หลุดพ้นจากสังสารวัฏ


[ 30 ต.ค. 2557 ] - [ 18464 ] LINE it!

หลุดพ้นจากสังสารวัฏ

     สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เป็นเพียงเครื่องอาศัยสำหรับไว้สร้างบารมี ไม่ใช่มีไว้สำหรับให้ยึดมั่นถือมั่น เพราะเราเกิดมาในโลกนี้ ก็เพียงอาศัยสิ่งเหล่านี้สร้างบารมีเท่านั้น อย่าไปคิดว่ามันเป็นจริงเป็นจังอะไร สมบัติทั้งหลายเป็นของกลางของโลก ที่จะช่วยให้เราสร้างบารมีได้สะดวกสบาย เราจะได้มุ่งแสวงหาสิ่งที่เป็นสาระของชีวิต ที่เป็นความจริงของพระอริยเจ้า ที่เรียกว่า อริยสัจ มีใจมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน ชีวิตเราจะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน สุมนาเถรีกถา ว่า

"ธาตุโย ทุกฺขโต ทิสฺวา      มา ชาติ ปุนราคมิ
   ภเว ฉนฺทํ วิราเชตฺวา        อุปสนฺตา จริสฺสสิ  

     ท่านพิจารณาเห็นธาตุทั้งหลายว่าเป็นทุกข์แล้ว อย่าเกิดอีก ท่านสำรอกความพอใจในภพแล้ว จงเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไปเถิด"

     ธาตุ แปลว่า ธรรมชาติที่ทรงตัวเอาไว้ หมายถึงสิ่งที่รวมกันเข้าเป็นรูปร่าง ประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เมื่อธาตุต่างๆ คุมกันเข้าเองโดยธรรมชาติหรือมนุษย์ปรุงแต่งขึ้น ก็เรียกว่าสังขาร สังขารที่มีวิญญาณเข้าครอบครอง ท่านสมมติเรียกว่าคน สัตว์ เป็นต้น สังขารที่ไม่มีธาตุรู้ ไม่มีวิญญาณครองเช่น ภูเขา ต้นไม้เป็นต้น เมื่อแยกธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ออกจากกัน ก็หมดสภาพที่เป็นสังขารที่เรามัวยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรา

     พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาธาตุต่างๆ เหล่านี้ว่า เป็นทางมาแห่งทุกข์ทั้งหลาย ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วางจากสังขารเหล่านี้ เมื่อพิจารณาเห็นสักแต่ว่าเป็นธาตุได้แล้ว จะได้ถอนสัตตูปลัทธิ ความยึดถือว่าสัตว์ ถอนสัตตสัญญา ความสำคัญว่าสัตว์หรือสิ่งของลงเสียได้ เมื่อกำหนดเห็นอย่างนี้เป็นประจำ จิตก็ตั้งมั่น วิจิกิจฉานิวรณ์ก็สงบระงับไป เป็นจิตที่นุ่มนวลควรแก่การงาน คือสามารถละความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์และธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาทั้งหลาย แล้วยกใจขึ้นสู่ไตรลักษณ์ได้โดยไม่ยาก

     นอกจากนี้พระพุทธองค์ทรงอุปมาให้ภิกษุพิจารณาเห็นกายนี้ ตั้งอยู่โดยความเป็นธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ว่ามีอยู่ในกายนี้ ทรงอุปมาเหมือนคนฆ่าโค เมื่อฆ่าโคเสร็จแล้วก็แบ่งออกเป็นส่วนๆ วางขาย เมื่อมีคนมาซื้อก็ไม่ได้บอกว่า ขอซื้อโคหน่อย แต่ซื้อเนื้อ ซื้อตับ ซื้อเลือดของโคตัวนั้นไปเป็นอาหาร เมื่อธาตุ ๔ แยกสลายก็ไม่มีส่วนใดที่เรียกว่าร่างกายอีกต่อไป  

     * มีเรื่องที่กล่าวไว้ หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เป็นระยะเวลาร่วมร้อยปี วันหนึ่งในยามค่ำคืน ณ กัลลกมหาวิหาร ได้มีภิกษุณีจำนวนมาก พากันเดินเข้าเดินออกพลุกพล่าน ซึ่งผิดปกติจากวันธรรมดาทั่วๆ ไป เพราะว่าเธอเหล่านั้นได้ข่าวว่าภิกษุณีสาวรูปหนึ่งนามว่า สุมนาเถรี ซึ่งเป็นพระอรหันต์กำลังจะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในวันนั้น จึงพากันมานมัสการเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อภิกษุณีทั้งหลายประชุมพร้อมกันแล้ว จึงได้อาราธนาให้ท่านเล่าอัตชีวประวัติของท่าน เพื่อเป็นทิฏฐานุคติในการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อได้รับอาราธนา พระเถรีจึงเล่าประวัติของตัวท่านเองให้ที่ประชุมได้ฟัง ซึ่งมีเนื้อความดังที่หลวงพ่อจะเล่าให้ฟังดังนี้

     เช้าตรู่ของวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในกรุงราชคฤห์พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เพื่อทรงบิณฑบาตโปรดสัตว์ตามพุทธประเพณี ทรงทอดพระเนตรเห็นลูกสุกรน้อยตัวหนึ่ง จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เถระทูลถามถึงเหตุแห่งการแย้มพระโอษฐ์ พระองค์จึงทรงชี้ไปยังลูกสุกรน้อยแล้วตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ เธอจงดูลูกสุกรน้อยตัวนี้เถิด ในอดีตชาติตั้งแต่ครั้งศาสนาของพระกกุสันธพุทธเจ้า ลูกสุกรนี้ได้เกิดเป็นแม่ไก่ อาศัยอยู่ที่ศาลาวัดแห่งหนึ่ง ได้มีโอกาสฟังเสียงธรรมที่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรรูปหนึ่ง นั่งสาธยายอยู่เป็นประจำทุกค่ำคืน แม้ฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ชอบฟัง เมื่อฟังแล้วก็มีจิตเลื่อมใส เป็นอุปนิสัยติดตามตัวไปในภพชาติเบื้องหน้า

     ภายหลังถูกนกเหยี่ยวจับกินเป็นอาหาร เมื่อละจากอัตภาพของสัตว์เดรัจฉานนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดอยู่ในราชตระกูล เป็นพระราชธิดาทรงพระนามว่าอุพพรี แม้จะบังเกิดเป็นราชธิดาผู้เพียบพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ แต่ด้วยอานิสงส์ที่ชอบฟังเสียงการสาธยายธรรม และอุปนิสัยแห่งเนกขัมมปฏิปทาที่ติดตัวมาข้ามภพข้ามชาติ จึงทำให้บุญกุศลที่ได้สั่งสมมาตักเตือนให้พระนางเกิดความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย ได้บวชออกเป็นปริพาชิกานอกพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วก็ได้บำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้เข้าถึงปฐมฌาน

     ครั้นละจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลก มีความสุขอยู่ในการเข้าฌานสมาบัติอยู่ในพรหมวิมาน เป็นเวลายาวนานเป็นพุทธันดร แต่พรหมโลกนั้นยังคงอยู่ในภพทั้งสาม ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ ดังนั้น เมื่อจุติจากพรหมโลกก็ลงมาบังเกิดในตระกูลเศรษฐี เป็นธิดาของเศรษฐีท่านหนึ่ง แต่ในภพชาตินั้นนางเป็นผู้ประมาทในชีวิต จึงไม่ได้สั่งสมบุญกุศลเพิ่มเติม เมื่อเป็นเช่นนี้บาปอกุศลก็ได้ช่อง เมื่อจะละสังขารในอัตภาพนั้น จิตใจของนางจึงเศร้าหมองไม่ผ่องใส เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใสทุคติก็เป็นที่ไป คือเมื่อนางละจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ต้องมาบังเกิดเป็นลูกสุกรที่กำลังปรากฏอยู่ ณ เบื้องหน้าของพระบรมศาสดานี่เอง

     พระพุทธองค์ทรงยกลูกสุกรน้อยขึ้นเป็นอุทาหรณ์ เพื่อทรงสอนเหล่าภิกษุทั้งหลายให้หมั่นทำความเพียร อย่าได้ประมาทในชีวิต เพราะถ้าเรายังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏนี้ ชีวิตของเราก็จะต้องขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ มีความไม่แน่นอน ต้องเกิดกันอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน บางชาติก็เกิดอยู่ในสุคติภูมิ บางชาติก็พลาดไปเกิดอยู่ในทุคติภูมิก็มี

     เมื่อเธอพ้นจากอัตภาพที่เกิดเป็นสุกรแล้ว ก็ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดกันอีกหลายภพหลายชาติ นับว่ายังดี ที่ไม่ได้ตกไปในมหานรก เพราะบุญเก่ายังค้ำจุนไว้ หลังจากชาตินั้นได้ไปบังเกิดเป็นพระราชธิดาในแคว้นสุวรรณภูมิ ต่อมาก็ไปบังเกิดเป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงพาราณสี ชาติถัดมาเกิดเป็นลูกสาวของพ่อค้าวานิช ที่หมู่บ้านท่าเรือสุปปารกะ ได้สั่งสมบุญในระดับหนึ่งจนได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เมื่อหมดบุญก็ลงมาเกิดเป็นธิดาของอิสระชนผู้มีอำนาจมาก

     จนกระทั่งในภพชาติสุดท้ายนี้ ได้มาบังเกิดเป็นลูกสาวของกุฎุมพีชื่อ สุมนา ครั้นเจริญเติบโตขึ้น ได้แต่งงานกับมหาอำมาตย์ชื่อ อติมพระ เมื่อพระอตุลเถระพร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เที่ยวเดินบิณฑบาตผ่านมาที่บ้านของเธอ แม้ว่าจะเห็นพระเดินผ่านหน้าบ้าน แต่เธอก็มิได้มีจิตเลื่อมใส ได้แต่ยืนมองดูเฉยๆ พระอตุลอรหันต์ได้สอดส่องญาณทัสนะ ระลึกชาติตรวจดูบุพกรรมของเธอว่าในอดีตชาติได้เกิดเป็นอะไรมาบ้าง ท่านได้เห็นลำดับภพชาติที่เธอได้เกิดมา เกิดความสงสาร จึงได้เปล่งอุทานว่า “โอ้น่าอัศจรรย์จริงหนอ ลูกสุกรตัวน้อยที่น่าสงสารในภพชาติก่อน บัดนี้ได้มาบังเกิดเป็นถึงภรรยาของมหาอำมาตย์”  

     นางได้ฟังดังนั้นเกิดความสงสัยจึงได้ถามพระเถระ ด้วยมหากรุณาของพระเถระ ท่านจึงได้เล่าความเป็นมาของนางให้ฟัง เมื่อรู้ดังนั้นนางเกิดความสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอบรรพชาออกบวชเป็นภิกษุณี ต่อมานางได้ฟังสติปัฏฐานสูตรก็ได้บรรลุโสดาบัน พระเถรีได้บำเพ็ญเพียรอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ ภายหลังก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พร้อมกันนั้นพระเถรีได้กล่าวโอวาทก่อนที่จะปรินิพพานว่า "อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ขอท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด" เมื่อพระเถรีได้เล่าอัตชีวประวัติของตนจบลง ก็ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ณ บัดนั้นเอง

     เราจะเห็นว่า การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอนและไม่ปลอดภัยเลย ทุกชีวิตต้องท่องเที่ยวไปเกิดในสุคติบ้าง ทุคติบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สลับกันไปอยู่เช่นนี้ ดังนั้นการที่จะพ้นจากภัยในวัฏสงสารได้นั้น จะต้องไปให้ถึงฝั่งพระนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุข และการจะไปสู่จุดหมายได้นั้น จะต้องไม่ประมาทในการสั่งสมบุญบารมี ทั้งทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะภาวนาจะต้องหมั่นปฏิบัติจนเข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ เมื่อเข้าถึงแล้ว เราจะได้ศึกษาวิชชาธรรมกายเพื่อรื้อวัฏฏะ ทั้งเราและสรรพสัตว์จะได้ปลอดภัยจากภัยในสังสารวัฏ และเป็นทางลัดไปสู่ที่สุดแห่งธรรมกัน

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๔๓ หน้า ๒๘๑

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - อานิสงส์ทำบุญทอดกฐินมงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - อานิสงส์ทำบุญทอดกฐิน

หลุดพ้นจากสังสารวัฏหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

โสฬสญาณโสฬสญาณ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน