เวลาพักของใจ


[ 4 ก.ย. 2561 ] - [ 18270 ] LINE it!

เวลาพักของใจ
เมื่อเราทำงานหนัก เราเหนื่อยก็ต้องพักผ่อนนอนหลับ แต่เมื่อใจเราล้า เราจะให้ใจเราได้พักด้วยวิธีใด?

เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC


 
 
ใจกับสมองของคนเราทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร?



          ใจกับสมองคนละส่วนกัน สมองจะทำหน้าที่คล้ายคอมพิวเตอร์  คอมพิวเตอร์จะทำงานได้ ต้องมีคนสั่งการ คือยูเซอร์ ดังนั้นสมองคนเราเปรียบได้กับคอมพิวเตอร์ ส่วนใจเปรียบได้กับยูเซอร์ ทำหน้าที่คอยสั่งสมองอีกชั้นหนึ่ง โบราณกล่าวว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ใจที่เป็นนายคอยสั่งการให้สมองทำการ สมองจะส่งสัญญาณประสาทไปควบคุมอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายอีกชั้นหนึ่ง เช่น สั่งยกแขน ใจก็สั่งสมอง สมองก็สั่งไปที่แขน แขนก็ยกขึ้น เป็นต้น 
 
ตามหลักพระพุทธศาสนา ใจมีความซับซ้อนแค่ไหนและทำงานอย่างไร? 



           การทำงานของใจซับซ้อนมาก คอมพิวเตอร์ที่ดูซับซ้อนเมื่อเทียบกับการทำงานของใจ เหมือนเด็กอนุบาลกับโปรเฟสเซอร์ คนละชั้นกัน ความลึกซึ้งของใจมีความซับซ้อนมาก โดยใจทำหน้าที่สำคัญ 4 อย่าง ได้แก่ 
1. เห็น คือการรับรู้ ประกอบด้วย เห็นทางตา การรับรู้ทางเสียง ได้กลิ่นอะไรก็ตาม ได้ลิ้มรสอะไรก็ตาม ถูกต้องสัมผัสอะไรก็ตาม เรียกว่าเห็นเหมือนกันหมด เพราะสุดท้ายจะถูกแปลเป็นภาพในใจ ที่เราเรียกว่าเห็นคือการรับทราบ สัญญาณจาก ตา หู จมูกลิ้น กาย 
2. จำ คือการบันทึกเข้าไปในใจ แล้วไปเทียบกับความทรงจำในอดีต เช่น ฟังเสียงแล้วไปเทียบกับความทรงจำในอดีต ว่าสิ่งที่ได้ยินคือเสียงอะไร เช่น เสียงกีตาร์ เสียงคน เป็นต้น 
3. คิด คือความคิดที่ปรุงแต่ง เช่น คนนี้คือคุณฮิม ตอนนี้คุณเสียงแหบ เป็นหวัดหรือเปล่า สามารถคิดอะไรไปได้อีกเยอะแยะ
4. รู้ คือรับรู้เรื่องราวที่ตัวเองรับทราบจาก เห็น จำ คิด มาทั้งหมด
          เห็น จำ คิด รู้ คือหน้าที่หลักของใจ ใจดวงเล็กๆขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่ อยู่ที่กลางท้องของเรา 


          แค่หน้าที่ในการจำอย่างเดียวตั้งแต่เกิดมาในชาตินี้ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในใจ ทั้งความคิดที่เกิดขึ้นในใจ ก็ถูกบันทึกเอาไว้ในใจเช่นเดียวกัน การรับรู้ต่างๆแตกแขนงออกไป ก็รับรู้อยู่ในใจ บันทึกไว้ในใจเหมือนกัน และไม่ใช่แค่ชาติเดียว ย้อนไปหลายล้านชาติก็ถูกบันทึกไว้ในใจทั้งหมด หากจะระลึกชาติไปดูเรื่องราวในอดีตให้ไปดูในใจ ใจดวงเล็กๆนี้ มีความจุยิ่งกว่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลก ส่วนในแง่ความคิด เหมือนแผนภูมิต้นไม้ที่มีความต่อเนื่องออกไปเรื่อยๆ  ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกไปมีความคิดกำกับอยู่เสมอ ทุกคำที่ใช้ มีวิธีการเลือกใช้คำพูดตลอดเวลา เช่น เมื่อพูดคำหนึ่งเสร็จ คำต่อไปจะใช้คำอะไร มีทางเลือกอยู่ 10 ทางเลือก เลือกทางนี้ต่อไปอีกทางเลือก 10 ทางเลือก เรื่อยๆ รวมทางเลือกทั้งหมดไปแล้วล้านทางเลือก เหล่านี้คือปฏิกิริยาที่เกิดเป็นลูกโซ่อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างพอให้เห็นถึงความลึกซึ้งของการทำงานของใจ ซึ่งเห็นได้ว่าไม่ธรรมดา 



          พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกความซับซ้อนของการทำงานของจิตไปเทียบว่ายากที่จะเข้าใจระดับเดียวกับพระนิพาน ท่านใช้คำว่า จิตเจตสิกและนิพพานอยู่คู่กัน จิตคือดวงจิต ดวงใจของเรา ส่วนเจตสิก แปลว่า การทำงานของใจ การทำงานของใจและนิพพานเข้าใจยากใกล้เคียงกัน ถ้าคิดด้วยตรรกะ คิดด้วยความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไป ยากจะเข้าใจได้ จะเข้าใจจริงๆได้ ต้องนั่งสมาธิ จนกระทั่งเห็นดวงจิตของเรา ว่าเป็นอย่างไรถึงจะเข้าใจ นักจิตวิทยาที่เก่งที่สุดของโลกอย่าง ซิกมันด์ ฟรอย์ ยังไม่เห็นดวงจิต จึงเข้าใจแค่ผิวเผิน 
 
ร่างกายของคนเรายังมีวันเหนื่อยล้า แล้วใจเราจะเหนื่อยล้าไหม?



          ร่างกายล้าเป็น ใจก็ล้าเป็น แม้แต่พวกเราคงเคยเจอ บางทีมีปัญหาชีวิตหนักถาโถมเข้ามา แล้วรู้สึกเหนื่อยล้า บางคนล้าจนทนไม่ไหว ขอจากโลกนี้ไปก่อน เพราะรู้สึกรับแรงกดดันไม่ไหว เป็นต้น เพราะฉะนั้นร่างกายยังต้องการพักผ่อน ใจก็ต้องพักผ่อนเหมือนกัน เราถึงต้องนอนหลับ เพราะตอนนอนหลับใจจะแช่อิ่มในน้ำเลี้ยงของใจ ทำให้สดชื่น ถ้าเรานอนแต่ไม่หลับ จะไม่สดชื่น และอาจล้ากว่าเดิม เพราะร่างกายได้พัก แต่ใจยังไม่ได้พัก จึงต้องหลับในภาวะที่รู้สึกว่า เราหลับไปแล้ว ใจจะแช่อิ่มในน้ำเลี้ยงของใจ จึงต้องพักอย่างนี้ กายต้องพัก ใจก็ต้องพัก เช่นเดียวกัน

เมื่อเราละโลกไปแล้วสมองของเราตาย แล้วใจจะเป็นอย่างไร?



          ใจของเราจะไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่างๆ ตามกำลังบุญ กำลังบาป ที่ทำไว้ สิ่งที่ทำไว้ไม่ได้หายไปไหน  หากทำความดี จะเกิดเป็นบุญกุศล ทำให้ใจผ่องใส เมื่อเราทำบุญแล้วรู้สึกสบายใจ ชื่นใจ เกิดบุญเหล่อเลี้ยงใจ ใจก็สว่าง ส่งผลถึงบุคลิกหน้าตาผิวพรรณ ให้สว่างไปด้วย แต่หากไปทำบาป ไปปล้น ไปฆ่า ไปจี้ ไปหลอกลวง ไปโกง บาปจะเกาะใจ ทำให้ใจดำมืด โบราณบอกดูหน้าตายังหมองๆ คล้ำๆ ราศีโจรจับ เป็นต้น พอถึงคราวละจากโลกนี้ ร่างกายก็ไปเผาไปฝัง ส่วนใจก็ไปเกิดใหม่ 
          ถ้ามีบุญเยอะก็ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ถ้าบาปเยอะก็ไปตกนรก เป็นอย่างนี้หมุนเวียนกันไปจนกว่าหมดกิเลสถึงจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้วเข้าสู่พระนิพพาน
 
วิธีการรักษาใจ
          หากอยากให้ใจมีสุขภาพดี ต้องหลีกเลี่ยงบ่อนทำลายใจ แล้วหาทางบำรุงใจเราเองให้แข็งแรง 



          สิ่งที่จะทำลายใจคือ ราคะ โทสะ โมหะ เมื่อใดก็ตาม หากไปคิดในเรื่อง ราคะ โลภะ ใจ จะเศร้าหมอง โกรธใครขึ้นมา ใจก็เศร้าหมอง ไปหลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งใดก็ตาม ใจก็เศร้าหมอง สุขภาพใจเสีย เราควรหลีกเลี่ยงความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ โดยเมื่อใดที่เรารู้ตัวว่าไปคิดเรื่องไม่ดีแล้ว ให้ปรับความคิดใหม่ ถ้ายังไม่รู้จะคิดอย่างไร ให้ดึงใจเราออกมาจากความคิดนั้นก่อน โดยการทำสมาธิ หากยังนั่งสมาธิไม่ได้ ให้สวดมนต์ก่อน สวดมนต์ไปใจก็จะเกาะ กับเสียงสวดมนต์จนใจสบายแล้วมานั่งสมาธิ จะทำให้ใจหลุดจากความคิดที่ไม่ดี 
          สิ่งที่ทำให้ใจแข็งแรง มีหลักอยู่ว่า ใจคนเราเมื่อไหร่อยู่นิ่งสงบนิ่งจะมีพลัง เมื่อไหร่ใจกระเพื่อม ฟุ้งซ่านจะอ่อนกำลัง (ใจจะฟุ้งซ่านด้วย โลภะ โทสะ โมหะ) ดังนั้นต้องทำให้ใจหยุดนิ่ง ด้วยการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ่งใจนิ่งเท่าไหร่ใจก็จะมีพลังมากเท่านั้น ขณะเดียวกันให้แผ่เมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย  จะทำให้มีเมตตา ซึ่งตรงกันข้ามกับ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อทำได้อย่างนี้ ใจก็จะมีสุขภาพที่ดี

          


          ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมองกับใจนั้นทำงานต่างกัน โดยเฉพาะคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว” ร่างกายของเราเวลาเหนื่อยก็ต้องได้รับการพักผ่อน จิตใจก็เช่นเดียวกัน เวลาที่ใจเราเหนื่อย เราก็ต้องรักษาใจให้สงบ เพราะใจที่สงบจะมีพลัง และวิธีง่ายๆที่สามารถรักษาใจให้สงบและมีพลัง คือต้องทำให้ใจปราศจากบ่อนทำลายใจ ด้วยการฝึกสมาธิทำใจให้สงบด้วยการนั่งสมาธินั่นเอง 
 


รับชมคลิปวิดีโอเวลาพักของใจ
ชมวิดีโอเวลาพักของใจ   Download ธรรมะเวลาพักของใจ



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
 เงินเลี้ยงหัวใจ เงินเลี้ยงหัวใจ

คนรุ่นเก่ากับคลื่นลูกใหม่คนรุ่นเก่ากับคลื่นลูกใหม่

ดวงดีมีที่มาดวงดีมีที่มา



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ข้อคิดรอบตัว