี้ ทำนายไปหลายๆ หมอเข้าก็ครบ 100 ตัวพอดี เลขท้าย 2 ตัว ใน 100 ตัว มันก็มีถูกเข้าสักหมอบ้างน่ะ หมอนั้นก็ดัง คนอื่นก็ไม่ดัง อย่างนี้เป็นต้น เขาถึงบอกว่า หมอดูคู่กับหมอเดา อันนี้อันหนึ่ง
 
        ในบางกรณีหมอที่ว่ามันก็ไม่ถึงกับถูกหมด แต่ดูว่าค่อนข้างจะแม่นกว่าคนอื่น โดยเปรียบเทียบเช่นว่า ทำนาย 10 เรื่อง ก็อาจจะถูกสัก 3 เรื่อง แต่หมอเดาอาจจะ 100 เรื่องถูกเรื่องเดียว หมอดูนี่มีหลายแบบ
 
        1. คือดู วัน เดือน ปีเกิด ดูดวงอย่างที่ว่านั้น วัน เดือน ปีเกิด บวก ลบ คูณ หาร กันแล้วอย่างนั้น อย่างนี้ขึ้นมาแล้วทำนาย
 
        2. คือ ดูโหงวเฮ้ง คือดูจากรูปร่างลักษณะ หน้าตา บุคลิก ตา หู จมูก ปาก คอ การดูโหงวเฮ้งก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
 
        3. หมอดูที่ดูลายมือก็จะเป็นอีกแบบ
 
        ถามว่าเป็นยังไง จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องของวิชาสถิติ ที่บางคนเห็นว่าเวลาดูหมอเห็นเขามีตำราสอนดู เอาเลขตรงนั้นมาใส่ตรงนี้ บวกลบลงตรงนี้ ก็คือเป็นวิชากึ่งสถิตินั่นเอง คือเก็บจากสถิติในอดีต แล้วสถิติมีผลอย่างไรกับชีวิตคน มันเป็นอย่างนี้
 
        คนที่เกิดในเดือนแต่ละเดือนนั้น นิสัยก็ไม่เหมือนกัน ผลจากเดือนเกิดมี เช่น เดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน เป็นต้น โบราณเขาเรียกว่าเป็น ราศี ในแต่ละราศีทำไมไม่เหมือนกัน เพราะตอนเกิดในเดือนแต่ละเดือนนั้นถามว่าอุณหภูมิเท่ากันไหม ถ้าเกิดในเดือนธันวาคมก็หนาวหน่อย ถ้าเกิดในเดือนเมษายนก็ร้อนหน่อย เกิดในช่วงเวลาร้อนกับหนาวนี้มีผลต่อสุขภาพของเด็กไม่เหมือนกัน เกิดในช่วงหน้าร้อนเหงื่อออกง่ายมันก็หงุดหงิดง่าย ส่งผลให้นิสัยตอนโต ถ้าเกิดในช่วงเดือนธันวาคมอากาศเย็นสบาย นิสัยก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันมีผลหมด ไม่ว่าจะเป็นลม ความร้อน ความชื้น อากาศแห้ง ทุกอย่างมีผลสะท้อนต่อชีวิตของเราหมด เพราะฉะนั้นบางบริษัทจะรับคนเข้าทำงานนอกจากสัมภาษณ์ตามปกติก็ต้องเอาซินแซ นักดูโหงวเฮ้งมานั่งดูด้วย ให้ซินแซพิจารณาว่าคนนี้ผ่านมั๊ย เพราะว่าอย่างอื่นตอบให้เพราะๆ ยังตอบได้ แต่ว่าบุคลิกหน้าตามันจะสะท้อนจากภายใน เขาไม่ได้ดูความหล่อความสวยเป็นหลัก แต่เขาดูหลายๆ อย่างประกอบกัน บางทีดูแววตาบ้างว่าสุกใสดีไหม ลักษณะการมองอย่างนี้เป็นคนมุ่งมั่นแค่ไหน มันจะสะท้อนให้เห็นหมด คนที่กำลังเชื่อมั่นลองดูสิ เราเป็นผู้นำประเทศ หรือคนที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ลักษณะแววตาก็อีกแบบหนึ่ง ตอนเจอเหตุอะไรเข้าแล้วธุรกิจแย่หรือว่าภาวะผันผวนนี่ บุคลิกแววตาเขาจะเปลี่ยนเป็นอีกแบบ มันเป็นอย่างนี้ หรือใครไปดู อาร์โรโย ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ตอนดำรงตำแหน่งนี่จะเห็นว่า โหงวเฮ้งจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว เพราะมีกรณีเหตุเกิดขึ้นจะต้องโดนเล่นงานทางการเมืองอะไรต่างๆ นี่ โหงวเฮ้งก็จะเปลี่ยนจนคนจำแทบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นบุคลิกอะไรต่างๆ มันมีผลจากภายในทั้งนั้นเลย และมันสะท้อนให้เห็นว่า การคิด พูด ทำอะไรยังไงอยู่นี่ก็มาจากบุคลิกอีกอันหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการดูดวงอย่างที่ว่า พูดง่ายๆ คือหมอดูนี่มีหลายรูปแบบ บางรูปแบบก็น่าสนใจนะ แต่สิ่งเหล่านี้ยังไงก็ตามอย่าลืมก็แล้วกันว่า หมอดูคู่กับหมอเดา ถ้าเราไปอยู่ในวงจรนี้ไปๆ มาๆ มันจะทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองได้ เห็นอะไรเอะอะต้องถามหมอก่อน จะทำหรือไม่ทำอะไรแทนที่จะเอาเหตุเอาผลมาเป็นตัวประกอบตัดสินใจ ที่ไหนได้ หมอว่าไง หมอบอกว่า yes ก็เดินหน้า หมอบอก no ก็ไม่เอา ฝากชีวิตไว้กับดวงอย่างนี้มันก็ไม่ใช่นะ เราต้องถือกรรมลิขิต คือตัวเราลิขิตชีวิตตัวเราเอง จะทำหรือไม่ทำ จะเดินหน้าหรือจะชะลอไว้ก่อน ขึ้นอยู่กับข้อมูล ขึ้นอยู่กับเหตุ ปัจจัย ความพร้อมในเรื่องต่างๆ ที่เราเองได้รวบรวมข้อมูลศึกษาไตร่ตรองอย่างรอบคอบดีแล้ว ตัดสินใจแล้วก็เดินหน้าไป นี้คือการทำอย่างถูกต้องตามพุทธวิธี
 
        พระพุทธเจ้า พระองค์บอกว่า “ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนพาล ผู้มัวรอแต่ฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์ย่อมเป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจะทำอะไรได้” เพราะฉะนั้นถ้าเกิดทุกอย่างเงื่อนไขพร้อม อุปกรณ์ข้าวของ คนงาน การวิเคราะห์วิจัยเสร็จหมดดีพร้อมจะออกตลาด ไปหาหมอดู หมอดูบอกตอนนี้ฤกษ์ไม่ดีให้รออีก 3 เดือนค่อยออก รออีก 3 เดือนคู่แข่งออกสินค้ามาก็เจ้งพอดี สู้เขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปรอตรงนั้น เอาตามเหตุตามผล ทุกอย่างพร้อมแล้วก็เดินหน้าไปเลย ให้ยึดตามหลักเหตุผล ไม่ใช่ยึดตามดวง แล้วถ้าจะพึ่งคือให้พึ่งบุญในตัว เรารู้แล้วนี่ว่าจะสำเร็จได้นั้นจากผลแห่งวิบากคือกรรมในอดีตบวกกับปัจจุบัน กรรมในอดีตก็คือผลบุญผลบาปที่ส่งผลมาถึงใจเรานี่เอง เพราะฉะนั้นเราเองก็ต้องทำเหตุปัจจุบันให้ดีแล้วก็สร้างบุญเข้าไปด้วย มันมีเหตุภายนอกภายในอยู่ด้วย เหตุภายนอกก็ทำการทำงานเต็มที่ เหตุภายในก็มีบุญกุศลในตัวผลักดันกันด้วย อย่างนี้ก็จะสำเร็จ ถ้าสังเกตเห็นจะพบว่าโหราจำนวนไม่น้อยเขาก็พอรู้หลักเหมือนกัน เมื่อตั้งใจจะเป็นโหราก็ต้องพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะโหราจริงๆ เข้าตัวเองก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองเลย ยังดูดวงตัวเองไม่ได้เลย บางทีออกจากบ้านโดนควายควิดตายก็มี ก็คือยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเขาก็จะแนะนำคนที่มาดูดวงให้ไปทำบุญ คือพยายามดึงเอาเรื่องบุญกุศล พระรัตนตรัยนี้บวกเข้าไปด้วย เพราะตรงนี้จะเป็นที่พึ่งและเป็นเหตุที่ทำให้ประสบความสำเร็จที่แท้จริง เพราะมันเกิดบุญ และคนกำลังกังวลนี่แปลกนะ บางทีเพื่อนบอกหรือพระบอกให้ไปทำบุญนี่ก็ฟังอยู่ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่พอมีเรื่องกังวลปุ๊บไปหาหมอดู หมอดูบอกให้ทำ 9 วัด โอ้โห..จัดเวลาขวนขวายไปทำบุญเลย แปลกเหมือนกันนะ คนเรานี่น่าจะฟังพระพุทธเจ้าท่านนะไม่น่าไปให้หมอดูบอกแล้วค่อยทำ น่าจะไปทำได้เองเลยแล้วจะเยี่ยมมากเลย เจริญพร...
 
การที่หมอดูทำนายทายทักชีวิตของเราแล้ว เขาจะได้รับบุญหรือบาปจากการทำนายทายทักหรือไม่?
 
        เจริญพร... คือถ้าเกิดหมอดูนี่นะ ดูให้แบบพูดไม่จริงพูดง่ายๆ คือตั้งใจโกหก ไม่รู้แล้วก็บอกว่ารู้ อย่างนี้บาป คือเป็นการผิดศีลแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นการดูตามหลักวิชาสถิติที่ตัวเองเคยเรียนมา ก็ตำราว่าอย่างนี้ บอกกันไปตรงๆ ตามนั้น ผู้มาดูดวงก็รู้อยู่แล้วว่ามันคือเรื่องสถิติ ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องแม่น 100 % หรอก ถ้าอย่างนี้ก็พอรอดตัว ถือว่าเป็นการว่าไปตามตำราที่ว่าเอาไว้ ทั้งผู้ทำนายและผู้รับคำทำนายก็รู้โดยพื้นฐานกันอยู่แล้ว ไม่ใช่บอกว่าผีบอกอย่างนี้ๆ ต้องเป็นอย่างนี้ 100 % อะไรต่างๆ นานา อย่างนี้ไม่ได้ หรือถ้าในกรณีที่เป็นการแนะนำให้คนที่มาปรึกษาหารือเรื่องดวงไปทำในสิ่งที่เป็นบาปอกุศล อันนี้หมอบาปด้วยเลย อย่างเช่นโหราในสมัยก่อนอินเดีย บางทีพอพระราชฝันเสร็จปั๊บแล้วมาบอกว่าอย่างนี้ทำไงดี โหราก็บอกว่า โอ้โห..พระองค์จะโชคร้าย พระราชาก็ตกใจสิ แล้วจะแก้ยังไง ต้องฆ่าสัตว์บูชายันต์ เอาแกะมาฆ่า 1,000 ตัว ฆ่าโค 1,000 ตัว บางทีต้องเอามนุษย์มาฆ่าบูชายันต์อีก เพื่อล้างเคราะห์ร้าย จริงๆ แล้วอันนั้นน่ะเป็นการสร้างเคราะห์ร้ายเข้าไปใหญ่เลยให้พระราชา โหราที่แนะนำให้คนไปทำบาปอย่างนี้นี่นะ บาปหนัก คนที่ไปทำตามนั้นก็บาปด้วย ตัวโหรเองก็บาปด้วย ซ้อนเข้าไปเลย แต่โหรไหนที่แนะนำให้คนไปทำบุญทำกุศล ทำความดี เรียบร้อยปั๊บแล้วบอกว่าอย่าลืมไปสะเดาะเคราะห์นะ ทำบุญปล่อยสัตว์ปล่อยปลา ตักบาตร ถวายสังฆทาน ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร อย่างนี้เป็นการแนะนำให้ไปสร้างบุญ โหรนี่ลอยตัวมีส่วนแห่งบุญไปด้วย แล้วคนที่ทำนี่ก็ได้บุญไปด้วย แต่ความจริงก็ควรไปทำเองโดยไม่ต้องให้ใครมาเชียร์หรือยุอย่างนี้ แล้วถ้าเกิดจากศรัทธาที่มั่นคงด้วยจะยิ่งดีใหญ่เลย เป็นการให้ทานสร้างบุญที่ประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้าไปหาหมอดูแล้วให้หมอดูแนะนำนะก็ได้บุญเหมือนกัน แต่ประกอบด้วยความเชื่อที่มันเบี่ยงๆ ไปหน่อย ปัญญายังเบาไปนิด แต่ก็ยังดียังได้สร้างบุญ ดังนั้นโหรทำนายแล้วจะได้บุญหรือบาป ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาแล้วก็เนื้อหาที่แนะนำว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ เป็นบุญหรือเป็นบาป อยู่ตรงนี้
 
ผู้ที่ยังไม่ค่อยมั่นใจในตนเองและยังอยากจะพึ่งพาอาศัยหมอดูอยู่นี้ ควรจะมีข้อคิดอย่างไรให้พวกเขาดี?
 
        เจริญพร... เราเป็นชาวพุทธนี่นะ ที่พึ่งที่ระลึกที่เราเองควรจะนึกถึงคือพระรัตนตรัย ดังนั้นให้เราเองตั้งใจมองพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ถามว่าพึ่งพระรัตนตรัยคืออะไร ก็คือถือท่านเป็นสรณะ เป็นแม่แบบใหญ่ของพระพุทธเจ้าคือเป็นบุคคลต้นแบบที่สมบูรณ์ที่สุดของโลก ถ้าเราไม่แน่ใจจะทำอะไรยังไงดี ให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง นี่คือพึ่งพระพุทธเจ้าเป็นแบบนี้ และพึ่งพระธรรมก็คือว่า ให้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนำมาเป็นแนวทาง การปฏิบัติในการดำเนินชีวิต นี่คือพึ่งพระธรรมที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ ส่วนพึ่งพระสงฆ์คือบางทีเราศึกษาเองเรายังไม่เข้าใจดีใช่ไหม ถึงคราวไปพบพระสงฆ์แล้วก็ให้ท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแจกแจงอธิบายให้เราเข้าใจ และเป็นผู้ชี้แนะหนทางสว่างในการดำเนินชีวิต เจอปัญหาชีวิตติดขัดขึ้นมาก็ไปกราบพระ ขอคำแนะนำจากท่านๆ ก็เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายมาชี้แนะให้เรา และสอนให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การพึ่งพระรัตนตรัย ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะอันสูงสุดนี่ พึ่งแบบนี้ ถ้าพึ่งอย่างนี้ได้ละก็ชีวิตเราจะมีแต่ความสุขความเจริญ แล้วถ้าเราเองตั้งใจทำอย่างนี้อย่างสม่ำเสมอนะ ไม่ใช่ว่ารอให้มีปัญหาเกิดขึ้นแล้วก็รีบวิ่งเข้าวัด พอไม่มีปัญหาร้อยวันพันปีก็ไม่ไปวัดเลย บุญก็ไม่เคยทำเลย อย่างนี้เรายังพลาด เหมือนคนที่ว่าปกติไม่ยอมดูแลสุขภาพ ไม่ยอมออกกำลังกาย อยากจะกินอะไรก็กิน อยากทำอะไรก็ทำ อดหลับอดนอน พอป่วยหนักขึ้นมาจะมาวิ่งเข้าฟิตเนสตอนนี้ หรือว่าจะมาคิดควบคุมอาหาร บางทีบางอย่างมันก็ช้าเกินไป ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำนะ เพราะบางทีบางเรื่องโรคมันเป็นแล้วนี่ จะไปแก้ไขมันก็ไม่ค่อยจะทันการณ์ ถ้าจะให้ดีก็คือตอนยังดีๆ อยู่นี่แหละให้รีบดูแลสุขภาพร่างกาย ให้รีบศึกษาธรรมะเข้าวัดประพฤติปฏิบัติธรรม จนกระทั่งบุญในตัวเราเองก็พอ ความรู้ธรรมะเราก็พอ จนมั่นใจในตัวเองพอว่า เกิดอะไรขึ้นปั๊บไม่ได้เบี่ยงจะไปคิดพึ่งที่พึ่งนอกบุญเขตในพระพุทธศาสนาเลย มีอะไรเกิดขึ้นมาปั๊บนี่นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น อย่างนี้ละก็ใช้ได้ เพราะฉะนั้น เข้าวัดตั้งแต่ตอนนี้กันเถิด และให้ชีวิตของเรามีความสุขความเจริญกันถ้วนหน้าทุกๆ คนโดยไม่ต้องพึ่งดวง แต่พึ่งพระรัตนตรัย เจริญพร...
 
        จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราเอง แม้ว่าจะมีเรื่องในอดีตที่เราเคยทำเอาไว้ แต่ว่าปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เรายังสามารถที่จะกำหนดชีวิตของเราเองได้ และที่สำคัญเราต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด แล้วเราก็จะได้มีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ความไม่พอใจในเพศที่เรียกว่าเพศที่สามมีสาเหตุมาจากอะไรความไม่พอใจในเพศที่เรียกว่าเพศที่สามมีสาเหตุมาจากอะไร

ทำไมจึงไม่มีความพอใจในเพศตอนที่2ทำไมจึงไม่มีความพอใจในเพศตอนที่2

ทำอย่างไรจึงจะเข้าใกล้ความสำเร็จได้ด้วยอุปสรรคทำอย่างไรจึงจะเข้าใกล้ความสำเร็จได้ด้วยอุปสรรค



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ข้อคิดรอบตัว