นังคลีสชาดก ชาดกว่าด้วยคนพาลกล่าวคำที่ไม่ควรกล่าว


[ 20 มี.ค. 2564 ] - [ 18274 ] LINE it!

ชาดก 500 ชาติ

นังคลีสชาดก-ชาดกว่าด้วยคนพาลกล่าวคำที่ไม่ควรกล่าว

พระศาสดาทรงประกาศพระธรรมคำสอนแก่เหล่าภิกษุสงฆ์

พระศาสดาทรงประกาศพระธรรมคำสอนแก่เหล่าภิกษุสงฆ์
  
        ณ ดินแดนชมพูทวีปในกาลสมัยที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงตรัสรู้ชอบดีแล้ว หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ที่สั่งสมบารมีมาอย่างยาวนานหลายชาติภพนั้นเป็นที่แจ้งประจักษ์ในหมู่พุทธสาวกทั้งหลายว่า เป็นหลักธรรมที่ประกอบขึ้นด้วยเหตุและผล เป็นไปตามกฎแห่ง
ธรรมชาติซึ่งเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ 
 
พระโลลุทายีเถระผู้เลื่อนเปื้อน
 
พระโลลุทายีเถระผู้เลื่อนเปื้อน
 
        ในกาลนั้น ขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหารนั้น มีเหตุอันมีเรื่องเล่าขานขึ้นมากมาย ดังเช่นในตอนนี้ที่มีเหตุหนึ่ง ถึงพระเถระผู้เลื่อนเปื้อน
นามว่า พระโลลุทายีเถระ เหตุวิพากษ์นั้นเกิดจากการที่พระเถระโลลุทายีรูปนี้ เป็นผู้ที่ไม่ได้รับรู้ข้อที่ควรและไม่ควรว่า ในที่นี้ควรกล่าวธรรมข้อนี้ ในที่นี้ไม่ควรกล่าว
ธรรมข้อนี้ ในงานมงคลก็กล่าวอวมงคล กล่าวอนุโมทนาอวมงคลเป็นต้น
 
พระโลลุทายีเถระชอบกล่าวข้อธรรมในที่ที่ไม่ควรกล่าวอยู่เป็นนิจ
 
พระโลลุทายีเถระชอบกล่าวข้อธรรมในที่ที่ไม่ควรกล่าวอยู่เป็นนิจ
 
        “ อ่ะ แอ่ม อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เปรตทั้งหลายพากันยืนอยู่นอกฝาเรือนและที่กรอบประตูและเช็ดหน้า ” “ อะไรกันนี่ พระเถระรูปนี้พูดอะไรไม่เป็นมงคล
เอาเสียเลย นี่มันงานมงคลแท้ ๆ มาผิดงานหรือเปล่านี่ เฮ้อ ” “ นั่นนะสิพูดออกมาได้ยังไงไม่ดูบ้างเลย เฮ้อ ต่อไปใครจะกล้านิมนต์ ”

ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันเอือมระอาในพฤติกรรมเลื่อนเปื้อนของพระโลลุทายีเถระ
 
ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันเอือมระอาในพฤติกรรมเลื่อนเปื้อนของพระโลลุทายีเถระ
 
        ครั้นพอมีอุบาสกนิมนต์ท่านไปทำพิธีในงานอวมงคล เมื่อกระทำอนุโมทนากลับ พระโลลุทายีเถระกลับกล่าวว่า “ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก
ได้คิดมงคลทั้งหลายกันแล้ว ขอให้พวกท่านสามารถกระทำมงคลเห็นปานนั้นให้ได้ร้อยเท่าพันเท่าเถิด ” “ เอาอีกแล้ว งานก่อนก็พูดผิดพูดถูก
มางานนี้ยังพูดผิดอีก ”
 
เรื่องของพระโลลุทายีเถระเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ภิกษุสงฆ์
 
เรื่องของพระโลลุทายีเถระเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ภิกษุสงฆ์
 
        เหตุดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ภิกษุสงฆ์ จนมีการหยิบยกมาถกกันในโรงธรรมสภา “ ผู้มีอายุทั้งหลายพระโลลุทายีมิได้รู้ข้อที่ควรและไม่ควร
กล่าววาจาที่ไม่น่ากล่าวทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ” “ เรื่องนี้เราก็ได้ยินชาวบ้านเขาบ่นมาเหมือนกัน แต่เราจะทำอย่างไรกันดีละท่าน ปล่อยไว้ก็รังแต่จะทำให้
ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาและพระบรมศาสดาของเรา ”
 
พระศาสดาทรงตรัสถามถึงเหตุที่เหล่าภิกษุสงฆ์กำลังสนทนากันอยู่
 
พระศาสดาทรงตรัสถามถึงเหตุที่เหล่าภิกษุสงฆ์กำลังสนทนากันอยู่
 
        ในระหว่างนั้นพระพุทธองค์เสด็จผ่านมา จึงตรัสถามขึ้นว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ” “ เรื่องที่พระโลลุทายีเถระ
มิรู้ข้อที่ควรกล่าวและไม่ควรกล่าวพระเจ้าค่ะ ” “ เรื่องนี้ เราก็ทราบอยู่เหมือนกัน ” “ แล้วจะทำอย่างไรดีพระเจ้าค่ะ ” “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่โลลุทายีนี้มีไหวพริบช้า เมื่อกล่าวก็ไม่รู้ข้อที่ควรและไม่ควร
 
ภิกษุสงฆ์ได้กราบทูลเรื่องราวของพระโลลุทายีเถระให้พระศาสดาทรงทราบ
 
ภิกษุสงฆ์ได้กราบทูลเรื่องราวของพระโลลุทายีเถระให้พระศาสดาทรงทราบ
 
       แม้ในครั้งก่อนก็ได้เป็นอย่างนี้ เธอผู้เป็นเลื่อนเปื้อนเรื่อยที่เดียว ” แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงรำลึกอดีตชาติด้วยปุบเพนิวาสานุสติญาณทรงนำ นังคลีสชาดก
มาตรัสเล่าเป็นพุทธโอวาทแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายดังนี้ ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติแห่งกรุงพาราณสีนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ
บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล
 
พระศาสดาทรงตรัสเล่า นังคลีสชาดก ให้กับเหล่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้ฟัง
 
พระศาสดาทรงตรัสเล่า นังคลีสชาดก ให้กับเหล่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้ฟัง
     
        เจริญวัยแล้วเล่าเรียนสรรพศาสตร์วิทยาในสำนักตักศิลาจนแตกฉาน ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีเหล่ามานพมากมายมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ในสำนัก
กว่า ๕๐๐ คน ในบรรดามานพเหล่านั้น มีมานพผู้หนึ่งเป็นผู้มีไหวพริบย่อหย่อนเลื้อนเปื้อนเป็นธัมมันเตวาสิก ร่ำเรียนศิลปะจากอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แม้จะมี
ความตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจจะเล่าเรียนเหมือนมานพคนอื่น ๆ
 

พระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี
 
พระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี
 
        เพราะความที่เป็นคนหัวทึบ แต่ได้เป็นผู้อุปการะต่ออาจารย์ คอยทำกิจทุก ๆ อย่างให้เหมือนทาสไม่มีผิด “ ทะ ท่านอาจารย์ ไม่ต้อง ๆ  เดี๋ยวให้ศิษย์ทำเอง
อาจารย์อยู่เฉย ๆ เถอะนะขอรับ ” “ ถ้าเป็นความต้องการของเจ้าก็เอาเถอะ ”
 
พระโพธิสัตว์ได้ร่ำเรียนสรรพวิชาจนแตกฉานจากสำนักตักศิลา
 
พระโพธิสัตว์ได้ร่ำเรียนสรรพวิชาจนแตกฉานจากสำนักตักศิลา
 
       อยู่มาวันหนึ่งหลังจากที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์บริโภคอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก็นอนพักผ่อนเหนือเตียงนอน ได้ กล่าวกับมานพนั้นผู้ทำการนวดมือเท้าและหลังให้ว่า
“ ก่อนที่เจ้าจะออกไปช่วยหนุนเท้าเตียงให้อาจารย์ก่อน นะเจ้า ” “ ขอรับท่านอาจารย์ ” มานพหาของที่มาหนุนเท้าเตียงได้เพียงข้างเดียว
 
พระโพธิสัตว์ได้เป็นอาจารย์สอนในสำนักทิศาปาโมกข์
 
พระโพธิสัตว์ได้เป็นอาจารย์สอนในสำนักทิศาปาโมกข์
  
        ด้วยความอับปัญญาจึงไม่สามารถหาของที่จะมาหนุนเท้าเตียงอีกข้างหนึ่งได้ จึงใช้ขาของตนหนุนเท้าเตียงไว้ตลอดทั้งคืน “ แย่แล้วขาเตียงยังเหลืออีกข้าง
แล้วเราจะเอาอะไรหนุนดีละนี่ ไม่เห็นมีอะไรให้หนุนได้เลย อ้อนึกออกแล้ว ก็ใช้ขาของเรานี่ไง นี่ๆ ๆ เอารองไว้อย่างนี้ก็ได้แล้วนี่ ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ยเรา ”
 
มานพปัญญาทึบผู้หนึ่งคอยปรนนิบัติบีบนวดอาจารย์ทิศาปาโมกข์    

มานพปัญญาทึบผู้หนึ่งคอยปรนนิบัติบีบนวดอาจารย์ทิศาปาโมกข์
 
        ในตอนเช้าอาจารย์ทิศาปาโมกลุกตื่นมาเห็นศิษย์ทึ่มของตนนั่งอยู่ไม่จากไปไหนจึงถามว่า “ เจ้ามานั่งอยู่นี่ทำไมเล่า ” “ ท่านอาจารย์ขอรับกระผมหาอะไรหนุนเตียง
ไม่ได้ ก็เลยเอาขาตัวเองหนุนไว้ จึงนั่งอยู่ขอรับท่านอาจารย์ ” เมื่ออาจารย์ได้ยินดังนั้นก็เกิดความรู้สึกสลดใจยิ่งนัก “ ศิษย์ผู้นี้ช่างมีอุปการะคุณแก่เรายิ่งนัก
 
มานพปัญญาทึบได้ใช้ขาของตนเองหนุนเท้าเตียงไว้ตลอดทั้งคืน
 
มานพปัญญาทึบได้ใช้ขาของตนเองหนุนเท้าเตียงไว้ตลอดทั้งคืน
  
       ในกลุ่มศิษย์ทั้งหลายของเราก็มีเจ้าคนนี้นี่แหละที่มีปัญญาทึบที่สุดไม่อาจจะศึกษาศิลปวิทยาการต่าง ๆ ได้เลย เฮ้อ ทำอย่างไรเล่าหนอ เราจึงจะทำให้เขาฉลาด
ขึ้นมาได้ ” อาจารย์ครุ่นคิดหาวิธีการที่จะสั่งสอนให้ศิษย์ผู้นี้มีความฉลาดขึ้นด้วยความเมตตา ครั้นแล้วก็ได้เกิดความคิดขึ้นว่า “ ใช่แล้ว มีอุบายอยู่อย่างหนึ่งจากนี้ไป
 
มานพผู้มีปัญญาทึบไม่สามารถศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาการต่างๆ ได้
 
มานพผู้มีปัญญาทึบไม่สามารถศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาการต่างๆ ได้
 
        เราต้องคอยถามมานพนี้ ผู้ไปหาฟืนหาผักมาแล้ว ว่าวันนี้จะเจ้าได้เห็นอะไร เจ้าได้ทำอะไรบ้าง เป็นเช่นนี้เขาจะได้บอกแก่เราว่า วันนี้ได้เห็นสิ่งชื่อนี้ ทำกิจชื่อนี้
ครั้นแล้วเราก็ต้องถามเขาต่อไปว่า ที่เจ้าเห็นที่เจ้าทำเช่นอะไร เขาจะบอกโดยอุปมาและโดยเหตุผลว่าอย่างนี้ ด้วยวิธีนี้ เราให้เขากล่าวอุปมาและเหตุแล้ว
จะทำให้เค้าฉลาดขึ้นได้อย่างแน่นอน ”
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์พยายามคิดหาวิธีการเพื่อที่จะสอนให้ศิษย์ปัญญาทึบของตนมีความฉลาดขึ้น
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์พยายามคิดหาวิธีการเพื่อที่จะสอนให้ศิษย์ปัญญาทึบของตนมีความฉลาดขึ้น
 
       ด้วยอุบายนี้ท่านอาจารย์จึงเรียกเขามา แล้วบอกแก่เขาว่า “ ตั้งแต่บัดนี้ไป ในที่ที่เจ้าไปหาฟืนและก็หาผัก เจ้าได้เห็น ได้กิน ได้ดื่ม หรือได้เคี้ยวสิ่งใดในที่นั้น
เจ้าต้องบอกสิ่งนั้นแก่อาจารย์ทุกครั้งนะเจ้า เข้าใจไหม ” “ ขอรับท่านอาจารย์ ” วันหนึ่งอาจารย์พาศิษย์ทั้งหลายเข้าไปในป่าเพื่อหาฟืน 
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้คิดหาวิธีที่จะสอนศิษย์ปัญญาทึบของตนออกในที่สุด
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้คิดหาวิธีที่จะสอนศิษย์ปัญญาทึบของตนออกในที่สุด
 
        ในขณะที่กำลังเก็บฟืนอยู่นั้น เขาก็เห็นงูหัวหนึ่งกำลังเลื้อยอยู่ จึงระลึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ ครั้นมาแล้วก็รีบไปบอกกับอาจารย์ของตนว่า “ ท่านอาจารย์ขอรับ
กระผมเห็นงูขอรับ ” “ เจ้าเห็นงูอย่างนั้นรึ แต่ขึ้นชื่อว่างู เจ้าคิดว่างูนั้นเหมือนอะไรเล่า ” “ มันเหมือนงอนไถขอรับท่านอาจารย์ ” 
 
ศิษย์ปัญญาทึบได้เจองูตัวหนึ่งในขณะที่กำลังหาฟืนอยู่
 
ศิษย์ปัญญาทึบได้เจองูตัวหนึ่งในขณะที่กำลังหาฟืนอยู่
 
        ( “….ดีแล้วล่ะ ดูท่าว่าวิธีการของเราน่าจะได้ผลซะแล้ว มานพผู้นี้รู้จักอุปมาอุปไมยงูเหมือนงอนไถ ช่างน่าพอใจยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เขาก็คง
ฉลาดขึ้นแน่ ๆ  ” ) ต่อมามานพผู้นี้ได้ไปพบเห็นช้างป่า ก็นำมาบอกแก่อาจารย์ “ ท่านอาจารย์ขอรับ วันนี้กระผมไปเห็นช้างมาขอรับ ”
 
 
มานพผู้ปัญญาทึบได้บอกอาจารย์ว่าตนไปเจองูในขณะที่กำลังหาฟืน
 
มานพผู้ปัญญาทึบได้บอกอาจารย์ว่าตนไปเจองูในขณะที่กำลังหาฟืน
 
       “ เจ้าไปเห็นช้างมาอย่างนั้นรึ แล้วเจ้าว่าช้างเหมือนอะไรเล่า ” “ ช้าง ๆ ๆ อ่อ คิดออกแล้ว ช้างก็เหมือนงอนไถ่ขอรับท่านอาจารย์ ” “ งอนไถเหรอ อือ สงสัยคงจะ
หมายถึงงวงช้างนั่นเอง เริ่มจะฉลาดขึ้นมาแล้ว ” อาจารย์ทิศาปาโมกดำริแล้วว่างวงช้างหรืองาก็มีลักษณะเหมือนงอนไถ่จริง
 
มานพผู้ปัญญาทึบได้ไปพบเจอช้างในป่าใหญ่
 
มานพผู้ปัญญาทึบได้ไปพบเจอช้างในป่าใหญ่
 
        อย่างที่มานพนั้นกล่าว แต่แท้ที่จริงแล้วมานพผู้นี้ไม่อาจจำแนกกล่าวได้ว่าส่วนใดของช้างที่มีลักษณะคล้ายงอนไถ่อย่างที่ตอบไป เพราะตนเป็นคนปัญญาทึบ
นั่นเอง ชะรอยจะพูดหมายเอางวงช้าง เมื่อเห็นอาจารย์ไม่ได้กล่าวท้วงติงก็คิดว่าตอบถูกแล้วก็นิ่งไว้ “ ไชโย ๆ เราตอบถูกอีกแล้ว ภูมิใจจริง ๆ เลย ”
 
มานพผู้ปัญญาทึบบอกอาจารย์ของตนไปว่าช้างมีลักษณะเหมือนงอนไถ
 
มานพผู้ปัญญาทึบบอกอาจารย์ของตนไปว่าช้างมีลักษณะเหมือนงอนไถ

       อยู่มาวันหนึ่งมีชาวบ้านมาเชิญมานพผู้นี้ไปที่บ้านแล้วได้ให้อ้อยแก่มานพนั้น “ ท่านมานพ เชิญทานอ้อยนี้ตามสบายเถิด ” “ ขอบใจท่านมากนะ อือ หวานจังอร่อยดี
เดี๋ยวกินอ้อยเสร็จเราจะไปรายงานท่านอาจารย์ดีกว่า หือ ชานอ้อยติดฟัน ” “ ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ วันนี้กระผมได้เคี้ยวอ้อย อร้อย อร่อยขอรับท่านอาจารย์ ”

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้นึกถึงคำของศิษย์ที่เปรียบว่าช้างเหมือนงอนไถ
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้นึกถึงคำของศิษย์ที่เปรียบว่าช้างเหมือนงอนไถ
 
       “ แล้วอ้อยนั้นเหมือนอะไรละเจ้า ” “ อ้อยนี่ก็เหมือนงอนไถยังไงละขอครับท่านอาจารย์ ” “ แล้วเหมือนงอนไถ่ยังไงละ ไหน เจ้าลองอธิบายให้อาจารย์ฟังหน่อยสิ ”
“ อ้อยมันก็ยาว ๆ เหมือนงอนไถ่ขอรับท่านอาจารย์ ” อีกวันหนึ่งมานพผู้นี้ก็ได้รับเชิญไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง บางหมู่ได้บริโภคน้ำอ้อยกับนมส้ม บางหมู่บริโภคน้ำอ้อย
กับนมสด เมื่อกลับมาถึงสำนัก มานพนั้นจึงกลับรายงานอาจารย์
 
ชาวบ้านได้มอบอ้อยให้แก่มานพผู้ปัญญาทึบได้ทาน
 
ชาวบ้านได้มอบอ้อยให้แก่มานพผู้ปัญญาทึบได้ทาน

       “ ท่านอาจารย์ขอรับวันนี้กระผมได้บริโภคทั้งนมส้มและนมสดขอรับ ” “ แล้วนมส้มและนมสดนั้นเหมือนอะไรละเจ้า ” “ ก็เหมือนงอนไถ่อย่างไรเล่าขอรับ ” เมื่อได้ฟัง
ดังนั้นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็รู้สึกประหลาดใจ “ มานพนี้เมื่อกล่าวว่างูเหมือนงอนไถ่ ก็กล่าวถูกต้องก่อนแล้ว แม้กล่าวว่าช้างเองก็เหมือนงอนไถ ก็คงพอจะกล่าวได้
ด้วยเล่ห์ที่หมายเอางวงช้าง

มานพผู้ปัญญาทึบได้บริโภคนมส้มและนมสด
 
มานพผู้ปัญญาทึบได้บริโภคนมส้มและนมสด
 
       แม้กล่าวว่าอ้อยเหมือนงอนไถ่ก็ยังพอเข้าท่า แต่นมส้มนมสดขาวอยู่เป็นนิจทรงตัวอยู่ได้ด้วยภาชนะ ไม่น่าจะกล่าวอุปมาในข้อนี้ได้โดยประการทั้งปวงเลย
เราไม่อาจให้คนเลื่อนเปื้อนผู้นี้ศึกษาได้อีกเสียแล้ว เฮ้อ ”
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้พิจารณาว่าศิษย์ของตนไม่สามารถเล่าเรียนศิลปวิทยาต่อไปได้อีกเหตุเพราะปัญญาทึบ
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้พิจารณาว่าศิษย์ของตนไม่สามารถเล่าเรียนศิลปวิทยาต่อไปได้อีกเหตุเพราะปัญญาทึบ
 
       เมื่อดำริได้ดังนั้นอาจารย์ทิศาปาโมกจึงบอกกล่าวแก่พวกอันเตวาสิกทั้งหลายเก็บเสบียงแล้วส่งมานพนั้นกลับไป “ คนโง่ย่อมกล่าวคำที่ไม่ควรกล่าวทุกอย่าง
ได้ในที่ทุกแห่ง คนโง่นี้ไม่รู้จักเนยข้นและงอนไถย่อมสำคัญ เนยข้นและนมสดอุปมาว่าเหมือนงอนไถ่ ฉะนั้นแล ”

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้ส่งศิษย์ปัญญาทึบกลับไปยังบ้านที่จากมา
 
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้ส่งศิษย์ปัญญาทึบกลับไปยังบ้านที่จากมา
 
 
ในพุทธกาลนั้น มานพผู้เลื่อนเปื้อน กำเนิดเป็น พระโลลุทายี
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ เสวยพระชาติเป็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
 
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
กูฏวาณิชชาดก ชาดกว่าด้วยหนามยอกเอาหนามบ่งกูฏวาณิชชาดก ชาดกว่าด้วยหนามยอกเอาหนามบ่ง

อนุสาสิกชาดก ชาดกว่าด้วยเรื่องดีแต่พูดอนุสาสิกชาดก ชาดกว่าด้วยเรื่องดีแต่พูด

สุราปานชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการดื่มสุราสุราปานชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการดื่มสุรา



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

นิทานชาดก 500 ชาติ