วิชชาในพระพุทธศาสนา


[ 1 ส.ค. 2557 ] - [ 18293 ] LINE it!

วิชชาในพระพุทธศาสนา

     การดำเนินชีวิตของสัตว์โลกทั้งหลายในสังสารวัฏ เป็นไปตามกระแสของบุญและบาป เหมือนหุ่นที่ถูกบังคับบัญชาให้ไปตามกระแสของธรรมทั้ง ๓ ฝ่าย คือ กุสลาธมฺมา อกุสลาธมฺมา และอพฺยากตาธมฺมา

     ช่วงใดที่กุศลธรรมเข้ามาในใจ สรรพสัตว์ซึ่งเป็นเหมือนหุ่นเชิด จะคิดดี พูดดี ทำดี เป็นผลให้เกิดผลผลิตของความดีงาม ทำให้โลกเกิดสันติสุข แต่ถ้าช่วงไหนกระแสบาปแรงอกุศลกล้า หุ่นเชิดตัวนี้จะถูกบังคับให้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ทำให้โลกวุ่นวาย ร้อนไปด้วยไฟกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ

     ถ้าหากอัพยากตาครอบงำบังคับบัญชาก็จะรู้สึกเฉยๆ แต่เมื่อเรามีสติปัญญารู้เท่าทันธรรมทั้ง ๓ แล้ว ย่อมสามารถฝึกฝนบังคับจิตใจให้ดำเนินไปตามกระแสแห่งกุศลธรรมได้ ความดีจะคอยกีดกันไม่ให้กระแสแห่งความไม่ดีเข้ามาในใจ ซึ่งวิธีที่จะให้ความดีเข้ามาอยู่ในใจที่ดีและง่ายที่สุด ต้องฝึกใจให้หยุดนิ่งด้วยการเจริญภาวนา

พระโกฎฐิตเถระได้กล่าวธรรมภาษิตไว้บทหนึ่งว่า

     “การที่เราได้มาอยู่ในสำนักของพระพุทธจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔  วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำเสร็จแล้ว”

     คุณวิเศษในทางพระพุทธศาสนานั้นมีจริง และทุกคนก็สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงได้ ถ้าใจหยุดนิ่ง ซึ่งความรู้ในทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า วิชชาเป็นความรู้อันบริสุทธิ์ที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง ยิ่งรู้ก็ยิ่งบริสุทธิ์ และก็มีความสุขควบคู่ไปด้วย ตั้งแต่ วิชชา ๓ ที่เป็นความรู้แจ้ง ซึ่งทุกท่านได้ยินกันบ่อยๆ  คือ

 

     * วิชชาที่ ๑ บุพเพนิวาสานุสติญาณ  ญาณเป็นเหตุให้ระลึกชาติหนหลังได้ เช่น เห็นว่าชาติในอดีตเราเคยเกิดเป็นอะไร เคยไปเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ หรือเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์ก็รู้หมด การระลึกชาติได้นี้ บางท่านก็ระลึกได้มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังแห่งญาณที่ตนเองได้บรรลุ

     ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า นักบวชนอกศาสนาที่บำเพ็ญภาวนามามาก จะสามารถระลึกชาติได้ ๔๐ กัป พระอสีติมหาสาวกระลึกชาติได้แสนกัป พระอัครสาวกสามารถระลึกชาติได้ ๑ อสงไขยแสนกัป พระปัจเจกพุทธเจ้าระลึกชาติได้ ๒ อสงไขยกับอีกแสนกัป ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ไม่มีกำหนด คือ สามารถระลึกชาติได้ตามใจปรารถนา

     ในนวังคสัตถุศาสน์ ว่าด้วยเรื่องชาดก พระบรมศาสดาทรงนำเรื่องในอดีต อันเป็นประวัติศาสตร์ของการสร้างบารมีมาเล่าให้ฟัง ท่านผู้รู้รวบรวมเอาไว้ได้ถึง ๕๐๐ กว่าเรื่อง ไม่ว่าจะเสวยพระชาติเป็นฤๅษีบ้าง เป็นพระราชา พระเจ้าจักรพรรดิ บางภพบางชาติพระองค์ก็พลัดหลงไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็มี แต่ก็มีหลายชาติที่ได้ไปเสวยสุขเป็นจอมเทพบนสวรรค์ ที่พวกเราเคยได้ยินมา ทั้งหมดนี้ที่พระองค์ไปรู้ไปเห็นได้ ก็เพราะบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณนี่เอง

     วิชชาที่ ๒ คือ จุตูปปาตญาณ รู้การจุติและอุบัติของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิ จิตจะน้อมไปเพื่อญาณเครื่องรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย สามารถเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้หมด ซึ่งเป็นการเห็นที่ล่วงจักษุของมนุษย์

     วิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ เป็นญาณเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ขจัดด้วยอรหัตมรรค พอหมดกิเลสก็เป็นถึงอรหันต์ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปแล้ว เมื่อกายหยาบดำรงอยู่ไม่ได้ ก็ถอดกายธรรมอรหัตตกศูนย์วูบเข้าไปสู่อายนตนิพพาน เสวยเอกันตบรมสุขอย่างเดียว

     นอกจากนี้ยังมี วิชชา ๘ คือ ๑.วิปัสสนาญาณ ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา ที่สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ความไม่เที่ยงของสังขารร่างกาย ๒.มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ สามารถที่จะปาฏิหาริย์กายจากคนเดียวให้เป็นร้อยเป็นพันคนก็ได้ ๓.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ เดินบนน้ำได้ ใช้อิทธิปาฎิหาริย์ลูบคลำดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวก็ได้ ๔.ทิพโสต หูทิพย์ ได้ยินเสียงแม้อยู่ในที่ไกลๆ ไกลถึงร้อยโยชน์พันโยชน์ หากมีความปรารถนาจะได้ยินแล้ว ก็สามารถได้ยินหมด

     ๕.เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจคนอื่นได้ เมื่อต้องการจะรู้ว่าคนนี้มีใจสะอาดหรือไม่สะอาด เขามีความคิดอย่างไร จะพูดอย่างไรกับคนนี้เขาจึงจะรู้เรื่อง ก็ต้องรู้ใจเขาก่อน ๖.บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติของตัวเองได้ ๗.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ แม้จะอยู่ในที่มืด หรืออยู่ห่างไกลกันเพียงไร หากปรารถนาจะดูก็เห็นได้ เหมือนจับมาวางอยู่ตรงหน้า ๘.อาสวักขยญาณ รู้วิธีทำอาสวะให้สิ้นไป อาสวะมี ๓ อย่าง คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ที่เป็นเหตุให้เกิดในภพหรืออรูปภพ ทำให้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ก็ตัดขาดได้หมด

     วิชชาเหล่านี้ เป็นความรู้แจ้ง รู้วิเศษ เหนือสามัญชนธรรมดา พระบรมศาสดานอกจากจะบรรลุวิชชาต่างๆ เหล่านี้แล้ว ยังทรงสมบูรณ์ด้วย จรณะ ๑๕ ซึ่งเป็นความประพฤติที่งดงาม ไม่มีใครสามารถตำหนิการกระทำของพระพุทธองค์ได้ เพราะบางท่านแม้บรรลุธรรมแล้ว ก็ยังมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่พระพุทธองค์เป็นผู้มีความสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง

     นอกจากนี้ยังมี อภิญญา ๖ คือ ความรู้ยิ่ง เป็นผลที่เกิดจากการบำเพ็ญทางจิต ได้บรรลุรูปฌานและอรูปฌานสมาบัติตามลำดับ จนได้บรรลุกายธรรมอรหัต สภาพจิตจะบริสุทธิ์ที่สุดจนตรัสรู้ได้ เกิดเป็นความรู้ระดับอภิญญาขึ้นมา จะต้องเป็นจิตที่ละเอียดมากๆ มีความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว สงบจากกิเลสและนิวรณ์ต่างๆ พร้อมที่จะน้อมไปเพื่อให้เกิดอภิญญา ผลที่ได้ก็เหมือนกับวิชชา ๘  นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นอิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ อาสวักขยญาณ ทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไปได้

     คุณวิเศษที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ที่หลวงพ่ออยากนำมาเล่าให้ลูกๆ ฟังในครั้งนี้ คือ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เป็นญาณที่แตกฉานในด้านต่างๆ ตั้งแต่

 

     อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือ เข้าใจความหมายของเนื้อหาหรือถ้อยคำต่างๆ เข้าใจถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยอนาคตังสญาณ

     ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม หมายถึงเข้าใจแจ่มแจ้งในพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ทรงแสดง หรือเมื่อมองเห็นผลแล้ว ก็สามารถสาวไปหาเหตุได้ด้วยอตีตังสญาณ

     นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในภาษาต่างๆ ใครพูดภาษาอะไรก็รู้เรื่อง และโต้ตอบได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษา หรือท่องจำ

     ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ คือ ความเฉลียวฉลาดและมีปฏิภาณไหวพริบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี เมื่อรู้ธรรมะแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ได้อย่างพอเหมาะพอสมอีกด้วย อันนี้ก็เป็นคุณวิเศษ เป็นความแตกฉานในทางธรรม

     คุณวิเศษต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นมาจากอานุภาพของใจที่หยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ถ้าหากตั้งใจประพฤติปฏิบัติฝึกฝนกันอย่างจริงจังให้ได้ทุกวัน และทำให้ถูกวิธี ด้วยการนำใจมาหยุดไว้ที่ต้นแหล่งที่จะทำให้เกิดพลานุภาพ คือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา เราก็สามารถจะทำได้ มีผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า พลังกายต้องเคลื่อนไหว แต่พลังใจต้องหยุดนิ่ง เพราะใจที่หยุดนิ่งเป็นใจที่มีอานุภาพที่ไม่มีประมาณ

     นักวิทยาศาสตร์เขาสามารถผลิตยานอวกาศไปนอกโลกได้ ไปดวงจันทร์ดวงดาว แต่ใจที่หยุดนิ่งเป็นสมาธิ นุ่มนวลควรแก่การงานแล้ว จะน้อมไปทางไหนก็ได้เหมือนกัน ถ้าหากเข้าถึงพระธรรมกายและได้ศึกษาวิชชาธรรมกายแล้ว อาศัยธรรมกายไปตรวจดูโลกต่างๆ ทวีปต่างๆ ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นอุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป หรือทวีปอื่นๆ ที่ไกลออกไป ไปดูว่าเขามีอายุ มีความเป็นอยู่กันอย่างไร

     หากว่าละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ก็ไปตรวจดูกายทิพย์ในสุคติโลกสวรรค์ได้ ถ้าละเอียดมากก็ยิ่งรู้เห็นกว้างขวางมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นความลี้ลับที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะหาอุปกรณ์ใดๆ ในโลกไปสำรวจได้ เพราะมีวิธีการเดียวเท่านั้น คือ อาศัยใจที่หยุดนิ่ง เป็นวิธีการทางพระพุทธศาสนานี่แหละ

     หรืออีกวิธีหนึ่งที่จะไปสำรวจได้ คือต้องตายกันเสียก่อน หากบุญในตัวมีมาก จิตผ่องใสก็ไปสวรรค์ ถ้าหากทำบาปอกุศลเอาไว้มาก กระแสบาปก็จะดูดไปลงนรก ไปเป็นเปรต อสุรกาย หรือสัตว์ดิรัจฉาน

     หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านใช้คำว่า “เมื่อเข้าถึงธรรมกายแล้ว อาศัยธรรมกายไปนรกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้  นิพพาน ภพสาม โลกันต์  ไปตรวจดูได้หมด นี่อานุภาพของคำว่าหยุดเป็นอย่างนี้แหละ”

     เพราะฉะนั้น ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดให้นิ่งกันเป็นประจำ จะได้เข้าถึงพระธรรมกาย แล้วอาศัยธรรมกายเป็นอุปกรณ์ในการศึกษาวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นศาสตร์ในทางพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เป็นศาสตร์แห่งการรู้แจ้งเห็นแจ้ง และเป็นวิชชาที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร จะเป็นเหตุให้เราพ้นทุกข์ไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้

 

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  

* ธรรมวิภาค นักธรรมโท

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
รัตนชาติและพระรัตนตรัยรัตนชาติและพระรัตนตรัย

อริยมรรค หนทางสู่ความหลุดพ้นอริยมรรค หนทางสู่ความหลุดพ้น

ผู้มีราตรีเดียวเจริญผู้มีราตรีเดียวเจริญ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน