วิสาขามหาอุบาสิกา (ผู้ถึงฝั่งนิพพาน)


[ 17 เม.ย. 2557 ] - [ 18269 ] LINE it!

วิสาขามหาอุบาสิกา (ผู้ถึงฝั่งนิพพาน)

     พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และสังฆานุภาพ เป็นอานุภาพที่ไม่มีประมาณ เพราะเป็นอจินไตย อยู่เหนือวิสัยของผู้ที่ใจยังไม่หยุด ซึ่งจะให้เข้าใจด้วยการนึกคิดตามหลักตรรกวิทยา หรือศาสตร์ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ก็ไม่ได้ เพราะเป็นศาสตร์เฉพาะของผู้รู้แจ้งเท่านั้น ผู้ที่ทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย มักจะพบกับอานุภาพของพระรัตนตรัยอยู่เสมอ พบแต่เรื่องอัศจรรย์จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา และหากใจเราหยุดนิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย เราจะมีความบริสุทธิ์ และมีอานุภาพตามไปด้วย เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะยิ่งใหญ่หรือเทียบเท่าพระรัตนตรัยได้  

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อัยยิกาสูตร ว่า

“สพฺเพ สตฺตา มริสฺสนฺติ     มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ
   ยถากมฺมํ คมิสฺสนฺติ         ปุญฺญปาปผลูปคา
     นิรยํ ปาปกมฺมนฺตา          ปุญฺญกมฺมา จ สุคตึ
 ตสฺมา กเรยฺย กลฺยาณํ       นิจยํ สมฺปรายิกํ
        ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ         ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ

     สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตาย เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม เข้าถึงผลแห่งบุญและบาป คือ ผู้มีกรรมเป็นบาปจักไปสู่นรก ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญจักไปสู่สุคติ เพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงามอันจะนำไปสู่สัมปรายภพ สั่งสมไว้ บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก”

     เส้นทางสู่ความสุขและความสำเร็จ นอกจากต้องอาศัยความรู้และความสามารถแล้ว ยังต้องอาศัยบุญเป็นหลักใหญ่ที่สำคัญ เพราะเกิดเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะทำอะไรให้สำเร็จต้องอาศัยบุญเป็นพื้นฐาน ถ้ามีบุญน้อย กว่าจะได้ความสุขและความสำเร็จมาแต่ละครั้ง ก็ใช้เวลายาวนานและยากลำบากเหลือเกิน ถ้าหากบุญมากขึ้นก็เหนื่อยน้อยลง ถ้าบุญมากเต็มที่ แทนที่จะต้องวิ่งไปหาความสุข แต่ความสุขและความสำเร็จจะวิ่งเข้ามาหาเองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย อยู่เฉยๆ ก็มีสมบัติมาให้ใช้ ฟังดูคล้ายเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่สิ่งที่เหลือเชื่อนี่แหละ ได้บังเกิดขึ้นกับผู้มีบุญญาบารมีมาแล้วมากมาย

     ดูอย่างท่านเมณฑกเศรษฐี ท่านโชติกเศรษฐี หรือท่านชฏิลเศรษฐี ท่านได้สมบัติอัศจรรย์ ได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง โดยไม่ต้องเสียเวลาแสวงหาทรัพย์ให้ยากลำบาก แต่กว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ก็เพราะภพชาติในอดีต ท่านมหาเศรษฐีเหล่านั้นได้สั่งสมบุญไว้มาก เป็นยอดนักเสียสละชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงขีดถึงคราว บุญจึงส่งผลให้ท่านสมปรารถนาในทุกสิ่งคือ ได้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ

     ในครั้งนี้เรามาศึกษาความสำเร็จของผู้มีบุญอีกท่านหนึ่ง ซึ่งท่านได้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติโลกสวรรค์มายาวนาน และภพชาตินี้ท่านได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเอานิพพานสมบัติ อันเป็นสุดยอดปรารถนาของทุกชีวิต ผู้มีบุญท่านนี้ก็คือ ภัททชิกุมาร ซึ่งในอดีตชาติท่านบังเกิดเป็นพระเจ้ามหาปนาทะ ผู้มีมหาปราสาทสูงถึง ๒๕ โยชน์ เรื่องมีอยู่ว่า

     * เมื่อพระเจ้ามหาปนาทะได้กลับไปเสวยทิพยสมบัติในเทวโลก บังเกิดเป็นนฬการเทพบุตร  ครั้นมาในยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านจุติจากเทวโลก มาเป็นบุตรเศรษฐีชื่อภัททชิกุมาร ซึ่งเป็นบุตรคนเดียวของภัททิยเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลัง เนื่องจากท่านมีสมบัติมาก ทำให้ชาวพระนครแตกตื่น ปรารถนาจะมาดูสมบัติของภัททชิกุมาร เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกชื่นชมยินดี ไม่อิ่มไม่เบื่อในความวิจิตรพิสดารของมหาปราสาท และจะมีผู้คนมาชมกันอย่างหนาแน่นทุกวัน

     ครั้นพระบรมศาสดาได้เสด็จมาถึงเมืองของท่าน ชาวเมืองกลับแห่แหนกันไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ภัททชิกุมารไม่เห็นผู้ใดมาเยี่ยมเยียนปราสาทของตน รู้สึกแปลกใจมาก จึงไต่ถามถึงสาเหตุ ครั้นรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว มหาชนกำลังไปฟังธรรมจากพระองค์ ตัวท่านปรารถนาจะไปฟังธรรม จึงชักชวนบริวารไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เนื่องจากท่านสั่งสมบุญไว้มาก ฟังธรรมแค่เพียงครั้งเดียวก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันที ท่านได้ระลึกชาติไปดูว่าบุญอะไรหนอที่เป็นพลวปัจจัยให้ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อตรวจตราดูด้วยธรรมจักขุก็รู้ถึงสาเหตุดังนี้ว่า

     ในสมัยหนึ่ง ท่านเกิดเป็นดาบส ได้เห็นพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเหาะผ่านมาทางอากาศ เกิดความเลื่อมใสในพุทธานุภาพ จึงยืนประคองอัญชลีด้วยความเคารพนอบน้อม พระศาสดาทรงรู้อัธยาศัยของท่าน จึงเสด็จลงจากอากาศ แล้วประทับยืนอยู่ต่อหน้า ท่านดาบสจึงเอาน้ำผึ้งเหง้าบัว เนยใสและน้ำนม เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความเคารพ พระพุทธองค์ทรงเอาบาตรรับไว้จากดาบส แล้วกระทำอนุโมทนาในกุศลจิตศรัทธาของท่านดาบส จากนั้นพระองค์ก็เสด็จเหาะกลับไป

     หลังจากที่ท่านดาบสทำบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านหมั่นตามระลึกนึกถึงบุญด้วยความปลื้มปีติตลอดเวลา ครั้นตกกลางคืน ขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่ในอาศรมใต้ต้นไม้ใหญ่ เกิดฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา สายฟ้าได้ฟาดลงมาบนศีรษะของท่าน ทำให้ถึงแก่มรณภาพทันที แต่ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ท่านได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นเวลายาวนาน เมื่อถึงคราวสร้างบารมีท่านลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ได้มาเกิดในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านก็ได้มีโอกาสสร้างมหาทานบารมี ด้วยการถวายผ้าไตรจีวรแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๖๘,๐๐๐ รูป มหาทานบารมีในครั้งนั้นส่งผลให้ท่านได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสุขตลอดชั่วอายุของชาวสวรรค์ และในชาติก่อนหน้านี้ ท่านได้เกิดเป็นพระเจ้ามหาปนาทะ ผู้มีอานุภาพมากนั่นเอง

     เมื่อภัททชิกุมารบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่ภัททชิ พระองค์ประทับอยู่ในภัททิยนครตลอด ๗ วัน เพื่อฉลองศรัทธาท่านภัททิยเศรษฐี  จากนั้นทรงเสด็จกลับวัดพระเชตวัน ในระหว่างนั่งเรือข้ามแม่น้ำคงคา พระบรมศาสดาทรงรับสั่งให้ภัททชิภิกษุผู้บวชใหม่ได้เพียง ๗ วัน นั่งเรือลำเดียวกับพระองค์ ในขณะที่เรือล่องไปถึงกลางแม่น้ำคงคา ทรงตรัสถามว่า “ภัททชิ ปราสาททองที่เธอเคยอยู่ ในสมัยที่เธอเป็นพระเจ้ามหาปนาทะในอดีตชาตินั้นอยู่ตรงไหน”

     ท่านภัททชิกราบทูลว่า “จมอยู่ในน้ำข้างล่างนี้พระเจ้าข้า” จากนั้นท่านก็ดำลงไปในน้ำด้วยฤทธานุภาพ แล้วเกี่ยวเอายอดปราสาทขึ้นมาด้วยหัวแม่เท้า ปราสาทซึ่งสูง ๒๕ โยชน์ได้โผล่พ้นจากน้ำ และลอยขึ้นไปในอากาศ แสดงให้หมู่ภิกษุสงฆ์และมหาชนได้เห็นว่า นี่เป็นปราสาททองของท่านในสมัยที่เคยเป็นพระราชา และท่านได้เสวยสุขอยู่ในปราสาทหลังนี้ ประหนึ่งอยู่บนสรวงสวรรค์ จากนั้นพระเถระได้ปล่อยให้ปราสาทจมลงไปในแม่น้ำคงคาตามเดิม สาเหตุที่ยังไม่อันตรธานหายไป เนื่องจากเทพบุตรซึ่งเคยร่วมสร้างบุญกับท่าน ในสมัยที่เป็นช่างสานสองพ่อลูกนั้น จะมาอุบัติเป็นพระราชานามว่า สังขะ ปราสาทนั้นจักตั้งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อรองรับการบังเกิดขึ้นของพระราชาสังขะ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่อันตรธานไป

     พระพุทธองค์ตรัสว่า สมัยที่ภัททชิกุมารเป็นพระเจ้ามหาปนาทะ พระนางสุเมธาเทวีคือ มหาอุบาสิกาวิสาขา ส่วนพระองค์เป็นท้าวสักกะจอมเทพ เราจะเห็นว่า การที่พระเถระท่านเป็นผู้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม ก็เพราะท่านได้สร้างบุญมิได้ขาด เป็นผู้ไม่เคยว่างเว้นจากการสั่งสมบุญ เพราะบุญเท่านั้นที่จะยกฐานะของท่านจากปุถุชนคนธรรมดาให้มาเป็นพระอริยเจ้า บุญกุศลได้คอยประคับประคองชีวิตให้ดำเนินอยู่บนเส้นทางของความดี บนเส้นทางของพระอริยเจ้ามาโดยตลอด และเมื่อละโลก ก็ได้ไปเสวยสุขอันประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป

     เพราะฉะนั้น เราควรให้ความสำคัญกับการสั่งสมบุญให้มากๆ เพราะบุญเท่านั้นที่จะบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าประมาทว่าเราสั่งสมบุญกันมากแล้ว อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้น ยังมีบุญอีกมากมายหลายอย่างที่เราจะต้องทำ โดยเฉพาะการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ซึ่งงานรื้อวัฏฏะนี้ ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันเลย ถ้าเราทุ่มเทสร้างบารมีให้เต็มที่ในภพชาตินี้ ชาติต่อไปเราก็ไม่ต้องมาลำบากเหมือนอย่างในปัจจุบัน เส้นทางการสร้างบารมีจะสะดวกราบรื่น เพราะฉะนั้น ให้ทุ่มเทสร้างบารมีกันทุกรูปแบบ ตามอย่างนักสร้างบารมีในกาลก่อน และหมั่นนั่งธรรมะฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันทุกๆ คน

 

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๕๑ หน้า ๑๐๓

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
สรณะอันเกษมสรณะอันเกษม

หนทางสายกลางหนทางสายกลาง

ที่พึ่งที่แท้จริงที่พึ่งที่แท้จริง



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน