สละจากสายดำ มาเป็นสายรัดประคด


[ 29 ส.ค. 2550 ] - [ 18282 ] LINE it!

ผลการปฏิบัติธรรม

สามเณรธรรมทายาท วัดพุทธปารีส (ฝรั่งเศส)

กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพรักยิ่ง
 
 
    ผมชื่อ สามเณร ร็อคกี้ ศรียะวงศ์ อายุ 25ปี เชื้อชาติไทย-ลาว กำลังศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยปารีส ผมมีพี่น้องทั้งหมด 6คน ผมเป็นลูกคนที่สามครับ ทันทีที่ผมจำความได้ ผมก็เห็นเหรียญและถ้วยรางวัลจากการแข่งขันคาราเต้ของคุณพ่อ ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับภาค ระดับประเทศ ไปจนถึงระดับนานาชาติ ประดับอยู่ทั่วห้อง พระเดชพระคุณหลวงพ่อรู้ไหมครับว่า ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวคาราเต้โดยสายเลือดเลยทีเดียว คุณพ่อ พี่ชายคนโต พี่สาว และตัวผม ต่างก็เคยเป็น Champion ของประเทศฝรั่งเศสกันมาแล้วทั้งนั้น
 
 
 
    โดยเฉพาะพี่สาวของผม เคยติดทีมชาติ และสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศประเภททีม กับรองชนะเลิศอันดับสอง ประเภทบุคคล ในการแข่งขันคาราเต้ชิงแชมป์โลกมาแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณพ่อ เริ่มฝึกพวกเรามาตั้งแต่อายุ 4ขวบ พอ 7ขวบ ก็เริ่มส่งไปแข่งขันในรายการต่างๆ จนคว้าแชมป์ระดับจังหวัดและระดับภาคมากันทุกคน
 
 
 
    แต่ละวัน พวกเราต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี 4 ทนฝึกซ้อมอย่างหนัก วันละ 7-8 ชั่วโมง จนได้สายดำกันตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนคุณพ่อของผม ปัจจุบันท่านเป็นอาจารย์สอนคาราเต้ที่มีชื่อเสียง ทั้งยังเปิดโรงเรียนสอนคาราเต้อีกหลายแห่ง และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินการแข่งขันของสหพันธ์คาราเต้แห่งประเทศฝรั่งเศสมา 20กว่าปีแล้วครับ
 
    แต่แล้ว...วันหนึ่ง ครอบครัวของผมก็ต้องมาพบกับจุดหักเหของชีวิต หลังจากที่ได้ติดจานดาวธรรมเมื่อปี พ.ศ.2547 และดู DMC ทุกวัน ตอนนี้ครอบครัวของผมได้สละหมดแล้วครับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ “สละจากสายดำ มาเป็นสายรัดประคด สละจากผ้าขาว มาสู่ผ้ากาสาวพัสตร์ ธงชัยแห่งพระอรหันต์ สละจากเกียรติยศชื่อเสียงอันเป็นที่หมายปองของคนทั้งหลาย มาสู่ชีวิตที่เรียบง่ายตามแบบพระอริยเจ้า”
 
สามเณร ตระกูลศรียะวงศ์
(จากซ้ายไปขวา) สามเณรบิลลี่ อายุ 19ปี สามเณรเดช (คุณพ่อ) อายุ 57ปี
สามเณรโจแอล อายุ 20ปี สามเณรร็อคกี้ อายุ 25ปี
 
    เนื่องจากปีนี้ คุณพ่อ ตัวผม และน้องชายของผมอีก 2คน ได้มาบวชสามเณรธรรมทายาทรุ่นที่2 ของ วัดพุทธปารีส (อันที่จริงน้องชายคนเล็ก ชื่อ คริส อายุ 10ขวบ ก็ร้องขอมาบวชด้วย แต่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์รับสมัครครับ) ก่อนหน้าที่จะมาบวชนั้น ผมจะนั่งสมาธิก่อนนอนแต่ก็ไม่เคยเกิน 30นาทีเลยครับ เพราะผมจะรู้สึกปวดขา ปวดหลัง บางวันดูเหมือนกำลังจะนั่งดีเพราะไม่มีอาการปวดใดๆ แต่ทว่าจิตใจของผมน่ะสิครับ กลับซนเหมือนลิง อยู่นิ่งไม่ได้ ทำให้ผมรู้สึกหมดกำลังใจ ไม่ค่อยอยากฝึกสมาธิต่อและเริ่มนั่งสมาธิน้อยลง กระทั่งได้มารื้อฟื้นความทรงจำที่ดีอีกครั้ง หลังจากได้มาเข้าร่วมบวชธรรมทายาทในครั้งนี้
 
 
    ในช่วงแรกที่ผมนั่งสมาธิ ยังไม่ทันจะถึง 30นาที อาการปวดแข้ง ปวดขา ปวดหลัง ปวดคอ ก็แฝงตัวเข้ามาอย่างไม่ได้รับเชิญ   ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ เช่นเรื่องการเรียน  การฝึกคาราเต้ ก็แวะเวียน มาเรื่อยๆอย่างไม่รู้จักหมดสิ้น แต่เมื่อผมคิดว่าการมาบวชในคราวนี้ผมต้องการปล่อยวางทุกอย่างและเข้าถึงความสุขที่แท้จริงให้ได้ ผมจึงเริ่มนึกถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า “ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา…ความอดทน คือ ความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง” ผมจึงทนนั่งต่อไปโดยไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ได้ถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง มาถึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกประหลาดใจว่า “ผมสามารถนั่งสมาธิได้นานขึ้น แล้วความเจ็บปวดต่างๆ มันหายไปไหนหมด”
 
 
    จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้อ่านหนังสือของพระเดชพระคุณหลวงปู่ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งอธิบายเป็นภาษาจีน เกี่ยวกับวิธีการเข้าถึงธรรม พอถึงช่วงนั่งสมาธิรอบค่ำ ผมจึงเริ่มทำตามคำแนะนำในหนังสือ โดยนั่งให้ตัวตรงไม่ให้หลังพิงกับกำแพงหรือพนักพิงใดๆ ปล่อยวางความคิดทุกอย่าง และกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใส พอนั่งไปได้สักครู่ ผมก็เริ่มเห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นที่กลางท้องของผม พอมองแสงสว่างนั้นไปได้สักพักผมก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์กล่าว “สัพเพ...” เป็นสัญญาณบอกเวลาสิ้นสุดการนั่งสมาธิ ผมแอบเสียดายในใจอยู่ไม่น้อยเลยครับ
 
 
    เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเริ่มนั่งสมาธิโดยใช้วิธีการเดียวกันกับเมื่อคืน ผนวกกับนึกถึงคุณงามความดีต่างๆ ที่ผมได้เคยกระทำมาตลอดทั้งชีวิต เมื่อผมนั่งไปได้สักพัก ผมก็เห็นดวงแก้วใสสว่างปรากฏขึ้นที่กลางท้องของผม จากนั้นผมก็ถูกดูดให้เข้าไปในดวงแก้วนั้น ผมเห็นแสงสีขาวสว่างโพลงไปหมดรอบๆตัวผม
 
 
    ในตอนนั้น ผมมีความรู้สึกเหมือนว่า ผมกำลังอยู่บนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง เพราะมีความสุขมากเหลือเกินแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต รู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่บนอากาศ แล้วผมก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่าง รูปทรงเหมือนภูเขาขนาดใหญ่ มีลักษณะใส พร้อมด้วยแสงบริสุทธิ์ที่สว่างมากๆ แต่ไม่รู้สึกแสบตาเลย เมื่อผมมองเข้าไปดูใกล้ๆ ผมเห็นกลุ่มก้อนรูปทรงคล้ายดอกไม้ ม้วนเกลียวเหมือนขดก้นหอยเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ลักษณะเป็นแก้วใสและมีแสงสว่างสีขาว อยู่บนภูเขาลูกนี้ มาถึงตรงนี้ ผมมีความสุขมาก แต่ผมก็พยายามถามตัวเองว่า “สิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร”
 
    จนกระทั่งผมได้มาเห็น ภาพองค์พระแก้วใสผุดขึ้นเป็นชั้นๆ แบบ Top view ใน DMC ผมถึงกับต้องร้อง....อ๋อ เพราะสิ่งที่ผมเห็นจากสมาธิคราวนั้น คือ องค์พระแก้วใสขนาดใหญ่นั่นเอง
 
(นั่งเก้าอี้-จากซ้ายไปขวา) สามเณรโจแอล อายุ 20ปี สามเณรเดช (อายุ 57ปี)
สามเณรร็อคกี้ (อายุ 25ปี) สามเณรบิลลี่ (อายุ 19ปี)
(แถวกลาง-จากซ้ายไปขวา) คุณแม่ปวยเซียง แซ่เอี้ย (อายุ 51ปี ด.ช.คริส (อายุ 10ปี) กัลยาณมิตร ชักกะริน (อายุ 27ปี) เพื่อนกัลยาณมิตร
(แถวหน้าสุด) ด.ช.ยูกิ (อายุ 4ขวบ) ลูกชายของกัลยาณมิตร ชักกะริน
 
    สุดท้ายนี้ ผมขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ คุณยายอาจารย์ ที่ทำให้ผมและครอบครัวมีวันนี้  กราบขอบพระคุณพระอาจารย์และพี่เลี้ยงทุกท่าน ที่คอยอดทนสั่งสอนพวกเรา ตลอดระยะเวลาของการอบรม และกราบอนุโมทนาบุญกับลูกพระธัมฯทุกท่าน  ที่คอยเป็นแสงสว่างอยู่ทั่วทุกมุมโลกนะครับ


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เกราะที่จะคุ้มครองตัวได้ดีที่สุดเกราะที่จะคุ้มครองตัวได้ดีที่สุด

ผมไปตามหาดวงแก้วที่สวนป่าหิมวันต์ผมไปตามหาดวงแก้วที่สวนป่าหิมวันต์

จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการบวชจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการบวช



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ