นักสร้างบารมีพันธุ์อาชาไนย


[ 14 ต.ค. 2557 ] - [ 18375 ] LINE it!

นักสร้างบารมีพันธุ์อาชาไนย

 

     พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ได้สร้างบารมีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่เคยย่อท้อเลย ตลอดเวลาสี่อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ที่ท่านได้ฟันฝ่าอุปสรรค เพื่อจะยกตนและสรรพสัตว์ ให้ข้ามพ้นจากห้วงทุกข์แห่งสังสารวัฏ แล้วในที่สุดท่านก็สมหวัง ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย  

     พวกเราทั้งหลายขณะนี้ กำลังอยู่ระหว่างการสร้างบารมี ยังต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย แต่นั่นเป็นเพียงเครื่องทดสอบกำลังใจของนักสร้างบารมี ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นบุญบารมีแก่เรา

     การเจริญสมาธิภาวนาหมั่นทำใจให้ใสๆ อยู่เสมอ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยประคับประคอง ให้เส้นทางแห่งการสร้างบารมีของเราไปได้ตลอดรอดฝั่ง ทำให้ชีวิตปลอดภัยและมีชัยชนะไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

“ทุลฺลโภ ปุริสาชญฺโญ    น โส สพฺพตฺถ ชายติ
 ยตฺถ โส ชายตี ธีโร     ตํ กุลํ สุขเมธติ      

     บุรุษอาชาไนยหาได้ยากในโลก เพราะว่า บุรุษอาชาไนยนั้น ย่อมไม่เกิดในสถานที่ทั่วไป บุรุษอาชาไนยนั้น เป็นนักปราชญ์ หากเกิดในตระกูลใด ตระกูลนั้น ย่อมถึงความสุข”

     คำว่า อาชาไนย หมายถึงผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมตนมาอย่างดีแล้ว มีเชาว์ปัญญาว่องไว มีสติปัญญาแจ่มใส เข้าใจชีวิต และสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างฉับพลัน ถ้าถือกำเนิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็ไม่ต้องถูกเฆี่ยนตี สามารถรับรู้คำสั่งได้อย่างรวดเร็ว ถ้าอยู่ในป่าใหญ่จะเป็นจ่าฝูง เป็นผู้นำของสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นบริวาร เป็นสัตว์ประเสริฐ ที่พร้อมต่อการทำงานตลอดเวลา

     ถ้าหากได้ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ท่านเรียกว่าบุรุษอาชาไนย เป็นบุคคลที่กำเนิดขึ้นมา เพื่อสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นแก่โลก เหมือนดัง พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ท่านเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก เมื่อเกิดในตระกูลใด ก็นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตระกูลนั้น แล้วยังรวมไปถึงหมู่บ้าน ประเทศชาติ และคนทั้งโลกอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็นำความสว่างไสวมาสู่จิตใจของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย ให้ได้เข้าถึงสันติสุขภายใน ได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันนับไม่ถ้วน พระโพธิสัตว์จึงได้ชื่อว่า เป็นยอดของบุคคลอาชาไนยทั้งหลาย

     * เมื่อกล่าวถึงบุรุษอาชาไนยแล้ว มีอุปมาระหว่างม้าอาชาไนยกับบุรุษอาชาไนย ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ อย่าง คือ

 

     ม้าอาชาไนยประเภทที่ ๑ พอเห็นเงาปฏักเข้า ก็สลด ถึงความสังเวช สอนตัวเองว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้า จักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนบุญคุณนายสารถี ให้เต็มกำลังความสามารถ ว่าแล้วก็รีบวิ่งออกมาหานายสารถี เตรียมพร้อมที่จะรับฟังคำสั่ง พร้อมจะโจนทะยานออกไปทำภารกิจทันที

     ม้าอาชาไนยประเภทที่ ๒ เห็นเงาปฏักแล้ว ก็ยังไม่สลดสังเวช ยืนนิ่งๆ ตามปกติเหมือนไม่รับรู้คำสั่ง แต่เมื่อถูกปฏักแทงที่ขุมขนจึงสลด ถึงความสังเวชว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนบุญคุณนายของเรา

     ม้าอาชาไนยประเภทที่ ๓ เห็นเงาปฏักแล้ว ถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขน ก็ยังไม่สลดสังเวช แต่เมื่อถูกปฏักแทงถูกผิวหนัง จึงค่อยนึกขึ้นได้ พร้อมที่จะทำตามที่นายสารถีบอกทุกอย่าง  

     ม้าอาชาไนยประเภทที่ ๔ คือ เมื่อได้เห็นเงาปฏักก็ไม่สลดสังเวช แม้ถูกปฏักแทงที่ขุมขนก็ไม่สะทกสะท้าน แม้ถูกแทงถึงผิวหนังก็ยังไม่สะดุ้ง แต่เมื่อถูกแทงถึงกระดูก จึงยอมให้นายสารถีได้ฝึกได้ใช้งาน

     บุรุษอาชาไนยในโลกนี้ ก็มีอยู่ ๔ จำพวก เหมือนม้าอาชาไนย คือ

     บุรุษอาชาไนยประเภทที่ ๑ เป็นผู้ที่มีบุญมีปัญญามาก พอได้ฟังว่า ในบ้านหรือในตำบลโน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา ก็เกิดความสลดสังเวชใจว่า สังขารร่างกายไม่เที่ยงหนอ จึงเริ่มตั้งความเพียร  เพื่อจะหลุดพ้นจากการเกิดการตายให้ได้ ครั้นได้ฟังคำสอนจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในสังสารวัฏได้  

     บุรุษอาชาไนยประเภทที่ ๒ แม้ได้ฟังว่า ชายหรือหญิงในบ้านหลังโน้น ได้ประสบความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย และตายลงในที่สุด ก็ไม่รู้สึกสลดสังเวชใจอะไร เพราะถือว่ายังเป็นเรื่องไกลตัว ต่อมาได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ปางตาย และก็ล้มตายลงในที่สุด จึงเกิดความสลดสังเวชใจ แล้วเริ่มตั้งความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นที่จะทำพระนิพพานให้แจ้ง ในที่สุดก็สมปรารถนา ได้บรรลุธรรมาภิสมัย  

     บุรุษอาชาไนยประเภทที่ ๓ คือ ไม่ได้ฟังว่าในหมู่บ้านหรือตำบลโน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาสิ้นชีวิตลง และก็ไม่ได้เห็นชายหญิงที่ประสบความทุกข์เห็นปานนั้น แต่หมู่ญาติหรือบุคคลอันเป็นที่รักได้ประสบความทุกข์ หรือได้ตายจากไป เขาจึงสังเวชในความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก และเห็นความไม่เที่ยงของสังขารร่างกาย รู้ว่าความตายนี้จะต้องบังเกิดขึ้นกับตัว ไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน จึงตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง  

     บุรุษอาชาไนยประเภทที่ ๔ คือ ทั้งไม่ได้ยินด้วยหู ไม่ได้เห็นด้วยตา และเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดก็ไม่บังเกิดขึ้นกับหมู่ญาติ แต่ตนเองประสบกับความทุกขเวทนาทางกาย ได้เจอกับโรคร้ายต่างๆ ที่มากลุ้มรุมร่างกาย  แทบจะเอาชีวิตไม่รอด จึงเริ่มได้คิดถึงความไม่เที่ยงของสังขาร แล้วก็ตั้งสติ ทำใจให้หยุดนิ่งเพื่อเข้าถึงธรรมภายใน จะได้เป็นผู้มีสุคติสวรรค์ และนิพพานเป็นที่ไป

     บุคคลทั้ง ๔ ประเภทนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่าบุรุษอาชาไนย คำว่าบุรุษในที่นี้ มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นชายอย่างเดียว แต่หมายเอาใครก็ได้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมีใจรักในการฝึกหัดขัดเกลาตัวเอง จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นหญิงหรือชาย ก็สามารถเป็นบุรุษอาชาไนยได้เหมือนกัน

     เพราะฉะนั้น ทุกท่านสามารถที่จะฝึกฝนตนเอง เพื่อก้าวขึ้นสู่ความเป็นบุรุษอาชาไนยได้ทุกคน เพราะพวกเราเป็นนักสร้างบารมี ผู้ที่ได้โอกาสมาสร้างบุญบารมีกันอย่างยิ่งยวด หลายท่านได้ประพฤติตนเปรียบประดุจดั่งบุรุษอาชาไนยประเภทที่ ๑ ผู้สามารถตักเตือนตนเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครต้องมาชี้แนะ มาว่ากล่าว พอได้มารู้ความเป็นจริงของชีวิตว่า เราเกิดมาสร้างบารมีแล้ว ก็ทุ่มเทชีวิตจิตใจ สร้างบารมีกันอย่างเต็มที่ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก สามารถสั่งสอนตนเองได้ ไม่ประมาท และยังสามารถเป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร ช่วยแนะนำสั่งสอนชาวโลกอีกด้วย

     สำหรับบางท่านแม้ว่า อาจจะยังอยู่ในประเภทที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ก็ตาม แต่ว่าทุกคนก็มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง จนกระทั่งสามารถเป็นบุรุษอาชาไนย ที่พร้อมจะสร้างบารมีดังเช่นพระบรมโพธิสัตว์ ผู้มีกำลังใจไม่สิ้นสุด สร้างบารมีกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นยอดนักสร้างบารมี เป็นพันธุ์ตะวัน เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา หรือไร้กาลเวลา ที่ภพชาติไม่อาจมาขวางกั้นการสร้างบารมีของเราได้ แล้วที่การจะเป็นนักสร้างบารมีพันธุ์ตะวัน ผู้ไม่เคยเบื่อหน่ายในการส่องแสง ไม่เคยว่างเว้นจากการสร้างบารมีอย่างนี้ได้ ก็ต้องหมั่นสอนตนเอง และเตือนตนเองบ่อยๆ

     เราจะรู้ว่าเราเป็นนักสร้างบารมีพันธุ์ตะวัน พันธุ์อาชาไนยหรือไม่ สังเกตดูง่ายๆ คือ ในขณะที่คนอื่นกำลังหลับใหลอยู่ด้วยความไม่รู้ กำลังหลงเพลิดเพลินไปกับเรื่องโลกๆ ที่ไร้สาระ แต่เราเป็นผู้ตื่นตัวในการสร้างบารมีอยู่เสมอ โดยไม่เห็นแก่ความสนุกสนานเพลิดเพลินในโลกนี้ ซึ่งเขาก็ให้เวลาให้โอกาสเรามาเกิดเป็นมนุษย์  เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็จำต้องจากโลกนี้ไปแล้ว  

     เมื่อชาวโลกเริ่มตื่นจากความหลับใหล ได้ลงมือสร้างบารมีตามอย่างพวกเรา เพราะได้อาศัยเราเป็นต้นบุญต้นแบบ เป็นยอดกัลยาณมิตร เราจะได้ชื่อว่า บุรุษอาชาไนยผู้ยังโลกให้สว่างไสว  

     ดังนั้นให้มุ่งมั่นสร้างบารมีให้เต็มที่เต็มกำลัง และหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในกันให้ได้ทุกๆ คน

 

พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๓๕ หน้า ๓๐๓

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
คนดีที่โลกต้องการคนดีที่โลกต้องการ

ผลแห่งการชวนคนมารู้จักพระรัตนตรัยผลแห่งการชวนคนมารู้จักพระรัตนตรัย

พระอริยเจ้าพระอริยเจ้า



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน