เสียงสาธุการของเทวดา


[ 14 ต.ค. 2556 ] - [ 18274 ] LINE it!

เสียงสาธุการของเทวดา

     ชีวิตในโลกนี้แสนสั้น แต่ชีวิตหลังความตายนั้นยาวนานมาก เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ต้องจากโลกไป แต่การเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์ หรือเสวยวิบากกรรมในอบายภูมิ เป็นช่วงเวลาที่แสนจะยาวนาน นานเป็นกัปๆ ชีวิตหลังความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจและไม่ได้สั่งสมบุญไว้ แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีบุญที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้ว เพราะการตายเป็นเพียงการเปลี่ยนภพภูมิหรือเปลี่ยนที่อยู่ใหม่เท่านั้นเอง อย่างไรก็ดีการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายใน จะเป็นหลักประกันชีวิตได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย เพราะพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันอุดมและปลอดภัยที่สุด ที่จะนำชีวิตไปสู่สุคติภูมิอย่างแน่นอน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

“อสชฺฌายมลา มนฺตา    อนุฏฺฐานมลา ฆรา
  มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ    ปมาโท รกฺขโต มลํ

     มนต์ทั้งหลาย มีการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน เรือนมีความไม่หมั่นเป็นมลทิน ความเกียจคร้านเป็นมลทินของผิวพรรณ ความประมาทเป็นมลทินของผู้รักษา”

     มนต์หรือวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาในโลกนี้ หากไม่นำมาทบทวนหรือใช้บ่อยๆ ไม่นานก็ลืม ท่านจึงบอกว่าการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน เหมือนของกินหากไม่กินมันก็เน่า ของเก่าหากไม่นำมาเล่าบ่อยๆ เดี๋ยวก็ลืม บ้านเรือนของเราก็เช่นกัน ต้องหมั่นดูแลรักษาปัดกวาด เช็ด ถู ให้แลดูสะอาดตา มิเช่นนั้นฝุ่นลอองก็จะจับ

     สรีระยนต์ของเราก็เช่นกัน ต้องหมั่นอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ไม่ให้มีกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนา ตั้งแต่กลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเสื้อผ้า ความไม่สะอาดเป็นมลทินของผิวพรรณ ต้องให้สะอาด เราจึงจำเป็นต้องชำระล้างร่างกายให้หอมไปด้วยกลิ่นศีลกลิ่นธรรมเท่านั้น สิ่งที่เป็นมลทินยิ่งกว่านั้น คือความประมาท ความประมาทเป็นมลทินของใจ และเป็นภัยในวัฏฏะ สามารถฉุดให้เราพลัดไปบังเกิดในอบายภูมิได้

     มลทิน คือความประมาทนี้ เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง อย่าให้มาเกาะกินใจของเราได้ เพราะความไม่ประมาทเป็นทางรอดในสังสารวัฏ ช่วยปิดประตูนรก ยกใจขึ้นสู่สวรรค์นิพพานได้ มีเรื่องเล่าว่า

     * ในวัดโกฏิบรรพต มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งท่องมนต์บทมหาสมัยสูตรภายในถ้ำ เทพธิดาองค์หนึ่งอยู่ที่ต้นกากทิงใกล้ประตูถ้ำ ได้ยินเสียงท่องมนต์ก็ตั้งใจฟัง ในเวลาจบพระสูตร จึงให้สัททสาธุการดังก้องทีเดียว ภิกษุหนุ่มถามไปทางต้นเสียงซึ่งอยู่นอกถ้ำว่า ท่านเป็นใคร เมื่อรู้ว่าเป็นเทพธิดา จึงไต่ถามว่า “ทำไมวันนี้จึงได้มาเปล่งสาธุการ แล้วทำไมวันอื่นๆ ไม่เห็นมา”

     เทพธิดาให้เหตุผลว่า นางได้ฟังพระสูตรนี้ในวันที่พระทศพลประทับนั่งแสดงที่ป่าใหญ่ วันนี้ได้ฟังอีกรอบ จึงรู้สึกปีติยินดี เพราะธรรมะที่ท่านท่องในวันนี้ตรงกับธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ไม่ทำให้อักษรแม้ตัวเดียวคลาดเคลื่อนหรือผิดเพี้ยนเลย ภิกษุหนุ่มรู้ว่าตนเองกำลังสนทนากับเทพนารี ก็รู้สึกตื่นเต้น และก็อยากรู้เรื่องราวการแสดงมหาสมยสูตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง จึงได้ถามเทพธิดาว่า “ได้ยินว่าในวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมบทนี้อยู่ มีเหล่าทวยเทพมากมายนับไม่ถ้วนมาฟังธรรมกัน เป็นความจริงหรือ แล้วในสมัยนั้นท่านเทพธิดายืนฟังอยู่ตรงไหน” เทพนารีได้เล่าว่า

     คืนหนึ่ง เทวดาจากสวรรค์ทั่วทุกชั้นฟ้า ได้พร้อมใจกันมานมัสการพระทศพลในป่าใหญ่เพื่อฟังธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระพุทธเนรมิตขึ้น เพื่อโต้ตอบปัญหากับพระพุทธองค์

     ครั้นหมู่เทพได้เห็นพุทธเนรมิตนั้น ต่างนึกว่าเป็นดวงจันทร์ดวงที่สองปรากฏขึ้น แต่เมื่อพระพุทธเนรมิตเคลื่อนเข้ามาใกล้ ความสว่างไสวกลับเพิ่มขึ้นเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เปล่งประกายสว่างไสว เมื่อเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เหล่าทวยเทพต่างนึกว่าเป็นวิมานของเทวดาผู้มีอานุภาพมาก ครั้นเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นอีกก็นึกว่าเป็นมหาพรหม แต่เมื่อดูชัดๆ จึงรู้ว่านี่เป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง พวกเทวดาคิดกันว่า ลำพังพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ที่ประชุมเทวดาก็ใหญ่ขนาดนี้แล้ว หากสองพระองค์จะใหญ่ขนาดไหน แต่บางพวกคิดว่า ในโลกธาตุเดียว ไม่มีพระพุทธเจ้าสองพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะต้องทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีกพระองค์หนึ่งเป็นแน่

     ขณะที่หมู่เทพกำลังวิจารณ์กันอยู่นั้น พระพุทธเนรมิตก็เสด็จมาถึง แล้วประทับนั่งบนพระที่นั่งที่เนรมิตไว้ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ทั้งของพระผู้มีพระภาคเจ้าและของพระพุทธเนรมิตก็มีครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนกัน พระฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจากพระสรีระของพระพุทธเจ้ากระทบกับฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเนรมิต ทำให้รัศมีพุ่งจากพระสรีระของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ไปจรดชั้นอกนิฏฐพรหม แล้วตั้งอยู่ที่ขอบจักรวาล สว่างไสวเรืองรองอยู่ตลอดเวลา

     เทวดาในหมื่นจักรวาลที่มาสู่มหาสมาคม ก็รวมเป็นกลุ่มในจักรวาลเดียวกันเข้าไปอยู่ในระหว่างวงรัศมีของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ ไม่ส่งใจไปในที่อื่น มีพระพุทธเจ้าและพระพุทธเนรมิตเป็นอารมณ์เดียวกัน เมื่อพระพุทธเนรมิตกำลังประทับนั่งอยู่นั้น ก็ได้ตรัสชมเชยการละกิเลสที่โพธิบัลลังก์ของพระทศพล และตรัสถามปัญหาหลายข้อ เพื่ออนุเคราะห์สรรพสัตว์ เช่นถามว่า มุนีผู้ประเสริฐ ผู้มีปัญญามาก การออกจากเรือนแล้วบรรเทากามทั้งหลาย พึงท่องเที่ยวไปในโลกโดยชอบอย่างไร

     พระบรมศาสดาได้ทรงวิสัชนาปัญหา เป็นการแสดงธรรมให้กับภิกษุสงฆ์ และเหล่าทวยเทพทั้งหมดได้ฟัง ซึ่งมีความละเอียดสุขุมลุ่มลึกไปตามลำดับ ในขณะที่พระองค์กำลังแสดงธรรมนั้น เทพนารีท่านนี้ ได้เป็นเทวดาในราวป่าใหญ่ เมื่อพวกเทวดาชั้นผู้ใหญ่พากันมา จนไม่มีที่ว่างในชมพูทวีป นางต้องถอยร่นจากชมพูทวีปไปถึงตัมพปัณณิทวีป ไปยืนอยู่ริมฝั่งทะเล แม้กระนั้นเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ก็ยังทยอยตามกันมาอีกมากมาย ทำให้นางต้องค่อยๆ ถอยร่นลงไปแช่อยู่ในทะเลลึกถึงคอ แต่ถึงกระนั้นนางได้ตั้งใจยืนฟังธรรมด้วยความเลื่อมใสยิ่งนัก

     ภิกษุหนุ่มถามว่า “ในเมื่อท่านยืนอยู่ไกลถึงเพียงนั้น จะเห็นพระพักตร์หรือได้ยินพระสุรเสียงของพระพุทธองค์ได้อย่างไร” เทพธิดาตอบว่า “โอ พระพุทธเจ้า มีอานุภาพไม่มีประมาณ วันที่พระพุทธองค์แสดงธรรมนั้น เสมือนทรงเทศนาให้ดิฉันฟังเพียงผู้เดียว ถึงแม้อยู่ไกลเพียงใดก็เหมือนอยู่ใกล้” พระภิกษุหนุ่มถามต่อว่า “เขาเล่ามาว่า วันนั้นมีเทวดาแสนโกฏิสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านล่ะตอนนั้นสำเร็จด้วยหรือไม่” นางตอบว่าได้บรรลุโสดาปัตติผล

     ภิกษุหนุ่มต้องการเห็นตัวตนของเทพธิดา เพราะได้ยินแต่เสียงเท่านั้นจึงกล่าวว่า “ดูก่อนแม่เทพธิดา ท่านจะแสดงกายให้อาตมาเห็นได้ไหม” เทพธิดาบอกว่า “จะแสดงให้เห็นก็ได้แต่ไม่ควร ดิฉันจะแสดงให้เห็นแค่ข้อนิ้วมือ” จากนั้นนางได้สอดนิ้วมือเข้ามาในถ้ำ นิ้วมือนั้นเป็นเหมือนยามที่พระจันทร์พระอาทิตย์ขึ้นเป็นพันๆ ดวง ทำให้ภิกษุหนุ่มเกิดความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เทพธิดาได้กล่าวแนะนำภิกษุหนุ่มว่า “ขอท่านอย่าประมาท ให้เร่งรีบทำความเพียรเถิด และจงยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ในอริยวินัยนี้” จากนั้นนางได้นมัสการลา และแสงสว่างก็อันตรธานหายไปในบัดดลนั่นเอง

     นี่เป็นเรื่องราวของเทวดาที่มาปรากฏกาย และเตือนสติให้พระภิกษุไม่ประมาทในการบำเพ็ญเพียรภาวนา เทวดาที่เป็นพระอริยบุคคลในสวรรค์มีมากมาย ท่านเหล่านั้นแม้จะเสวยสุขอยู่ในภพอันเป็นทิพย์ก็ตาม แต่ก็เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท จิตใจมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน พวกเราก็เช่นเดียวกัน อย่าให้ความประมาทมาเป็นมลทินใจ ทำให้เกียจคร้านในการประพฤติปฏิบัติธรรม ผัดวันประกันพรุ่ง วันเวลาที่ผ่านไปอย่าปล่อยให้ผ่านไปเปล่า ต้องผ่านไปพร้อมกับให้ได้บุญบารมีที่เพิ่มพูนขึ้น อีกทั้งกาย วาจา ใจก็สะอาดบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ให้แก่บุญแก่บารมี มีพระรัตนตรัยภายในเป็นสรณะกันทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๑๔ หน้า ๑๑๘
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
การหว่านไถอย่างอริยะการหว่านไถอย่างอริยะ

ทำความดีต้องมีกุศโลบายทำความดีต้องมีกุศโลบาย

อยู่ก็รัก จากก็คิดถึงอยู่ก็รัก จากก็คิดถึง



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน