อนาถบิณฑิกเศรษฐี (บรรลุธรรม)


[ 12 มี.ค. 2557 ] - [ 18305 ] LINE it!

อนาถบิณฑิกเศรษฐี (บรรลุธรรม)

     ตถาคต คือ ธรรมกาย ตถาคตเป็นชื่อของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ จะทำให้ใจเราผูกพันกับพระพุทธองค์ ใจจะบริสุทธิ์ผ่องใส ถ้าเรานึกถึงท่านตลอดเวลา ดวงจิตจะถูกปรับปรุงให้บริสุทธิ์ขึ้น ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ใจยิ่งมีอานุภาพ ความบริสุทธิ์เป็นทางมาแห่งมหากุศล จะบริสุทธิ์ได้ใจต้องหยุดนิ่ง เพราะฉะนั้น การทำภาวนาจึงเป็นการชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ที่ดีที่สุด

พระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สามัญญผลสูตร ว่า

     “ผู้ใดยึดเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ผู้นั้นเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ สรณะของผู้นั้นเป็นสรณะอันเกษม เป็นสรณะอันสูงสุด บุคคลอาศัยสรณะนี้แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”

     ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของมวลมนุษยชาติ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะประเสริฐยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ๓ อย่างนี้เท่านั้นที่เราพึ่งแล้วสามารถพ้นจากทุกข์ได้ ถ้าเราหมั่นระลึกถึงท่านอยู่เสมอ ใจเราจะสะอาดบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น จะเป็นเหตุให้ใจเราละเอียดอ่อน และเข้าถึงพระรัตนตรัย และเมื่อเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถูกต้อง เราจะรู้เห็นไปตามความเป็นจริงที่เรียกว่า อริยสัจ เห็นด้วยปัญญาอันชอบ ซึ่งเป็นปัญญาที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

     พระพุทธหรือพุทธรัตนะมีลักษณะเป็นกายแก้ว สมบูรณ์ด้วยลักษณะมหาบุรุษทุกประการ ประทับนั่งขัดสมาธิคู้บังลังก์อยู่ในกลางตัวของเราทุกคน เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของมนุษย์ทุกคน พระธรรมหรือธรรมรัตนะเป็นดวงธรรมใสสว่างอยู่กลางพุทธรัตนะ พระสงฆ์หรือสังฆรัตนะเป็นกายธรรมที่ละเอียดซ้อนอยู่ในกลางธรรมรัตนะ  รัตนะทั้ง ๓ นี้เป็นสิ่งที่ต้องยึดไว้เป็นที่พึ่งให้ได้ จะยึดเอาเป็นที่พึ่งได้ ต้องทำใจให้หยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อหยุดถูกส่วนก็จะเข้าถึง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่าน หากทำได้อย่างนี้ ก็ชื่อว่าได้สรณะที่พึ่งที่ระลึกอันเกษม

     * ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้นำบริวารบรรทุกสินค้า ๕๐๐ เล่มเกวียนไปค้าที่กรุงราชคฤห์ เมื่อเดินทางมาถึงบ้านของท่านราชคหเศรษฐีซึ่งเป็นสหายในเวลาเย็น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สังเกตเห็นสหายมัวสาละวนอยู่กับการสั่งคนใช้ให้ผ่าฟืน หุงข้าว ทำอาหารที่มีรสเลิศ ตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม แต่ก็สั่งงานด้วยใบหน้าที่เบิกบานผ่องใส จึงเกิดความสงสัยว่าเพื่อนของเราไม่ให้การต้อนรับเราเหมือนที่เคยเป็น จะมีพระราชามหากษัตริย์เสด็จมาที่บ้าน หรือจัดงานวิวาหมงคลกันแน่ จึงได้ถามเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด

     ท่านราชคหเศรษฐีได้บอกว่า บัดนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ในวันพรุ่งนี้เราจะถวายภัตตาหาร และทำสักการะใหญ่แด่พระพุทธองค์พร้อมด้วยเหล่าพระอรหันตสาวก เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังเพียงคำว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลกเท่านั้น ก็เกิดความปีติปราโมทย์ใจอย่างไม่มีประมาณ 

     มหาปีติได้แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายอยู่เป็นเวลานาน ท่านเศรษฐีถึงกับกำหนดอะไรไม่ได้ ท่านถามสหายถึง ๓ ครั้ง สหายก็ได้บอกเรื่องอันเป็นมหามงคลนั้นให้ท่านทราบถึง ๓ ครั้งเช่นกัน  ท่านเศรษฐีได้เปล่งอุทานว่า “อโห พุทฺโธ พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการยาก แต่พระองค์ก็ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว”

     ท่านได้ถามสหายว่า “ตอนนี้พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ไหน เราจะไปเฝ้าพระองค์เดี๋ยวนี้แหละ” สหายเห็นว่า ท่านเศรษฐีเพิ่งจะเดินทางมาถึง ยังไม่ได้พักผ่อนเลย จึงกล่าวทัดทานว่า “พระองค์ประทับอยู่ที่ป่าสีตวัน ขอให้ท่านพักผ่อนก่อนเถิด ในวันรุ่งขึ้นท่านจะได้เฝ้าพระบรมศาสดาที่เรือนของเรานี่แหละ”  

     คืนนั้นท่านเศรษฐีมีจิตส่งไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา ไม่มีความคิดถึงเรื่องการทำมาค้าขาย หรือแม้กระทั่งอาหารเย็นก็ไม่ยอมรับประทาน เพราะท่านมีปีติเป็นภักษาหาร จึงขึ้นไปพักผ่อนบนปราสาทชั้นที่ ๗ แล้วสาธยายคำว่า “พุทฺโธ พุทฺโธ พุทฺโธ” ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์และนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

     เมื่อปฐมยามล่วงไปท่านเศรษฐีได้ตื่นขึ้นมาด้วยใจที่ผูกพันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเห็นแสงสว่างประดุจประทีปพันดวงลุกโพลง ปรากฏเกิดขึ้นในกลางตัว แสงสว่างนั้น สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ท่านเกิดปีติมาก จึงอยากจะเห็นพระบรมศาสดาเร็วๆ แต่เมื่อลืมตาสังเกตดูดวงจันทร์บนท้องฟ้า จึงรู้ว่าปฐมยามเพิ่งจะล่วงไปเท่านั้น ยังไม่ถึงเวลาเช้าเลย จึงล้มตัวลงนอนต่อ

     พักผ่อนได้ไม่นานก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีก ด้วยอานุภาพของแสงสว่างภายในและความปีติที่ท่านได้สัมผัส แต่พอสังเกตดูดวงจันทร์ มัชฌิมยามเพิ่งจะผ่านพ้นไปจึงล้มตัวลงนอนต่อไปอีก ท่านเศรษฐีได้ตื่นขึ้นมาใหม่ในเวลาใกล้ปัจฉิมยาม เนื่องจากท่านมีความปีติมาก ไม่อาจที่จะรอคอยเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในวันรุ่งขึ้นได้ จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาทันที  

     ตามปกติแล้วคฤหาสน์ของราชคหเศรษฐี จะปิดประตูลงกลอนเป็นอย่างดี จะถูกเปิดอีกครั้งในรุ่งอรุณของวันใหม่ แต่ด้วยพุทธานุภาพ เหล่าเทวดาประจำบ้านทั้งหลาย เห็นความตั้งใจอย่างแรงกล้าของท่านเศรษฐีแล้ว จึงประชุมกันว่า “มหาเศรษฐีท่านนี้ออกไปเพื่อจะเข้าเฝ้าบุคคลผู้เลิศในโลก นับเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาสาธุการยิ่งนัก ควรแล้วที่พวกเราจะส่งเสริมให้ท่านเศรษฐีได้สมหวัง” จึงบันดาลให้ประตูปราสาทเปิดออกได้เป็นอัศจรรย์  

     ในขณะที่เดินทางไปนั้นหนทางก็มืดมิด และมีอมนุษย์ออกหากินมากมายในตอนกลางคืน เมื่อพวกอมนุษย์ปรากฏกายให้เห็น ฝูงสุนัขส่งเสียงร้องเห่าหอน ท่านเศรษฐีไม่เคยออกจากบ้านตามลำพังในยามค่ำคืน จึงเกิดความกลัวขนพองสยองเกล้า แต่เมื่อเจริญพุทธานุสติ น้อมใจตรึกระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ความสว่างภายในก็ปรากฏเกิดขึ้นมาอีก ทำให้ความมืดและความกลัวอันตรธานหายไป

     พอสักครู่หนึ่งท่านเศรษฐีก็เกิดความวิตกกังวลว่า จะถูกมนุษย์ทำร้ายบ้าง จะถูกอมนุษย์ทำร้ายเอาบ้าง เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น จึงเกิดความกลัวขึ้นมาอีก คิดจะเดินทางกลับ เพื่อรอให้รุ่งเช้าเสียก่อนตั้งหลายหน แต่อมนุษย์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิได้ส่งเสียงให้กำลังใจว่า “จงก้าวเดินต่อไปเถิดท่านเศรษฐี ช้างแสนหนึ่ง ม้าแสนหนึ่ง รถเทียมด้วยม้าอัสดรแสนหนึ่ง ก็ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการย่างเท้าไปก้าวหนึ่งของท่าน เพื่อไปหาพระบรมศาสดา ขอท่านจงก้าวเดินต่อไปเถิด”

     ขณะที่ท่านเศรษฐีเดินเข้าไปในป่าช้านั้น ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่แต่ไกล พระองค์ได้ตรัสเรียกชื่อของท่านเศรษฐีว่า “ดูก่อนสุทัตตะ เข้ามาเถิด ท่านอย่าได้กลัวไปเลย ตถาคตกำลังรออยู่” เมื่อได้ยินพระพุทธองค์ตรัสเรียกชื่อเดิมของตน ก็ยิ่งปีติใจมาก ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่พระพุทธองค์ทรงปราศรัยได้ถูกต้อง ท่านเศรษฐีก็ยิ่งเกิดความเลื่อมใส จึงได้เข้าไปถวายบังคมแทบพระบาทของพระพุทธองค์  

     ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ประทับอยู่เป็นสุขดีหรือพระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

     “พราหมณ์ผู้ดับกิเลสเสียได้แล้ว ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เป็นผู้เยือกเย็น ปราศจากอุปธิ ย่อมอยู่เป็นสุขตลอดเวลา ผู้ที่ตัดตัณหาเครื่องเกี่ยวข้องได้หมดแล้ว กำจัดความกระวนกระวายในใจเสียได้ เป็นผู้มีใจสงบ ย่อมอยู่เป็นสุข เพราะมีใจหยุดนิ่งดีแล้ว”

     จากนั้นพระองค์ได้ตรัสพระธรรมเทศนา จนท่านเศรษฐีได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน มีความศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ท่านได้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เพราะมีใจมุ่งตรงต่อบุคคลผู้ประเสริฐสุด ไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคใดๆ แม้จะรอเวลาให้สว่างก็สายเกินไป ใจจดจ่อเป็นหนึ่ง จึงเข้าถึงพระรัตนตรัยในที่สุด  

     พวกเราก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีใจแน่วแน่มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพาน มีใจเป็นหนึ่งไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะเส้นทางบุญที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ เป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด เป็นทางเอกสายเดียวที่จะนำเราไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น นำพาตนและสรรพสัตว์ไปถึงที่สุดแห่งธรรม ดังนั้น นักสร้างบารมีจะต้องไม่มีคำว่าหวาดกลัว วิตกกังวลหรือท้อแท้อยู่ในใจ มีแต่ดวงใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ก้าวเดินต่อไปสู่มหาอมตนิพพาน เพราะฉะนั้น อย่าท้อถอยในการสร้างบารมี ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้เต็มที่ หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งเรื่อยไป จนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกๆ คน


พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๒๕ หน้า ๔๑๐
 
 

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
อนาถบิณฑิกเศรษฐี (ยอดกัลยาณมิตร)อนาถบิณฑิกเศรษฐี (ยอดกัลยาณมิตร)

อนาถบิณฑิกเศรษฐี (ทรัพย์หมด แต่ไม่หมดศรัทธา)อนาถบิณฑิกเศรษฐี (ทรัพย์หมด แต่ไม่หมดศรัทธา)

อนาถบิณฑิกเศรษฐี (ก่อนลมหายเฮือกสุดท้าย)อนาถบิณฑิกเศรษฐี (ก่อนลมหายเฮือกสุดท้าย)



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน