ทำความดีต้องมีกุศโลบาย


[ 17 ต.ค. 2556 ] - [ 18274 ] LINE it!

ทำความดีต้องมีกุศโลบาย

     คำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ทรงคุณค่าที่สุด เพราะทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประดุจถ้อยคำเพชรพลอย ที่กลั่นออกมาจากใจที่ใสบริสุทธิ์ สามารถยังใจของผู้ฟังให้บริสุทธิ์ผ่องใส การที่เราได้ดำรงตนอยู่ในคำสอนของพระพุทธองค์ จึงเป็นบุญลาภอันประเสริฐยิ่ง การทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสนั้น เป็นพระพุทโธวาทหลักของพระองค์ที่ตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์ว่า สจิตฺตปริโยทปนํ คือการทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ซึ่งการที่เราจะทำใจให้บริสุทธ์ผ่องใสได้ ต้องนำใจกลับมาไว้ ณ ฐานที่ตั้งดั้งเดิมของใจ คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลา และต้องหมั่นประกอบความเพียรในทุกอิริยาบถด้วย

มีอุทานคาถาที่ท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสไว้ด้วยความปีติว่า

“อโห ทานํ ปรมทานํ กสฺสเป สุปติฏฺฐิตํ

โอหนอ ทานนี้เป็นทานอันเลิศ เราได้ถวายไว้ดีแล้วในพระกัสสปเถรเจ้า”

     คาถานี้เป็นเทวอุทานที่พระอินทร์ได้เปล่งออกมาจากใจหลังจากที่ได้ทำบุญใหญ่ คือได้ถวายทานกับพระอรหันต์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ อันเป็นเหตุให้พระองค์ได้ความเป็นจอมเทพ ที่ไม่มีเทพองค์ใดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีอานุภาพเสมอเหมือน การทำบุญถูกเนื้อนาบุญนี้ ถือเป็นหลักสำคัญในทางพระพุทธศาสนา เพราะการให้ทาน นอกจากจะให้ด้วยจิตเลื่อมใสแล้ว คือผู้ให้บริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ และผู้รับต้องบริสุทธิ์ด้วย เปรียบเหมือนเรามีความตั้งใจจะหว่านเมล็ดพืชพันธุ์ดีลงในผืนนา ถ้านาอุดมสมบูรณ์ ปราศจากวัชพืช ผลผลิตที่เกิดขึ้น ย่อมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยฉันใด ผลที่เกิดจากการทำถูกทักขิไณยบุคคลก็เช่นกันฉันนั้น แม้ทำน้อยก็ได้ผลมาก ถ้าทำมากก็ได้ผลมากยิ่งๆ ขึ้นไป

     * ดังเรื่องของท้าวสักกะจอมเทพ ภพชาติในอดีตครั้งที่ยังเป็นมฆมาณพนั้น ท่านได้ฝึกตนเองอย่างเต็มที่ ทั้งการบริจาคทาน ก็ได้ชื่อว่าเป็นยอดนักเสียสละ การบำเพ็ญวัตตบท ๗ ตลอดชีวิต ไม่มีใครทำได้อย่างท่าน เป็นนักรณรงค์เพื่อให้มนุษย์รักในการทำความดี เมื่อละโลกไปแล้ว บุญส่งผลให้ท่านได้เป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปกครองชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาตลอด

     เนื่องจากพระอินทร์ไม่ได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ แม้จะได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำของชาวสวรรค์ แต่รัศมีกายของพระองค์ก็ยังด้อยกว่าเทพเหล่าอื่นๆ จึงดำริที่จะหาโอกาสลงไปยังโลกมนุษย์ เพื่อเสริมบุญบารมีให้เพิ่มขึ้น จวบจนมาถึงสมัยพุทธกาลนี้

     วันหนึ่ง เหล่าเทพอัปสร ๕๐๐ นางซึ่งเป็นบริจาริกาของพระองค์อยากได้บุญใหญ่ จึงชวนกันถืออาหารหวานคาว มายืนดักรอตักบาตรพระกัสสปเถระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พวกเธอกล่าวเชื้อเชิญพระเถระให้รับบาตร แต่ได้รับการปฏิเสธจากพระเถระ

     นางอัปสรได้อ้อนวอนพระเถระว่า ขอท่านได้โปรดสงเคราะห์พวกดิฉันด้วยเถิด แต่เมื่อได้รับการปฏิเสธถึง ๓ ครั้ง จึงกลับไปยังเทวโลกด้วยความผิดหวัง พวกนางได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท้าวสักกะฟัง ทำให้พระองค์ทรงอยากได้บุญกับพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ จึงหากุศโลบายที่จะทำบุญกับพระเถระ

     เช้าวันนั้น พระอินทร์พร้อมด้วยสุชาดาเทพกัญญา ได้เหาะลงจากเทวโลก แปลงเป็นช่างหูกชรายากจนเข็ญใจ มีฟันหัก ผมหงอก หลังโกง  ส่วนสุชาดาก็เนรมิตกายเป็นหญิงชรา เดินงกๆ เงิ่นๆ และยังทรงเนรมิตถนนช่างหูกขึ้นสายหนึ่ง ประทับขึงหูกอยู่ตามลำพัง ฝ่ายพระเถระเดินบ่ายหน้าเข้าเมืองด้วยหวังว่า “จักทำความสงเคราะห์พวกคนเข็ญใจ” ได้มองเห็นถนนสายนั้นอยู่นอกเมือง และมองเห็นผู้เฒ่าทั้งสองกำลังขึงหูกกรอด้ายกันอยู่

     พระเถระมีจิตเมตตาว่า “สองตายายนี้ แม้แก่เฒ่าก็ยังทำงาน ในเมืองนี้ผู้ที่จะเข็ญใจกว่าสองคนนี้เห็นจะไม่มี เราควรที่จะอนุเคราะห์สองตายายให้มีสุคติสวรรค์เป็นที่ไป จากนั้นได้บ่ายหน้าตรงไปที่บ้านของคนทั้งสอง ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระเถระกำลังมา จึงตรัสบอกสุชาดาว่า “พระคุณเจ้าของเรากำลังเดินมาทางนี้แล้ว เธอจงนั่งทำเป็นเหมือนไม่เห็นท่าน ฉันจะลวงท่านสักครู่หนึ่ง แล้วจึงจะถวายบิณฑบาต” เมื่อพระเถระมายืนอยู่หน้าประตูบ้าน สองตายายก็ทำเป็นมองไม่เห็น ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ ท้าวสักกะทำเป็นเอ่ยขึ้นว่า “ที่ประตูบ้านดูเหมือนมีพระเถระยืนอยู่รูปหนึ่ง เธอจงไปตรวจดูซิ ว่าใครมา”

     สุชาดาแกล้งทำเป็นลุกไม่ค่อยไหว และพูดเกี่ยงให้ท้าวสักกะออกไปต้อนรับแทน ท้าวเธอจึงเสด็จออกจากเรือน ทรงก้มลงกราบพระเถระ จากนั้นทรงเอาพระหัตถ์ทั้งสองลูบเท้าพระเถระ ถอนใจแล้วเสด็จลุกขึ้น ย่อพระองค์ลงเล็กน้อยตรัสถามว่า “ตาของข้าพเจ้าฝ้าฟาง มองไม่ค่อยเห็นพระคุณเจ้า ท่านเป็นพระเถระรูปไหนหนอ” พระอินทร์แกล้งทำเป็นวางพระหัตถ์ไว้เหนือหน้าผาก ป้องหน้าแหงนดู ตรัสว่า “โอ ตายจริง นี่ คือ พระมหากัสสปเถระของเรา นานหนอจะได้เห็นพระมาเยี่ยมถึงกระท่อมน้อยของเรา ยายแก่เอ้ย มีอาหารอะไรที่พอจะทำบุญให้ทานบ้างไหม”

     สุชาดาทำเป็นกุลีกุจอรีบไปดูอาหารในครัว ร้องบอกให้พระเถระโปรดหยุดรอสักครู่ แล้วเดินงกๆ เงิ่นๆ ถืออาหารมาถวายพระเถระ พระเถระได้ส่งบาตรให้ไปด้วยความเอ็นดู ท้าวสักกะทรงคดข้าวสุกออกจากหม้อใส่จนเต็มบาตร แล้วมอบถวายในมือพระเถระ บิณฑบาตนั้นมีแกงและกับมากมาย กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วกรุงราชคฤห์

     พระเถระคิดว่า ชายแก่นี้เป็นคนยากเข็ญ แต่อาหารนั้นประณีตเหมือนสุธาโภชน์ของท้าวสักกะ” ครั้นพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้ว่าเป็นท้าวสักกะ จึงตำหนิว่า “พระองค์ทรงแย่งสมบัติของคนเข็ญใจ เป็นการกระทำที่ไม่สมควร เพราะผู้ใดก็ตามที่ถวายทานแก่อาตมภาพในวันนี้ จะได้ตำแหน่งเสนาบดีหรือตำแหน่งมหาเศรษฐีประจำเมืองทีเดียว”

   ท้าวสักกะกราบเรียนว่า “แม้ข้าพเจ้าจะได้เสวยสิริราชสมบัติในเทวโลก แต่ก็จัดว่าเป็นคนเข็ญใจในเทวโลก เพราะในปัจจุบัน เทพบุตรผู้มีศักดิ์เสมอกัน ๓ องค์ คือจูฬรถเทพบุตร มหารถเทพบุตร และอเนกวัณณเทพบุตรได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ ได้ไปบังเกิดใกล้กับปราสาทของข้าพเจ้า เป็นผู้มีฤทธิ์มีเดชมากกว่าข้าพเจ้า เมื่อเทพบุตรทั้งสามพาเทพนารีบริวารไปชมทิพยอุทยานผ่านมาทางวิมานของข้าพเจ้า เดชจากสรีระของเทพบุตรทั้งสามนั้นท่วมทับสรีระของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าต้องหลบเข้าไปอยู่ในวิมาน เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะเข็ญใจกว่าข้าพเจ้าเป็นไม่มี”

     พระเถระได้ฟังความทุกข์ของพระอินทร์แล้ว บังเกิดจิตเมตตาสงสาร จึงอนุโมทนาในกุศลเจตนาของพระองค์ ท้าวสักกะถามว่า “เมื่อกระผมลวงถวายทาน กุศลจะเกิดขึ้นหรือไม่” ครั้นได้รับคำยืนยันว่าได้บุญเหมือนกัน พระอินทร์รู้สึกปีติใจมาก ทรงไหว้พระเถระ พาสุชาดาทำประทักษิณรอบพระเถระ แล้วเหาะขึ้นสู่เวหา พระองค์เกิดปีติโสมนัสที่ได้ถวายทานด้วยโภชนะที่เป็นทิพย์เช่นนี้ จึงเปล่งอุทานขึ้น ๓ ครั้ง ว่า “โอหนอ ทานนี้เป็นทานอันเลิศ เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในพระกัสสปเถระ”

     ด้วยอานิสงส์ที่ท้าวสักกะได้ทำบุญใหญ่ โดยเป็นผู้ทำบุญที่ประกอบด้วยสมบัติ ๓ ประการ คือ เขตสมบัติ ให้ทานที่ถึงพร้อมด้วยบุญเขตอันยอดเยี่ยม วัตถุสมบัติ ถึงพร้อมด้วยไทยธรรมอันเลิศ และจิตสมบัติ ถึงพร้อมด้วยจิตที่เลื่อมใสอันไม่มีประมาณ นับว่าเป็นการบำเพ็ญทานที่สมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบที่จะเป็นเหตุให้ได้มหาสมบัติใหญ่ บุญนั้นจึงส่งผลให้พระองค์ได้เป็นจอมเทพมีรัศมีกายที่สว่างไสว ได้ความเป็นเลิศทั้งรูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ สัมผัสทิพย์ อายุ วรรณะ สุข ยศ และอธิปไตยความเป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

     จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า การถวายทานถูกทักขิไณยบุคคลนั้น ไม่ใช่ของง่าย แม้แต่พระอินทร์ยังต้องอาศัยกุศโลบายจึงจะถวายทานได้สำเร็จ จะทำบุญต้องอาศัยดวงปัญญา และต้องทำให้ถูกเนื้อนาบุญ จึงจะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมบัติทั้ง ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ  ดังนั้นนักสร้างบารมีต้องฉลาดในการสร้างบารมี ให้พวกเราทุกคนได้ตระหนักในเรื่องการทำบุญที่ถูกหลักวิชากันให้ดี และหมั่นสั่งสมบุญให้เต็มที่ เต็มกำลัง ทั้งทาน ศีล ภาวนา ที่สำคัญคือต้องตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยให้ได้กันทุกๆ คน

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๔๑ หน้า ๑๒๑
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
อยู่ก็รัก จากก็คิดถึงอยู่ก็รัก จากก็คิดถึง

พระอัญญาโกณฑัญญะ ผู้รัตตัญญู (๑)พระอัญญาโกณฑัญญะ ผู้รัตตัญญู (๑)

พระอัญญาโกณฑัญญะ ผู้รัตตัญญู (๒)พระอัญญาโกณฑัญญะ ผู้รัตตัญญู (๒)



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน