มารผู้ขัดขวางความดี


[ 29 ก.ค. 2557 ] - [ 18305 ] LINE it!

มารผู้ขัดขวางความดี

 


     การฝึกฝนใจให้สะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร เป็นกรณียกิจที่สำคัญของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่รู้จักหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่ง เราจะต้องถูกกิเลสครอบงำอยู่ร่ำไป มารได้ช่องในการทำความชั่วให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง มัวไปยึดติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่มากระทบใจ แล้วละเลยการแสวงหาแก่นสารที่แท้จริงของชีวิต ชีวิตจึงต้องเวียนวนอยู่ในห้วงแห่งทะเลทุกข์ โอกาสที่จะได้สัมผัสรสแห่งธรรมซึ่งเป็นวิมุตติรส จึงลดน้อยถอยลงไปทุกที เพราะฉะนั้นการให้โอกาสอันสำคัญกับตัวเอง ในการทำสมาธิเจริญภาวนา เพื่อกลั่นกาย วาจา ใจของเราให้บริสุทธิ์ จึงเป็นทางลัดที่สุดที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากการบังคับบัญชาของพญามาร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อายตนสูตร

     รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งสิ้น นี้เป็นโลกามิสอันแรงกล้า โลกหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์เหล่านี้ ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้า มีสติก้าวล่วงโลกามิสนั้น และก้าวล่วงบ่วงมารแล้ว รุ่งเรืองอยู่ดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น”

     ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องก้าวล้วงพ้นจากบ่วงมาร ไม่ไปติดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส  หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านกล่าวไว้ว่า เบญจกามคุณ คือ  รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสหรือธรรมารมณ์ที่มากระทบใจต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์หรือของทิพย์ก็ตาม เป็นบ่วงล่อของพญามารทั้งนั้น ถ้าเรามัวไปยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเข้าทางของเขาแล้ว ที่มนุษย์เรายังมีกิเลสอาสวะอยู่ก็เพราะถูกเขาบังคับบัญชาเอาไว้ เอาโลกามิสซึ่งเป็นเหยื่อล่อมาทำให้เราหมกมุ่นหลงใหล เอากิเลสเข้ามาใส่ ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาบังคับให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ ให้ตาย ทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรายังไปไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ จึงยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป การจะหลุดจากตรงนี้ไปได้ ใจต้องหยุด แล้วก็หยุดในหยุดกันเข้าไปเรื่อยๆ ทำได้อย่างนี้มารกลัวนัก แม้จะมาขัดขวางการสร้างบารมีของเรา แต่ถ้าใจเราหยุดนิ่งเสียแล้ว  สิ่งต่างๆ ภายนอกก็ไม่มีผลต่อจิตใจของเรา

     * สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านของพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ามาก แต่ว่าวันนั้นพราหมณ์ถูกมารเข้าสิงใจไม่ให้ตักบาตรพระองค์ และไม่มีชาวบ้านคนไหนเลยตักบาตรพระพุทธองค์ เมื่อไม่ได้อาหารพระองค์จึงถือบาตรเปล่าเสด็จกลับวัด

     ในระหว่างทาง มารผู้มีบาปเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกล่าวกับพระพุทธองค์ว่า "สมณะ ท่านได้บิณฑบาตบ้างไหม" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "แน่ะมารผู้ใจบาป ท่านได้กระทำให้เราไม่ได้บิณฑบาตมิใช่หรือ" มารจึงกราบทูลว่า "ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จเข้าไปเพื่อบิณฑบาตครั้งที่สองอีกเถิด  พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักกระทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้รับบิณฑบาต"

     พระบรมศาสดาตรัสว่า "ดูกรมารผู้ใจบาป ท่านมาขัดขวางตถาคต ได้ประสบสิ่งที่มิใช่บุญแล้ว ท่านเข้าใจว่า บาปย่อมไม่ให้ผลแก่ตัวเองฉะนั้นหรือ ดูก่อนมาร แม้เราตถาคตไม่ได้รับบาตร แต่ตถาคตเป็นผู้ไม่มีความกังวล ย่อมดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุข ตถาคตจักเป็นผู้มีปีติเป็นภักษา ดุจอาภัสสราพรหม"


     มารเมื่อไม่สามารถขัดขวางพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ก็รู้สึกเสียใจ จึงได้อันตรธานหายไปต่อหน้าพระพักตร์ แต่ถึงกระนั้น มารผู้ใจบาปก็ไม่ยอมแพ้ คอยหาโอกาสมารบกวนพระพุทธองค์อยู่เรื่อยไป เมื่อคิดว่าหากรบกวนพระบรมศาสดาไม่ได้ ก็รบกวนสาวกของพระองค์แทนก็แล้วกัน มีอยู่คืนหนึ่ง มารผู้ใจบาปได้เข้าไปหาหมู่ภิกษุสงฆ์ แล้วได้ร้องเสียงดังน่ากลัว ทำฟ้าแลบฟ้าร้องเหมือนภูเขาจะถล่ม แผ่นดินจะทรุดพังทลายลงมา

     ภิกษุรูปหนึ่ง ตกอกตกใจเพราะไม่เคยได้ยินเสียงดังอย่างนี้มาก่อน จึงถามเพื่อนสหธรรมิกว่า แผ่นดินนี้เห็นท่าจะถล่มทลายลงมาแล้ว เพราะเสียงฟ้าร้องฟ้าลั่นไม่ยอมหยุดเสียที พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสบอกว่า "ดูก่อนภิกษุ แผ่นดินนี้ไม่ถล่มลงมาหรอก แต่เสียงดังลั่นประหนึ่งแผ่นดินจะทรุดนี้ เป็นฝีมือของมารผู้ใจบาปทำเพื่อหวังจะให้พวกเธอตกใจกลัว ไม่ให้มีสมาธิในการบำเพ็ญสมณธรรม"

     ต่อมา มารผู้ใจบาปได้เนรมิตร่างเป็นพราหมณ์แก่ ห่มหนังเสือ หายใจเสียงดังครืดคราดๆ เดินถือไม้เท้าเข้าไปหาหมู่ภิกษุสงฆ์ ผู้กำลังปรารภความเพียร เมื่อไปถึงก็ได้กล่าวกับภิกษุเหล่านั้นว่า “ท่านบรรพชิตทั้งหลาย พวกท่านแต่ละรูปล้วนเป็นคนหนุ่มกระชุ่มกระชวย มีผมดำ ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ยังอยู่ในปฐมวัยไม่ควรเบื่อหน่ายในกามารมณ์ทั้งหลาย ขอท่านจงบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์เถิด อย่ายินดีในสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา หนีจากสุขอันสมบูรณ์ไปแสวงหาสุขอันไม่จีรังยั่งยืนเลย”  

     พวกภิกษุก็ตอบว่า “ดูก่อนพราหมณ์ พวกเราใช่ว่าจะไม่ได้ความสุขที่ถาวรแล้ววิ่งไปหาความสุขชั่วคราว แต่พวกเราละทิ้งความสุขชั่วคราวเพื่อมุ่งไปสู่ความสุขอันเป็นอมตะ ซึ่งสามารถเห็นได้ในปัจจุบันต่างหากเล่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะว่ากามทั้งหลายเป็นของชั่วคราว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายมีมาก ธรรมนี้มีผลที่จะเห็นได้ด้วยตัวเอง ไม่จำกัดด้วยกาล เป็นของควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาไว้ในตน เป็นของอันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน” มารเมื่อเห็นว่าพวกภิกษุไม่ยอมเชื่อฟังตัวเอง จึงได้อันตรธานหายไป

     เราจะเห็นว่า มารซึ่งเป็นผู้ขัดขวางความดีนั้น มีตัวมีตนอยู่จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นามธรรมอย่างที่คนธรรมดาสามัญคิดกันเท่านั้น ว่าคืออาสวกิเลสที่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง จับต้องไม่ได้ แต่ธรรมฝ่ายดำหรืออกุศลธรรม ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับธรรมฝ่ายขาวนั้น ที่จริงมีตัวมีตน เราจะรู้ได้ต้องเข้าถึงวิชชาธรรมกาย จะเห็นเขาและการกระทำของเขาที่คอยขัดขวางการกระทำความดีของเรา ไม่ให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เขาจะส่งกิเลสอาสวะเข้ามาในจิตใจ โดยเฉพาะผู้ที่เอาใจออกห่างจากศูนย์กลางกาย ก็จะเปิดช่องให้กิเลสมารเข้ามาแทรกได้ง่าย แล้วมารก็จ้องหาโอกาสตลอดเวลา เขาทำงานกันไม่ได้หยุดเลย อย่างในสมัยพุทธกาล เมื่อเห็นว่ารบกวนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ก็ไปรบกวนพระภิกษุแทน เมื่อทำไม่สำเร็จก็เข้าไปขัดขวางทางฝ่ายภิกษุณีบ้าง

     * มีอยู่วันหนึ่ง ภิกษุณีชื่อจาลา นุ่งห่มสบงจีวร แล้วถือบาตรเพื่อเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เมื่อได้รับอาหารมาฉันแล้ว ท่านก็เข้าไปป่าอันธวันเพื่อนั่งสมาธิใต้โคนไม้ ในขณะนั้น มารผู้มีใจบาป ก็คิดว่าจะทำให้จาลาภิกษุณีบังเกิดความกลัวขนพองสยองเกล้า จะได้เลิกทำทำสมาธิ จึงเข้าไปหาจาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก แล้วได้กล่าวว่า “ดูก่อนภิกษุณี ท่านไม่ชอบใจอะไรหนอ”  

     จาลาภิกษุณีก็ตอบว่า “ท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบความเกิดเลย” มารถามต่อว่า “ทำไมถึงไม่ชอบความเกิด ผู้เกิดมาแล้วย่อมบริโภคกาม ใครหนอให้ท่านยึดถืออย่างนี้ อย่าเลยภิกษุณี ท่านจงชอบความเกิดเถิด จะได้แสวงหาความสุขเรื่อยไป”

     จาลาภิกษุณีก็กล่าวว่า “ผู้เกิดมาก็ต้องตาย ผู้ที่เกิดมาย่อมพบเห็นทุกข์ คือ การจองจำ การฆ่า การพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก หรืออยู่กับผู้ไม่เป็นที่รัก เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ชอบความเกิด” มารผู้ใจบาปก็กล่าวว่า “ท่านจงตั้งจิตไว้ในพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเถิด ท่านจักได้เสวยความสุขความยินดียิ่งๆ ขึ้นไป” ภิกษุณีตอบว่า “พวกเทวดาเหล่านั้น ก็ยังผูกพันอยู่ด้วยเครื่องผูกคือกาม จำต้องกลับมาสู่อำนาจของมารอีก โลกทั้งหมดเร่าร้อน โลกทั้งหมดคุกรุ่นด้วยควัน โลกทั้งหมดลุกโพลงด้วยไฟ โลกทั้งหมดสั่นสะเทือน แต่ใจของเรายินดีแน่วแน่ในพระนิพพาน” เมื่อมารได้ฟังคำพูดของภิกษุณีอย่างนั้น ก็เสียใจ เพราะรู้ว่าภิกษุณีรูปนี้ รู้จักเราเสียแล้ว จึงได้อันตรธานหายไป

     เราจะเห็นว่า มารคอยแต่จะชักชวนคนที่ทำดีให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี และมักจะรบกวนผู้ที่มีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร เพราะสุกธรรมซึ่งเป็นธรรมฝ่ายขาวนั้น เป้าหมายสูงสุดก็คือ ให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุข เพราะฉะนั้น ฝ่ายอกุศลธรรมซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดำ เขาจะคอยขัดขวางการสร้างบารมีของเราตลอดเวลา ไม่ให้ไปถึงจุดหมายคือที่สุดของตัวเอง และต่างก็มุ่งไปให้สุดสายธาตุสายธรรมของตัวเอง รบกันอยู่อย่างนี้ ยังไม่มีใครแพ้ใครชนะ  เพราะฉะนั้น พวกเราเองก็อย่าได้ประมาทกัน ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ชีวิตเราก็ยังไม่เป็นอิสระและก็ยังไม่ปลอดภัย ยังต้องถูกเขาบังคับบัญชาอยู่เรื่อยไป ดังนั้น ให้หมั่นฝึกฝนใจของเราให้หยุดนิ่ง เอาใจกลับมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด ซึ่งเป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน แล้วเราจะสมปรารถนา ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๒๕ หน้า ๔๕ * มก. เล่ม ๒๕ หน้า ๙๙
 

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสู่ความหลุดพ้นมัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสู่ความหลุดพ้น

วิชชาในพระพุทธศาสนาวิชชาในพระพุทธศาสนา

รัตนชาติและพระรัตนตรัยรัตนชาติและพระรัตนตรัย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน