สามเณรนิโครธ (๓)


[ 16 ธ.ค. 2556 ] - [ 18275 ] LINE it!

สามเณรนิโครธ (๓)

     การดำเนินชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยในสังสารวัฏ เราจะต้องรู้ว่าสิ่งไหนเป็นบุญ สิ่งไหนเป็นบาปอกุศล แล้วดำรงตนให้อยู่ในเส้นทางแห่งบุญ เส้นทางแห่งความดี เพราะถ้าไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้แล้ว จะทำให้เราพลาดพลั้งไปทำบาปอกุศล ทำให้ชีวิตมัวหมองได้ เมื่อไม่รู้ก็ต้องแสวงหาผู้รู้ เข้าไปสอบถามในสิ่งที่สงสัย ที่สำคัญต้องหมั่นเข้าไปหาผู้รู้ภายในคือพระธรรมกาย ด้วยวิธีการหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แสวงหาความรู้แจ้งที่เกิดจากปัญญาอันบริสุทธิ์ แล้วเราจะเข้าถึงผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งภายใน และจะได้แนวทางที่ถูกต้องสมบูรณ์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน กุลสูตร ว่า

     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรพชิตผู้มีศีลทั้งหลาย เข้าไปหาสกุลใด มนุษย์ในสกุลนั้นย่อมประสบบุญเป็นอันมาก โดยฐานะ ๕ ประการ คือ

     สมัยใด บรรพชิตผู้มีศีลเข้าไปหาสกุล จิตของพวกมนุษย์ ย่อมเลื่อมใส สมัยนั้น สกุลนั้นชื่อว่าปฏิบัติปฏิปทาที่ยังสัตว์ ให้เป็นไปพร้อมเพื่อสวรรค์

     สมัยใด บรรพชิตผู้มีศีลเข้าไปหาสกุล พวกมนุษย์ พากันลุกต้อนรับ กราบไหว้ ให้อาสนะ สมัยนั้น สกุลนั้นชื่อว่า ปฏิบัติปฏิปทาที่ยังสัตว์ ให้เป็นไปพร้อมเพื่อเกิดในสกุลสูง

     สมัยใด เมื่อบรรพชิตผู้มีศีลเข้าไปสู่สกุล พวกมนุษย์ย่อมกำจัดมลทินคือความตระหนี่ สมัยนั้น สกุลนั้นชื่อว่า ปฏิบัติปฏิปทาที่ทำตน ให้เป็นไปพร้อมเพื่อความเป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่

     สมัยใด เมื่อบรรพชิตผู้มีศีลเข้าไปสู่สกุล พวกมนุษย์จัดของถวายตามกำลัง สมัยนั้น สกุลนั้นชื่อว่า ปฏิบัติปฏิปทาที่ทำตน ให้เป็นไปพร้อมเพื่อความเป็นผู้มีโภคทรัพย์มาก

     สมัยใด เมื่อบรรพชิตผู้มีศีลเข้าไปสู่สกุล พวกมนุษย์ย่อมไต่ถาม ฟังธรรม สมัยนั้น สกุลนั้นชื่อว่า ปฏิบัติปฏิปทาที่ทำตน ให้เป็นไปพร้อมเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก"

     อานิสงส์การได้เห็นสมณะ มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมากมาย เช่น เพียงได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชั่วครู่เดียว เห็นและบังเกิดความเลื่อมใส ครั้นละโลกไปก็ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ แต่ถ้าความเลื่อมใสนั้นแสดงออกมาทางกาย และวาจา ผลแห่งการเห็นสมณะ จะทับทวีมากยิ่งไปกว่านั้นอีก เหมือนดังพุทธวจนะที่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างข้างต้นนั่นแหละ เช่น ถ้าหากเราเห็นเพียงชั่วขณะ ได้เห็นท่านเดินผ่านไป หรือเราเผอิญเดินไปเห็นท่าน และแสดงความเคารพ พนมมือไหว้ด้วยจิตที่เลื่อมใส หากไม่สะดวกในการกราบ ก็ประณมมือไหว้ ถ้าไหว้ไม่สะดวก ก็แสดงความเคารพด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น หลีกทางให้ท่านก่อน อย่างน้อยที่สุด ก็แลดูท่านด้วยจิตที่เลื่อมใส นี่เป็นกิริยาที่จะทำให้เกิดบุญกุศล เกิดศิริมงคลแก่ตัวเรา  

     ทีนี้เรามาศึกษากันต่อถึงเรื่องการเห็นสมณะของพระเจ้าอโศกมหาราชว่า ผลแห่งการได้เห็นสมณะน้อยคือ สามเณรนิโครธ พระองค์ได้ทำความเลื่อมใสให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ปรากฏแก่ชาวโลกอย่างไรบ้าง  พอพูดถึงสามเณรนิโครธครั้งใด หลวงพ่อรู้สึกปลื้มปีติใจทุกครั้ง เพราะท่านเป็นต้นบุญต้นแบบของสามเณร ผู้เป็นเหล่าก่อของสมณะ เป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด ที่พลิกใจของพระราชาให้หันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แล้วผลแห่งความเลื่อมใสครั้งนั้น ได้ส่งผลอันยิ่งใหญ่เรื่อยมาจนถึงพวกเราในปัจจุบัน

     * เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อพระเจ้าอโศกเกิดความศรัทธาในสามเณรนิโครธแล้ว ก็ได้นิมนต์พระมาฉันในพระราชมณเฑียร ยิ่งเห็นกิริยามารยาทที่สงบสำรวม เห็นอินทรีย์ที่ผ่องใสของภิกษุสงฆ์ทุกรูป ก็ยิ่งปีติ รู้สึกว่าได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญจริงๆ พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างมหาวิหาร ชื่อว่า อโศการาม ทรงตั้งภัตไว้เพื่อถวายภิกษุหกแสนรูป มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ทรงถวายมหาทานที่อโศการามท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ ท่านได้ตรัสถามปัญหาว่า “ท่านผู้เจริญ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว มีประมาณเท่าไร” พระสงฆ์ถวายพระพรว่า “มหาบพิตร พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วนั้น มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์”

     พระราชาทรงเลื่อมใสในพระธรรม จึงรับสั่งว่า จะบูชาพระธรรมขันธ์แต่ละขันธ์ด้วยวิหารแต่ละหลัง ทรงสละพระราชทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ รับสั่งพวกอำมาตย์ให้ส่งพนักงานไปช่วยกันสร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง ไว้ในพระนคร ๘๔,๐๐๐ นคร ส่วนพระองค์เองได้ทรงเริ่มการงานในอโศกมหาวิหาร ในอโศการาม  เมื่อมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลังสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงรับสั่งให้ประกาศทั่วพระนครว่า อีก ๗ วันจะมีการฉลองพระวิหาร ขอให้ประชาชนทั้งหมด จงสมาทานศีล ๘ เพื่อเตรียมการฉลองพระวิหาร

     พอครบ ๗ วัน พระราชามีหมู่เสนาอำมาตย์หลายแสน ซึ่งแต่งตัวด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง เสด็จเที่ยวชมพระนครที่ตกแต่งประดับประดาเป็นอย่างดี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระวิหาร ได้ประทับยืนอยู่ ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ภิกษุที่ประชุมกันในขณะนั้นมีประมาณ ๘๐ โกฏิ ภิกษุณีมีประมาณเก้าล้านหกแสน เฉพาะภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพประมาณแสนรูป ท่านพระขีณาสพเหล่านั้น ได้ทำปาฏิหาริย์ ชื่อว่า โลกวิวรณ์ คือการเปิดโลก ๓ ให้พระราชาได้ทอดทัศนา

     พระราชาประทับยืนอยู่ที่อโศการาม ทรงเหลียวดูตลอดทั้ง ๔ ทิศ ได้ทอดพระเนตรเห็นชมพูทวีป มองเห็นพระวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลังที่รุ่งโรจน์อยู่ด้วยการบูชาในการฉลองพระวิหารอย่างโอฬาร ทรงประกอบด้วยปีติปราโมทย์เป็นอย่างมาก จึงตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในพระศาสนาของพระโลกนาถเจ้าของเราทั้งหลาย มีใครบ้าง ได้สละทรัพย์บริจาคทานมากมายเหมือนอย่างนี้บ้าง”

     พระโมคคลีบุตรติสสเถระ ได้รับมอบหน้าที่จากภิกษุสงฆ์ให้เป็นผู้วิสัชนาปัญหา พระมหาเถระถวายพระพรว่า “มหาบพิตร ขึ้นชื่อว่าผู้ถวายปัจจัยในพระศาสนาของพระทศพลเช่นกับพระองค์ ในเมื่อครั้งพระตถาคตเจ้า ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ไม่มีใครเลย พระองค์เท่านั้น ทรงมีการบริจาคยิ่งใหญ่” พระราชาทรงสดับคำของพระเถระแล้ว ก็ยิ่งเกิดความปีติ จึงทรงดำริว่า เราได้ถวายปัจจัยมากที่สุด เรากำลังยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะได้ชื่อว่า เป็นทายาทแห่งพระศาสนาหรือยังหนอ จึงได้ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โยมเป็นทายาทแห่งพระศาสนาแล้วหรือยัง”

     พระเถระถวายพระพรว่า “มหาบพิตร ผู้ถวายปัจจัยได้ชื่อว่าผู้อุปัฏฐากเท่านั้น ผู้ใดพึงถวายจตุปัจจัย กองตั้งแต่แผ่นดินสูงจรดถึงพรหมโลก ผู้นั้นยังไม่ถึงความนับว่า เป็นทายาทในพระศาสนาได้ ส่วนบุคคลใดให้บุตรผู้เป็นโอรสของตนบวช บุคคลนี้ท่านเรียกว่าเป็นทายาทแห่งพระศาสนา” พระเจ้าอโศกเมื่อได้ฟังวิสัชนาเช่นนั้นแล้ว ก็ปรารภกับพระกุมาร ซึ่งตามปกติก็มีพระประสงค์อยากจะผนวชอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้โอกาส ครั้นพระบิดาตรัสถาม พระกุมารเกิดมหาปีติที่ตนจะได้โอกาสบรรพชา จึงทูลขออนุญาตบรรพชา เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว มหินทกุมารพร้อมด้วยพระธิดาสังฆมิตตาก็ออกบรรพชา บวชได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

     ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าอโศกก็ได้ชื่อว่าเป็นญาติกับพระศาสนา และช่วยทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่เต็มกำลัง พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองไปทั่วชมพูทวีปอีกครั้งหนึ่ง ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎก ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่ต่างประเทศทั่วโลก และส่งพระโสณกเถระกับพระอุตตรเถระมาที่สุวรรณภูมิ ซึ่งก็คือแถบประเทศเขมร ไทย ลาว พม่านี่เอง

     เราจะเห็นว่า การได้เห็นสมณะหรือเห็นสามเณรผู้เป็นเหล่ากอของสมณะ เป็นสุดยอดแห่งการเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะนั่นคือทางมาแห่งบุญกุศลที่ทำให้เราได้สติ ไม่ประมาท ชื่อว่าได้บูชาพระรัตนตรัย ผลบุญนั้นจะส่งให้เราถึงพร้อมด้วยมนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ

     เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลายได้เกิดในยุคสมัยที่ยังมีสมณะเหลืออยู่ นับว่าเป็นผู้มีโชคอันประเสริฐแล้ว ก็อย่าได้ดูเบา เวลาเห็นพระบิณฑบาตผ่านมาหน้าบ้านของเรา ท่านมาโปรดเราในยามเช้า เพื่อนำบุญมาให้เราถึงหน้าบ้านแล้ว ให้หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายทานกับท่านด้วยความเคารพเลื่อมใส ให้ทำกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง อย่าได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว

 

 

พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๑ หน้า ๘๖
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๑)ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๑)

ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๒)ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๒)

ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๓)ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๓)



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน