มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสู่ความหลุดพ้น


[ 30 ก.ค. 2557 ] - [ 18294 ] LINE it!

มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสู่ความหลุดพ้น

     การช่วยเหลือตนเองและสรรพสัตว์ ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่อายตนนิพพาน จะต้องอาศัยกำลังบุญกำลังบารมีที่มาก ทั้งบารมีแบบธรรมดา จนกระทั่งถึงขั้นอุปบารมีและปรมัตถบารมี ต้องสร้างบุญบารมีกันชนิดที่เรียกว่า เป็นบุญนับอสงไขยไม่ถ้วน จึงจะช่วยเหลือตนเองและสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ เหมือนอย่างเราสงสารเพื่อนมนุษย์ อยากช่วยเหลือเขาไม่ให้เดือดร้อน ถ้ามีทรัพย์สมบัติมากก็ช่วยเหลือได้เต็มที่ ทำให้รอดพ้นจากความอดอยากยากจน ได้รับความสุขความสะดวกสบายในชีวิต

     ดังนั้นถ้ามีบุญมากจะทำอะไรต่างๆ ก็ง่าย เราจึงต้องสั่งสมบุญกันให้ได้มากที่สุด และต้องทำกันไปเป็นทีมใหญ่ ทำกันไปจนกว่าบารมีของเราจะเต็มเปี่ยม คือ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน และไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ ที่สุดแห่งธรรมพร้อมๆ กัน

* พระสารีบุตรเถระได้กล่าวธรรมภาษิตไว้ใน ธรรมทายาทสูตร ว่า

     “กตมา จ สา อาวุโส มชฺฌิมา ปฏิปทา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ ฯ อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค เสยฺยถีทํ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ

     ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทาที่เป็นธรรมทำให้มีดวงตา ทำให้เกิดญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การเจรจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ”

     มัชฌิมาปฏิปทา คือเส้นทางสายกลาง เป็นทางไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นวิสุทธิมรรค คือ หนทางสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นเอกายนมรรค หนทางเอกสายเดียว ที่จะทำให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งมวล หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ที่เขาคอยบังคับบัญชาเราอยู่  ให้ตรึงติดอยู่กับกิเลสอาสวะ ให้หลงใหลเพลิดเพลินในเบญจกามคุณ ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมมารมณ์ต่างๆ

     พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงค้นพบการทำจิตให้บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ต้องเริ่มจากดำเนินตามมัชฌิมาปฏิปทานี้เท่านั้น เพราะพระองค์ทรงทดลองมาหมดทั้ง ๒ วิธีว่า ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้น ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงเอกันตบรมสุข ที่ไม่มีทุกข์เจือปน ไม่ว่าจะเป็นกามสุขัลลิกานุโยค คือ ทำตนเองให้หมกมุ่นเพลิดเพลินอยู่ในเบญจกามคุณ แม้ก่อนที่จะเสด็จออกผนวช พระองค์จะพรั่งพร้อมไปด้วยข้าทาสบริวาร มีปราสาท ๓ ฤดู ทรงพรั่งพร้อมกว่าใครๆ ในโลกมนุษย์ แต่ใจก็ยังไม่เคยอิ่ม ยังมีความพร่องอยู่ จึงเสด็จออกทรงผนวชเพื่อบำเพ็ญอัตตกิลมถานุโยค คือ ทรมานตัวเองให้ลำบากด้วยหวังว่าจะพ้นทุกข์

     วิธีไหนที่ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อน เห็นว่าจะทำให้บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ก็ทรงทดลองหมดทุกอย่าง จากที่เคยเสวยโลกียสุขประดุจชาวสวรรค์ ก็เปลี่ยนมาเป็นนักบวชอาศัยอาหารที่คนอื่นถวายมา ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา ซึ่งเป็นการทรมานตนที่ทำได้ยากที่สุด เพราะถือว่า หากทำได้สำเร็จ จะได้ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ แต่เมื่อทดลองทำดูแล้วก็ทรงเห็นว่า ไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น จึงเลิกวิธีการนั้น แล้วหันกลับมาปฏิบัติทางสายกลาง ไม่ตึงไปและก็ไม่หย่อนไป คือปฏิบัติพอดีๆ ในที่สุด พระองค์สามารถค้นพบทางสายกลางด้วยการดำเนินจิตเข้าสู่กลางภายใน ได้ตรัสรู้กายธรรมอรหัต จึงกล้าปฏิญญาพระองค์เองว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ

     เมื่อทรงค้นพบเส้นทางสายกลางแล้ว ก็ทรงทำหน้าที่เป็นประทีปเอกของโลก แนะนำเหล่าเวไนยสัตว์ให้ตรัสรู้ตาม ทรงสอนจากเรื่องหยาบๆ ว่า มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา คือ เส้นทางสายกลางที่พระตถาคตได้ตรัสรู้นั้น ต้องเริ่มจากสัมมาทิฏฐิ คือ มีความเห็นที่ถูกต้องเสียก่อน เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่าโลกนี้โลกหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริง ทานที่ทำแล้วมีผลจริง เป็นต้น ความดำริชอบ คือ สัมมาสังกัปปะก็จะตามมา จะคิดแต่เรื่องที่ดีๆ คิดอยากออกจากกาม เพราะเห็นว่าสิ่งที่เป็นความสุขยิ่งกว่ายังมีอยู่และสามารถเข้าถึงได้ สัมมาวาจา ต้องมีวาจาชอบ สัมมากัมมันตะ มีการงานชอบ การงานที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและชาวโลก

     สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ไม่ประกอบอาชีพทุจริต แม้เป็นมิจฉาวณิชชา ถูกกฎหมายแต่ไม่ถูกธรรม ก็จะไม่ทำเด็ดขาด สัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ สัมมาสติ มีสติระลึกชอบ ไม่เผลอจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ และสัมมาสมาธิ มีสมาธิชอบ การทำสมาธิที่ถูกต้องนี่ลึกซึ้งทีเดียว ต้องตั้งให้ถูกฐาน ถูกที่ตั้งของใจ แล้วปฏิบัติให้ถูกส่วน เอาใจหยุดนิ่งตรงฐานที่ตั้งของใจคือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ

     พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ท่านสร้างบารมีด้วยการนั่งสมาธิมาทุกภพทุกชาติ ก็เพื่อค้นหาศูนย์กลางกายที่อยู่ในกลางตัวของท่านนี่แหละ เมื่อพบดวงปฐมมรรค ซึ่งเป็นต้นทางของมรรคมีองค์ ๘ ประชุมรวมกันได้ถูกส่วน ดวงใสสว่างจะบังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย ซึ่งเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน เมื่อหยุดนิ่งถูกส่วนต่อไป ก็เข้าไปพบดวงธรรมภายใน พบกายในกายจนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมภายใน เป็นพุทธปฏิมากร ใสเกินใส สวยเกินสวย เป็นกายที่เป็น นิจฺจํ สุขํ อตฺตา เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของตัวเรา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นกายที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวล

     มีเรื่องเล่ากันเป็นบุคลาธิษฐาน เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่า มียักษ์ตนหนึ่ง ได้ไปถือศีลภาวนาบูชาพระผู้เป็นเจ้า หวังจะได้พร ๔ ประการ คือใครฆ่าไม่ตาย จะฆ่าที่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ไม่ตาย คนก็ฆ่าไม่ตาย สัตว์ก็ฆ่าไม่ตาย ศาสตราของไม่มีคมฆ่าก็ไม่ตาย อาวุธของมีคมฆ่าก็ไม่ตาย ฆ่ากลางวันก็ไม่ตาย ฆ่ากลางคืนก็ไม่ตาย อยากได้พร ๔ อย่างนี้ จึงไปทำความเพียรอยู่หลายหมื่นปี ในที่สุดก็ได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าว่า ใครฆ่าก็ไม่ตาย พอลืมนึกถึงความตาย คิดว่าอย่างไรใครก็ฆ่าตัวไม่ตาย คิดว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความตาย ก็เกิดความฮึกเหิม ไปทำความชั่ว ทำบาปอกุศลมากขึ้นทุกวันๆ เบียดเบียนสมณะ ชีพราหมณ์ เทวดา พรหม เบียดเบียนเขาไปหมดเลย

     จนกระทั่งในที่สุด เทวดา พรหม อรูปพรหม ก็ประชุมพร้อมกัน ส่งผู้มีฤทธิ์มีเดช มีบารมีแก่ๆ ลงมาในมนุษยโลก เพื่อที่จะปราบยักษ์ตนนี้ พอได้จังหวะเวลา ท่านก็เนรมิตตัวเองเป็นนรสิงห์ คือตัวเป็นคนศีรษะเป็นสิงโต ด้วยบารมีของท่านแก่กล้าฤทธิ์เดชมากทีเดียว สามารถต่อสู้กับยักษ์ตนนี้ได้ แต่ก็ยังฆ่าไม่ตายสักที จึงจับยักษ์นั้นมายืนไว้ที่ประตูระหว่างทางเข้าออก แล้วก็ถามยักษ์นั้นว่า เราเป็นคนหรือสัตว์

     ยักษ์บอกว่า คนก็ไม่ใช่สัตว์ก็ไม่ใช่ เพราะตัวเป็นคน ศีรษะเป็นสัตว์ คือ เป็นสิงโต ท่านก็ชูเล็บให้ดูว่า นี่เป็นศาสตราหรืออาวุธ มีคมหรือไม่มีคม ยักษ์ก็บอกว่า ไม่ใช่ทั้งศาสตราไม่ใช่ทั้งอาวุธ แล้วถามว่า ไอ้ที่ยืนอยู่ตรงนี้น่ะ นอกบ้านหรือในบ้าน ยักษ์บอกว่า นอกก็ไม่ใช่ ในก็ไม่ใช่ เพราะอยู่ระหว่างประตู แล้วถามว่า  เวลานี้กลางวันหรือกลางคืน ยักษ์ก็บอกว่า เวลานี้จะกลางวันก็ไม่ใช่ กลางคืนก็ไม่ใช่ เพราะพระอาทิตย์กำลังจะตกดินอยู่แล้ว ผู้มีฤทธิ์ท่านนั้นก็เลยจัดการปราบยักษ์ได้สำเร็จ ในระหว่างกลางตรงนั้นเอง

     นี่ก็เป็นบุคลาธิษฐานว่า จะประหารสิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหลาย มีที่เดียวเท่านั้นคือที่กลาง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนมัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายกลาง เป็นทางหลุดทางพ้นไปสู่อายตนนิพพาน ใครสำรวมระวังจิตไว้ในกลางตัว จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร จะชนะพญามารได้ อาศัยหยุดนิ่งไม่ต้องใช้ศาสตราอาวุธ หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นั่นแหละ พอหยุดถูกส่วนเข้าเท่านั้น ปฐมมรรคจะเกิดเป็นดวงสว่าง แล้วจะเห็นกายในกายไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เข้าถึงอายตนนิพพาน ประหัตประหารกันอยู่ตรงกลางตรงนี้ที่เดียว

     เมื่อเราเข้าใจหลักอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้ไป ให้ตั้งมโนปณิธานเอาไว้ว่า เราจะไม่ประมาท จะเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านชี้ทางแนะนำพร่ำสอน ว่าให้ใจหยุดอยู่ตรงนี้ จะได้พ้นจากบ่วงแห่งมาร เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผู้สำรวมระวังจิตคือเอามาหยุดนิ่งตรงนี้ได้ ย่อมพ้นจากบ่วงแห่งมาร วันนี้ใจไม่หยุด พรุ่งนี้เอาใหม่ ฝึกกันไปทุกวัน ทำให้สม่ำเสมอ ฝึกไปตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก อย่าหายใจไปเปล่าๆ หายใจเข้าก็ภาวนาไป หายใจออกก็ภาวนาไป ฝึกให้หยุดให้นิ่งอย่างนี้แหละ ถึงจะเรียกว่าเป็นสาวกของพระบรมศาสดา สาวกของผู้ที่มีใจหยุดใจนิ่งได้สมบูรณ์ดีแล้ว

     เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รู้จักมัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายกลางที่จะดำเนินไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว นับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ก็อย่าได้ประมาทกัน ให้ใช้เวลาที่ผ่านไปให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการน้อมนำใจให้มาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย หยุดนิ่งเข้าไปในกลางดวงธรรมภายใน แล้วก็ตามเห็นกายในกายกันเข้าไปเรื่อยๆ เราจะได้เข้าไปพบกับผู้รู้แจ้งภายใน คือพระธรรมกาย มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะแก้วคุ้มกันภัยชั้นเยี่ยม และเป็นที่รวมความสมปรารถนาทุกอย่าง พระรัตนตรัยท่านสิงสถิตอยู่ภายในตัวของเราทุกๆ คนนี่แหละ ดังนั้น ให้หมั่นนั่งธรรมะเป็นประจำทุกๆ วัน ทำกันไปจนกว่าเราจะเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกๆ คน

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๑๗ หน้า ๒๐๙


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
วิชชาในพระพุทธศาสนาวิชชาในพระพุทธศาสนา

รัตนชาติและพระรัตนตรัยรัตนชาติและพระรัตนตรัย

อริยมรรค หนทางสู่ความหลุดพ้นอริยมรรค หนทางสู่ความหลุดพ้น



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน