เขมาเถรี อัครสาวิกาเบื้องขวา


[ 23 ธ.ค. 2556 ] - [ 18280 ] LINE it!

เขมาเถรี อัครสาวิกาเบื้องขวา

     เวลาในโลกนี้แสนสั้น แต่เวลาหลังจากที่ละโลกไปยาวนานมาก นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลายท่านมองเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นทุกข์เห็นโทษในอบายภูมิ และมองเห็นสุขในสุคติภูมิ จึงละชั่วทั้งกาย วาจา และใจ หมั่นสั่งสมบุญกุศลอย่างเต็มที่ ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อให้ชีวิตที่อยู่ในโลกนี้มีคุณค่า และให้ชีวิตในสัมปรายภพมีความปลอดภัย เราทั้งหลายควรดำเนินตามปฏิปทาของบัณฑิตผู้รู้เหล่านั้น ชีวิตเราจะได้ไม่ผิดพลาด ไม่ควรไปยึดติดในคน สัตว์ สิ่งของทั้งหลายในโลกนี้ แม้กระทั่งสังขารร่างกายของเราที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์นี้ เพื่อจะได้มาสร้างบารมีให้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต  จึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น ควรแสวงหากายภายในที่แท้จริงคือ พระธรรมกาย ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของตัวเราเอง ด้วยการหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นประจำทุกวัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย มหาวรรค ว่า

“ตํ พฺรูมิ อุปสนฺโตติ       กาเมสุ อนเปกฺขินํ
 คนฺถา ตสฺส น วิชฺชนฺติ   อตาริ โส วิสตฺติกํ

     เราเรียกผู้ไม่เยื่อใยในกามทั้งหลายเหล่านั้นว่า เป็นผู้สงบ เพราะไม่มีกิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด จึงข้ามพ้นตัณหาไปได้”

     ปัจจุบันเราอยู่ในยุคสมัยที่กัปกำลังไขลง จากที่เคยมีพุทธพยากรณ์ว่า หลังจากพุทธปรินิพพานแล้วทุกๆ ร้อยปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี มนุษย์จากที่เคยมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปี เมื่อเวลาผ่านไป ๒,๕๐๐ ปี อายุมนุษย์จึงลดลงเหลือ ๗๕ ปี เพราะฉะนั้น ใครมีอายุยืน ๑๐๐ ปี หรือเกินกว่า ๗๕ ปี ก็ถือว่าเป็นอายุยืนแล้ว นับวันอายุมนุษย์จะถอยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ ๑๐ ขวบ ในยุคนั้นพอคลอดจากครรภ์มารดา อายุได้ ๕ ขวบ ก็คิดเรื่องแต่งงาน อยากมีคู่ครองกันแล้ว โอกาสที่จะแสวงหามรรคผลนิพพานก็แทบจะไม่มี ใจของคนส่วนใหญ่จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการหากิน เกียรติยศชื่อเสียง ซึ่งผู้รู้ท่านบอกว่าเป็นเสมือนของร้อนที่ยิ่งเข้าไปผูกพัน ยึดมั่นถือมั่น จะมีแต่นำความร้อนรุ่มในจิตใจมาให้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ท่านถึงสอนไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่น แต่ให้มุ่งแสวงหาสาระที่แท้จริงของชีวิต

     * มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล พระนางเขมาเทวี เป็นพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร มีรูปกายที่สวยงามประหนึ่งนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ พระนางทรงสดับที่พระบรมศาสดาทรงแสดงโทษในรูปว่าเป็นของไม่เที่ยง สักวันหนึ่งก็ต้องเสื่อมสลาย ไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของตนเอง และของคนอื่น

     เนื่องจากพระนางเป็นผู้มัวเมาในรูปโฉมของตนเองว่ามีความงามเป็นเลิศ จึงไม่กล้าไปเฝ้าพระทศพล เพราะทรงกลัวว่าพระบรมศาสดาจะทรงแสดงโทษในรูปของพระนาง ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นพุทธมามกะ เป็นพระโสดาบันบุคคล มีความปรารถนาอยากให้พระมเหสีได้ฟังพระสัทธรรมบ้าง แม้จะทรงชักชวนไปพระวิหารหลายครั้ง แต่พระนางก็บ่ายเบี่ยง

     พระราชาจึงใช้กุศโลบายด้วยการให้เหล่านักกวีประพันธ์ความงดงามของพระเวฬุวันราชอุทยาน แล้วให้ไปขับร้องใกล้ๆ สถานที่ที่พระนางเขมาเทวีจะทรงได้ยิน เมื่อพระนางทรงได้สดับคำพรรณนาพระเวฬุวัน มีพระประสงค์จะเสด็จไปชมพระราชอุทยาน จึงทูลขออนุญาตพระราชาเพื่อไปทอดพระเนตร

     พระราชาตรัสสั่งเหล่าบุรุษที่ไปกับพระนางว่า หากพระเทวีจะกลับจากสวนโดยไม่ยอมเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ก็ให้บังคับพานางไปให้ได้ นี่ก็เป็นข้อสังเกตว่า ความตั้งใจดีอยากให้คนอื่นได้พบเส้นทางสว่างของชีวิต บางครั้งจะชักชวนธรรมดา ใช้วิธีละมุนละม่อมไม่ได้ ต้องถึงกับบังคับกัน เหมือนเด็กที่เป็นไข้แล้วไม่อยากทานยา พ่อแม่ก็ต้องบังคับให้กิน แม้ยานั้นอาจขม แต่เมื่อพ่อแม่เห็นว่าหากลูกรับประทานยาขนานนั้น จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงจำเป็นที่จะต้องบังคับให้ลูกกิน

     สมัยนั้น พระนางเขมาเทวีเสด็จชมพระราชอุทยานด้วยความเพลิดเพลิน เมื่อเสด็จกลับก็ไม่เฝ้าพระทศพล เหล่าราชบุรุษจึงใช้พระราชอาชญาบังคับ โดยที่พระนางไม่ค่อยชอบพระทัยเท่าใดนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นพระนางกำลังเสด็จมา จึงทรงเนรมิตเทพอัปสรนางหนึ่ง ซึ่งกำลังถือก้านใบตาลถวายงานพัดอยู่ พระนางเขมาเทวีเห็นเทพอัปสรนั้นแล้วทรงพระดำริว่า สตรีท่านนี้สวยงามประดุจเทพอัปสรยังอุตส่าห์มาเฝ้าพระทศพล ถ้าเราเทียบกับนางแล้วเหมือนนางกากับนางหงส์

     คิดอย่างนั้นและยืนดูเทพอัปสรด้วยใจที่เคลิบเคลิ้มหลงใหลในรูปกายของเทพธิดานางฟ้า แต่ด้วยพุทธานุภาพของพระตถาคตเจ้า สตรีนั้นก็ปรากฏแปรเปลี่ยนไปตามวัย ล่วงปฐมวัย ตั้งอยู่ในมัชฌิมวัย  แล้วก็ล่วงมัชฌิมวัยดำรงอยู่ในปัจฉิมวัย มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ฟันหัก หลังโกง แล้วสตรีนั้นล้มลงกลิ้งเกลือกพร้อมกับพัดใบตาล ร้องโอดครวญทุกข์ทรมาน และเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา

     พระนางเขมาเทวีได้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร และเนื่องจากพระนางเป็นผู้มีบุญบารมีที่สั่งสมไว้อย่างดี จึงสอนตนเองว่าสรีระที่งดงามถึงเพียงนี้ ยังถึงความวิบัติ แม้สรีระของเราก็จักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน ขณะที่กำลังมีดำริอยู่นั้น พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ชนเหล่าใด ถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปตามกระแส เหมือนแมลงมุมตกไปตามใยข่ายที่ตนเองทำไว้ ชนเหล่านั้นตัดกระแสนั้นได้แล้ว ไม่เยื่อใยในกามคุณทั้งหลาย ย่อมเว้นรอบจากกามคุณทุกอย่าง”

     พอจบพระคาถา พระนางทรงอยู่ในอิริยาบถยืนก็บรรลุอรหัตผล ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ธรรมดาว่าผู้อยู่ครองเรือนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จำต้องปรินิพพานหรือบวชเสียในวันนั้น เพราะเพศภาวะของคฤหัสถ์ไม่อาจจะรองรับคุณธรรมของความเป็นพระอรหันต์ได้ พระนางรู้ว่าอายุสังขารของพระองค์ยังเป็นไปได้ จึงตัดสินใจที่จะออกผนวชเป็นภิกษุณี จะได้ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับชาวโลก เมื่อดำริเช่นนั้นแล้ว จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์

     พระราชาทรงทราบโดยอาการนั้นว่าพระนางคงจักได้มรรคผลนิพพานขั้นสูงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะวันนี้พระนางมีวรรณะเปล่งปลั่งผ่องใส และมีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสมากกว่าวันก่อนๆ จึงตรัสถามเรื่องราวทั้งหมด และทรงอนุญาตให้พระนางออกบวชเป็นภิกษุณีตามความประสงค์ เมื่อออกบวชแล้ว เนื่องจากความที่พระนางมีพระปัญญามาก บรรลุพระอรหันต์ทั้งที่อยู่ในเพศคฤหัสถ์ พระบรมศาสดาจึงทรงสถาปนาพระเขมาเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาผู้มีปัญญามาก

     นี่ก็เป็นตัวอย่างของผู้ที่เคยหลงใหลในรูปกายของตนเอง แต่เมื่อเทียบกับกายทิพย์ แล้วเทียบกันไม่ได้ เพราะความละเอียดประณีตสวยงามนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่เคยเห็นกายมนุษย์ละเอียด ไม่เคยเห็นกายทิพย์ แม้กายพรหม อรูปพรหมที่มีความละเอียดประณีตใกล้ลักษณะมหาบุรุษเข้าไปทุกที ก็ไม่เคยเห็น ทำให้มัวยึดติดหลงใหลในกายมนุษย์หยาบทั้งที่เต็มไปด้วยของปฏิกูล

     เพราะฉะนั้น จะปลดปล่อยวางจากกายภายนอกเหล่านี้ได้ ก็ต้องเข้าไปรู้จักกับกายที่มีความละเอียดประณีตภายใน จะเข้าถึงได้ก็ต้องอาศัยใจที่หยุดนิ่ง จึงจะไปรู้ไปเห็นได้ จะรู้เห็นได้ในปัจจุบันกันเลย ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ค่อยมารู้จักว่าเทวดาเป็นอย่างไร หรือกายภายในอื่นๆ เป็นอย่างไร หลวงปู่วัดปากน้ำท่านใช้คำว่า “หยุดให้ได้เสียก่อน ตกลงกันเรื่องหยุดให้มันได้เสียก่อน เรื่องอื่นใหญ่โตมโหฬารนัก อย่าพึ่งไปพูดถึง เมื่อว่าหยุดได้แล้ว เรื่องอื่นก็ง่ายล่ะ” เริ่มตั้งแต่หยุดใจเป็นจะเห็นภาพภายใน เห็นว่าที่ศูนย์กลางกายของเรา มีดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสสว่างประดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน

     เมื่อหยุดถูกส่วนเข้า เราจะเข้าไปพบดวงธรรมต่างๆ ภายใน ตั้งแต่ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ และก็ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ซ้อนกันเข้าไปเรื่อยๆ สุดกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จะเข้าไปพบกับกายมนุษย์ละเอียด ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ต่างกันแต่มีความละเอียดกว่าเดิม ประณีตกว่าเดิม งดงามกว่าเดิม นี่จะเห็นกันเข้าไปอย่างนี้ เมื่อหยุดถูกส่วนหนักเข้า จะเข้าไปพบกายในกายภายในทั้งหยาบและละเอียด ตั้งแต่กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม และเห็นกายธรรม ซึ่งเป็นกายที่หลุดพ้นจากภพทั้งสาม เป็นกายที่ใสเกินใส สวยเกินสวย งามไม่มีที่ติ และเป็นนิจจัง เป็นสุขัง เป็นอัตตา ที่ควรยึดถือไว้ ยามมีทุกข์ท่านก็ช่วยให้พ้นทุกข์ได้ มีสุขแล้ว เมื่อนำใจมาหยุดอยู่ในกลางท่าน ความสุขจะเพิ่มพูนทับทวีไม่มีสิ้นสุด

     เพราะฉะนั้น ให้พวกเราทุกคนหมั่นนำใจมาหยุดมานิ่งที่ศูนย์กลางกายให้ได้ทุกๆ วัน แล้วเราจะได้เข้าถึงพระธรรมกาย มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกกันทุกๆคน

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๓๓ หน้า
 

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ปฏาจาราภิกษุณีเถรีปฏาจาราภิกษุณีเถรี

พระภัททกาปิลานีเถรีพระภัททกาปิลานีเถรี

รูปนันทาเถรีรูปนันทาเถรี



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน