ชาดก 500 ชาติ
สัมโมทมานชาดก-ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
สมัยพุทธกาลซึ่งมีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์
กาลครั้งนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ยังวัดนิโครธารามกรุงกบิลพัสดุ์ทรงสดับเหตุร้ายอันบังเกิดขึ้น ณ ชายแดน
ระหว่างกบิลพัสดุ์อันเป็นนครของพระราชบิดากับเทวทหะนครของพระราชมารดา อาณาเขตของนครเทวทหะและนครกบิลพัสดุ์
นี้ช่วงหนึ่งถูกแบ่งกั้นไว้ด้วยลำธารเล็ก ๆ ที่แยกมาจากแม่น้ำโรหิณีเท่านั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ยังวัดนิโครธารามกรุงกบิลพัสดุ์
แต่เดิมชาวนครทั้งสองใช้ลำธารนี้ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขสืบต่อกันมานานปี “ วันนี้ได้อะไรมาทำอาหารหรือสหาย ดูมากมายจัง ”
“ ก็เผือกมันเช่นเคยละเพื่อนเอ้ย แล้วเจ้าล่ะ ” “ วันนี้โชคดี หาปลาได้เยอะเลยหล่ะ ” จนกระทั่งมีอาเพศเหตุร้ายเกิดขึ้น
แม่น้ำสายเล็กซึ่งเป็นแดนกั้นระหว่างนครกบิลพัสดุ์และนครเทวทหะ
อยู่ ๆ น้ำในลำธารก็ลดระดับลงวูบ ๆ ไม่กี่วันต่อมาก็แห้งขอดเหลือติดก้นลำธารอยู่ไม่มากมายนัก พืชไร่ข้าวกล้าพากันแห้งตาย ฝูงสัตว์เลี้ยง
เริ่มล้มป่วยด้วยการขาดน้ำ ชาวเมืองสองฝั่งลำธารก็พากันมารอตักน้ำที่เหลือน้อยนิดนั้นไปดื่มกินอย่างกระเบียดกระเสียร
ชาวบ้านต่างพากันมาตักน้ำในลำธารซึ่งกำลังจะแห้งขอด
“ เอา รีบตักเร็ว ๆ เข้าเถอะพวกเทวทหะฝั่งโน้นมาแย่งน้ำหมดแล้ว ” “ ได้น้ำมากพอแล้วจ๊ะ แต่มันหนักจัง หึบ อึ๊บ ” “ เจ้ายกไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน
เดี๋ยวพี่ตักอีกโอ่งหนึ่งเต็มแล้วจะไปช่วยยกนะ ” เป็นธรรมดาของโลกเมื่อสิ่งใดมีน้อยแต่เป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก การแก่งแย่งย่อมเกิดขึ้น
ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้สร้างฝายกั้นน้ำเก็บน้ำเอาไว้ใช้สำหรับพวกของตน
แล้วชนวนวิวาทก็ปรากฎชัดเมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มถือสิทธิ์เอาน้ำในลำธารเป็นของฝ่ายตนก่อน “ เฮ้ย กั้นน้ำไว้ใช้เองอย่างนี้มันเห็นแก่ตัวนี่น่า ” “ ใช่ ๆ ๆ ขโมย
ไปใช้ฝ่ายเดียวอย่านี้พวกเราก็แย่ ” “ อย่างนี้ยอมไม่ได้นะพวกเรา เอ้า รื้อไอ้ฝายกั้นน้ำออกเดี๋ยวนี้ ” “ แน่จริงก็ข้ามมารื้อสิ พ่อจะล่อให้น่วมเลย ”
ชาวบ้านทั้งสองเมืองทะเลาะกันเรื่องฝายกั้นน้ำ
“ ใช่ พากันกลับไปซะจะดีกว่า อดน้ำตายก็ดีกว่าโดนกระบองนะเว้ย ” “ เฮ้ย พวกเรา อย่ายอมให้มันรื้อฝายของพวกเรานะเว้ย เฮ้ย ลุยเลยดีกว่าเว้ย ”
เหตุการณ์ทำท่าจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ ผู้นำชาวบ้านทั้งฝ่ายเทวทหะและฝ่ายกบิลพัสดุ์จึงเปิดเจรจากันแต่ก็ดูจะไม่มีอะไรดีขึ้น
ผู้นำฝ่ายเทวทหะได้มาคุยกับชาวเมืองกบิลพัสดุ์ให้รื้อฝายกันน้ำ
“ ตกลงขอกันดี ๆ ไม่ได้ใช่ไหม นี่ไม่ยอมกลับไปจริง ๆ หรือนี่ ช่างดื้อรั้นเหมือนราชาของเจ้าเลยนะ ” “ เจ้ากล้าดียังไงมาล่วงเกินถึงราชาของเรา ”
“ ทำไมข้าจะไม่กล้าราชาของแกมีอะไรดีงั้นรึ ” “ อย่าลบหลู่กษัตริย์ข้านะโว้ย กษัตริย์กบิลพัสดุ์ของเจ้าก็ไม่ดีสักเท่าไหร่เหมือนกัน ”
ผู้นำชาวบ้านทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันเรื่องน้ำในลำธาร
“ เจ้าเอาที่ไหนมาว่า หะ ” “ ก็พระราชวงศ์ทั้งสองเป็นพระญาติกันหากทางข้าไม่ดี ทางแกจะดีไปได้ยังไงโง่จริง ๆ ” “ เฮ้ย แกกล้าด่าข้าว่าโง่รึ ”
“ เจ้าก็โง่เหมือนกันนั่นแหละ ” “ เจ้านั่นแหละโง่ ” ชาวนครทั้งสองถึงกับข้ามแม่น้ำมาลงไม้ลงมือต่อสู้กันอยู่หลายวันกัน
ผู้นำชาวบ้านแห่งนครกบิลพัสดุ์และนครเทวทหะได้ต่อสู้กันเพราะตกลงเรื่องแบ่งน้ำกันไม่ได้
ร้อนถึงเสานบดีและอำมาตย์ของกบิลพัสดุ์และเทวทหะต้องเข้ามาห้ามปราม “ พวกเจ้าหยุดก่อนเถอะ เรียกเสนาบดีฝ่ายเจ้ามาตกลงกันโดยดีเถอะ ”
เมื่ออำมาตย์ทั้งสองเมืองได้มาเจรจากัน แต่ไม่ลดราความถือดีในตนเองลงจึงไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติเหมือนเดิม
เสนาบดีทั้งสองนครได้เจรจากันเรื่องการแบ่งน้ำในลำธาร
“ ก็ท่านมันโลภเห็นแก่ชาวกบิลพัสดุ์มากไปไม่ยอมรื้อฝายกันน้ำออก เทวทหะเราก็แห้งแล้งจะให้นั่งดูพวกท่านชุ่มฉ่ำกันอย่างนั้นรึ ” “ ก็ชาวบ้านของเรา
มากกว่า เราก็ต้องได้ใช้น้ำก่อน เมื่อพวกเราได้น้ำจนพอใจแล้ว จึงจะยอมรื้อฝายกั้นน้ำออกให้เองแหละ ” “ ท่านจะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก
พระราชาแห่งเทวทหะไม่พอพระทัยกับเหตุการณ์การแย่งน้ำที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
ถึงราษฎรเราจะน้อยกว่าแต่เราก็จำเป็นต้องใช้น้ำเหมือนกัน ” “ หึ คุยกันอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์เปลืองน้ำลายเปล่า ๆ เฮ้อ ” “ ข้าก็ไม่อยากคุย
ให้เสียเวลาเหมือนกัน ” คนระดับบริหารทั้งสองปรองดองกันไม่ได้ เมื่อไม่สมความตั้งใจพวกเขาเกือบชักอาวุธประหารกันในตอนนั้น
พระราชาแห่งกบิลพัสดุ์ก็โกรธแค้นในการถูกหยามพระเกียรติเช่นกัน
ยังดีที่ต่างก็สูงอายุ ยังมีความความยั้งคิดผิดชอบชั่วดีจึงไม่มีการนองเลือด “ กลับไปเสียเถอะเสนาบดีไปยกทัพกบิลพัสดุ์พากษัตริย์เจ้ามา
น่าจะสมศักดิ์ศรีกว่านี้นะ ” “ ได้ รบกันไปเลยจะได้รู้ดำรู้แดงกันสะที ” ในที่สุดเรื่องแบ่งน้ำกันใช้ก็กลายเป็นศึกใหญ่ที่มีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน
กองทัพของกรุงเทวทหะได้เคลื่อนทัพมายังชายแดนซึ่งเป็นเขตแบ่งกั้นหระหว่างเมืองทั้งสอง
เพราะในเรื่องพระเกียรติยศและศักดิ์ศรีแล้วราชาถือเป็นเรื่องสูงสุดจะยอมให้ใครหยามไม่ได้เลย “ จัดทัพ เราจะข้ามแม่น้ำโรหิณีไปสั่งสอนเทวทหะ
เคลื่อนทัพเราจะให้ชาวกบิลพัสดุ์สำนึกผิดขอขมาเราให้ได้ ” และแล้วเรื่องไม่น่าจะเกิดก็บังเกิด ณ บัดนั้นชายแดนกบิลพัสดุ์ก็เต็มไปด้วยพยุหพลไกร
กองทัพแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ได้ยกทัพมาประชิดชายแดนเพื่อต่อสู้กับกองทัพของนครเทวทหะ
แห่งทัพเทวทหะพระญาติฝ่ายพระมารดาสิริมหามายาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ พวกเรา ลุย ” และที่ประจันหน้าอันเป็นแนวยาวตลอดลำน้ำ
อันเป็นพรมแดนคือทัพกระบิลพัสดุ์พระประยูรญาติฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระพุทธองค์เช่นกัน “ เราให้โอกาสสุดท้ายแก่ท่าน
ก่อนตะวันตรงหัวให้พากันกลับไปให้หมดเพราะหลังจากเวลานั้นท่านจะโดนทัพกบิลพัสดุ์ขยี้ไม่เหลือซากแน่ ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จมาห้ามทัพทั้งสองเมืองซึ่งเป็นพระประยูรญาติของพระองค์
เหตุร้ายนั้นปรากฎแจ้งแก่พระพุทธองค์ทั้งสิ้นจึงเสด็จมาชายแดนประทับอยู่กลางกองทัพทั้งสองฝ่าย ทั้งสองกองทัพต่างกราบทูลข้อขัดแย้งให้ร้ายกัน
และกันว่าแย่งน้ำในลำธารไปใช้ พระพุทธองค์จึงตรัสถามให้สติ “ ดูก่อนมหาบพิธระหว่างน้ำกับเลือดสิ่งไหนมีค่ามากกว่ากัน ” “ เลือดมีค่ามากกว่าน้ำ
พระพุทธเจ้าค่ะ ” “ เป็นดังนั้นมหาบพิธ โดยเฉพาะเป็นเลือดพระประยูรญาติกันเองด้วยแล้ว ไฉนต้องมาหลั่งรินแลกกับน้ำด้วยเล่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า สัมโมทมานชาดก แก่พระราชาและเหล่าทหารทั้งสองฝ่าย
ขึ้นชื่อว่าการทะเลาะวิวาทนั้นไม่ควรให้เกิดขึ้นในหมู่ญาติเลย ในกาลก่อนแม้สัตว์เดรัจฉานเมื่อมีความสามัคคีปรองดองกันก็ยังสามารถพ้นภัย
แก่ศัตรูได้ แต่ครั้นทะเลาะเบาะแว้งกันความพินาศวอดวายก็มาถึง ” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ
ตรัสเล่าสัมโมทมานชาดก ดังนี้
พญานกกระจาบได้อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ชายแดนนครพาราณสี
ในอดีตกาลป่ากว้างใหญ่ที่รายรอบมหานครพาราณสีนครหลวงแห่งแคว้นกาสีมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก มีพญานกกระจาบคุมบริวารนับพันตัว
ท่องเที่ยวหากินอยู่ในป่านี้อย่างผาสุขตลอดมา “ ผู้นำเรานี่เท่จริง ๆ เลย สง่างามเป็นที่สุด ” “ ใช่ ใช่ ใช่ ท่านเก่งแล้วก็ฉลาดมากด้วย เชื่อท่าน
ก็จะปลอดภัยนะเธอ ” “ พวกเจ้าจงหากินอย่างระมัดระวังตัวไว้ด้วย
พญานกกระจาบและบริวารนับพันตัวได้อาศัยอยู่ในป่าด้วยกันอย่างมีความสุข
หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ก็จงใช้สติแก้ไขจะนำพาตนเองและหมู่คณะให้ปลอดภัยได้ ” อยู่มาวันหนึ่งกรรมบันดาลให้มีพรานล่านกผ่านมาพบ
กับนกกระจาบฝูงนี้เข้า “ ฮะฮ่า แจ่มไปเลย จับไปขายเป็นเดือน ๆ ก็ไม่หมด สบายข้าล่ะ ” นายพรานจัดเตรียมหาลานกว้างเหมาะ ๆ
นายพรานล่านกได้ผ่านมาเจอกับฝูงนกกระจาบในป่าใหญ่
ขึงตาข่ายแล้วโปรยเมล็ดพืชล่อไว้บนพื้นแล้วซ่อนตัวหลังต้นไม้ จากนั้นก็เป่าปากเลียนเสียงนกกระจาบลวงให้หมู่นกเชื่อสนิทใจ พรานนก
ผู้มีความอดทนสูงรอคอยเวลาได้ครั้งละนาน ๆ กว่าที่นกบนต้นไม้จะหลงกลคิดว่ามีนกพวกเดียวกันร้องเรียกให้ลงมากินอาหาร “ อุ๊ย ลงมาจ้า
บินลงมากินกันเยอะๆ เออ ๆ อย่างนั้น ๆ เลย ”
นานพรานได้ขึงตาข่ายดักนกกระจาบ
แล้วเหล่าฝูงนกกระจาบก็หลงกลพรานป่าต่างแห่กันลงมาจากต้นไม้จิกกินเมล็ดพืชอย่างมีความสุข ทันทีที่นกกระจาบพากันลงมารวมกัน
ที่พื้นตามต้องการพรานก็ปล่อยตาข่ายลงมาอย่างรวดเร็ว “ โอ๊ะ อะไรนี่ ” “ เราโดนตาข่าย ” หลังจากวันนั้นนายพรานก็มาดักจับนกไปได้ทุกวัน
ฝูงนกกระจาบได้บินลงมากินเมล็ดพืชที่นายพรานได้โปรยไว้ที่พื้น
จนนกกระจาบร่อยหรอลงไปมาก “ นกตัวน้อยตัวนิด ฮะ นกตัวน้อยตัวนิด ฮะฮ่า พากันหลงกลข้าไปหมดเลย หวานหล่ะ ” พญานกกระจาบ
เมื่อรู้ข่าวนี้ก็พยายามหาทางช่วยบริวารของตนอย่างเร่งรีบ วันหนึ่งก็คิดหาวิธีออกจึงเรียกประชุมใหญ่ฝูงนกกระจาบทั้งป่า “ จำไว้ให้ดีนะ
ฝูงนกกระจาบได้บินลงมากินเมล็ดพืชตรงที่นายพรานขึงตาข่ายดักเอาไว้
ครั้งต่อไปหากพวกเธอถูกตาข่ายคลุมไว้จงตั้งสติให้มั่นช่วยกันยกตาข่ายไปทิ้งให้ได้ ด้วยการเอาหัวสอดในช่องขาข่ายตัวละช่อง แล้วบินขึ้น
พร้อม ๆ กัน เอาตาข่ายไปทิ้งบนยอดไม้สูง เมื่อทำตามแผนนี้แล้ว พวกเธอก็จะปลดตัวเองลงมาอย่างเป็นอิสระโดยง่าย ” วันต่อ ๆ มาเมื่อพรานนก
ฝูงนกกระจาบจำนวนมากได้ติดตาข่ายของนายพราน
ปล่อยตาข่ายลงมาคลุมอีกนกกระจาบก็พร้อมใจกันบินขึ้นยกเอาตาข่ายไปทิ้งบนยอดไม้ตามคำแนะนำของพญานกเสมอ “ มาเร็วพวกเราช่วยกันยก
หนึ่ง สอง สาม ” “ เฮ้ย เย้ ๆ ๆ มันเริ่มขึ้นแล้ว ดีใจจัง ” “ รอดแน่ ๆ พวกเรา ช่วยกันเร็ว เฮ ” ระยะหลัง ๆ นายพรานเลยจับนกไม่ได้แม้สักตัวเดียว
นานพรานดักนกกระจาบกลับไปได้เป็นจำนวนมาก
ต้องกลับบ้านไปมือเปล่าทุกครั้ง “ เฮ้ย เสียอารมณ์จริง ๆ จับไม่ได้สักตัว มิหนำซ้ำตาข่ายยังไปติดกับกิ่งไม้ข้างบนอีก ” แต่เขาก็ไม่ท้อถอย
ยังคงนำตาข่ายมาวางกับดักล่อไว้เหมือนเคย “ สักวันหนึ่งพวกแกก็ต้องทะเลาะกัน เมื่อนั้นแหละนกเอ๋ย แกต้องแตกสามัคคีไม่มีปัญญา
พญานกกระจาบได้สอนวิธีเอาตัวรอดเวลาติดตาข่ายนายพรานให้กับนกบริวารของตน
หอบตาข่ายหนีไปได้อีกแน่ ” ดังที่นายพรานคิด อีกไม่ช้านานนกกระจาบสองกลุ่มก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ “ เจ้านี่ซุ่มซ่ามจริง ๆ
ไม่มีสัมมาคารวะไม่รู้จักอาวุโสบินมาเหยียบหัวพี่ได้ไง แถมยังไม่ขอโทษอีก ” “ แค่นี้ต้องขอโทษด้วยเหรอ ก็ตาข้าไม่ได้อยู่ตรงเท้า
ฝูงนกกระจาบต่างพร้อมใจกันบินเอาตาข่ายขึ้นไปยังที่สูง
สักหน่อยจะเห็นหัวพี่ได้ไงเล่า ” “ ตัวแค่นี้ ซ่านักนะเจ้า ” “ ซ่าไม่ซ่าโซดาก็เรียกพี่แล้วกัน ” เมื่อเกิดปัญหาขัดแย้งเช่นนี้นกกระจาบทั้งฝูง
ก็เริ่มแบ่งฝ่ายตั้งป้อมจับผิดกันและกัน ความหายนะเริ่มก่อรูปร่างขึ้นแล้วบนความไม่สบายใจของพญานกซึ่งพยายามไกล่เกลี่ยให้รอมชอม
ฝูงนกได้บินเอาตาข่ายของนายพรานขึ้นไปแขวนไว้บนกิ่งไม้
สมานฉันท์ซึ่งก็ดูจะไร้ผล “ พวกเจ้าอีกแล้วหรือนี่บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าต้นไม้ต้นนี้มันเป็นของพวกพี่ ” “ อ้าว จะมาจับจองเองได้ยังไง ข้าก็เป็นนก
ในป่านี้เหมือนกันก็ย่อมมีสิทธิ์อยู่ต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ” “ เถียงคำไม่ตกฟากเชียวนะ ” “ ท่านนั้นแหละ ปากว่าตาขยิบ ” “ ปากว่าตาขยิบ มันเกี่ยวได้ไง
นกกระจาบจำนวนหนึ่งได้เกิดการทะเลาะกันถึงขั้นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
เจ้าเถียงมั่วเปล่านี่ ” “ เออน่าเถียง ๆ ไปก่อน เอาเสียงดังเข้าว่าก็พอ ” “ พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเลย อยู่ป่าเดียวกันก็ต้องรักกัน หนักนิดเบาหน่อย
ก็ให้อภัยกันเถอะ ” “ ไม่ได้หรอกพญานกของอย่างนี้มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรียอมไม่ได้ ” “ เราก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน ”
พญานกกระจาบได้เตือนให้นกทั้งหลายมีความสามัคคีปรองดองกัน
ไม่ว่าพญานกจะพยายามไกล่เกลี่ยเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล บริวารก็ยังดื้อรั้นไม่ยอมฟัง ขึ้นชื่อว่าการทะเลาะกันหากเกิดขึ้นที่ใดที่นั่นย่อมไม่มี
ความปลอดภัย ต่อไปความพินาศจะเกิดแก่นกทั้งหลายเป็นแน่ “ วันหน้ายังไงก็ชั่งเถอะ แต่วันนี้ข้าต้องเอาเลือดหัวเจ้านกซ่านี่ออกให้ได้ ”
พญานกกระจาบได้พาฝูงบริวารที่เชื่อฟังตนย้ายไปอยู่ที่ป่าแห่งใหม่
“ ข้าเตือนแล้ว พวกเจ้าไม่ฟังเองนะ จะขัดแย้งรอหายนะเช่นนี้ก็ตามใจพวกเจ้าเถอะ ” พญานกมองกาลไกลเช่นนั้นแล้วจึงพานกบริวารนก
ที่เชื่อฟังแยกฝูงจากไปที่อื่น “ ไปกับพญานกดีกว่าอยู่นี่ไม่ปลอดภัยแน่ ๆ ” หลังจากนั้นไม่นานนกกระจาบที่เหลือก็ถูกทอดตาข่ายจับได้ไม่เว้น
แต่ละวันเพราะแม้ติดตาข่ายอยู่ก็มักทะเลาะกันไม่เลิก
กลุ่มนกกระจาบที่ทะเลาะกันต่างพากันมากินเมล็ดพืชที่นายพรานวางล่อไว้
“ ไหนคุยว่าเก่งนักก็ยกตาข่ายไปทิ้งสิ ” “ เจ้านกบ้านี่ใครจะยกตัวเดียวไหวล่ะหนักจะตาย ” “ ชิ ชิ ชิ ขอร้องข้าก่อนซิ แล้วข้าจะช่วยเจ้ายก ” “ ไม่มีทาง
ข้าไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีหรอก ” “ อย่าเถียงกันเลย ประเดี๋ยวเมียข้าก็จับถอนขนเหมือนกันหมดแหละ ฮะ ฮ่า ฮ้า ” “ ก็มัวแต่พูดอยู่นั้นแหละ ช่วยกันยกหน่อยสิ ”
ฝูงนกไร้ความสามัคคีมัวแต่ทะเลาะกันเลยถูกนายพรานจับไปได้ทั้งหมด
“ ก็มันยกไม่ไหวเนี่ย คราวนี่ไม่รอดแน่ ๆ ” จากบัดนั้นเป็นต้นมาป่าใหญ่รอบ ๆ เมืองพาราณสีก็ไม่มีฝูงนกกระจาบอีกต่อไป พระพุทธองค์ตรัสสัมโมทมานชาดก
แล้วทรงให้โอวาทแก่ประยูรญาติทั้งสองฝ่ายว่า “ การทะเลาะวิวาทกันในระหว่างญาตินั้นไม่สมควรเลย เพราะการทะเลาะวิวาทเป็นมูลเหตุแห่งความพินาศสถานเดียว ”
ต่อมาในพุทธกาลสมัย
นกกระจาบพาลหาเรื่อง กำเนิดเป็น พระเทวทัต
พญานกกระจาบ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
สมฺโมทมานา คจฺฉนฺติ ชาลมาทาย ปกฺขิโน
ยทา เต วิวทิสฺสนฺติ ตทา เอหินฺติ เม วสํ
นกทั้งหลายมีความพร้อมใจกัน
จึงหอบเอาตาข่ายไปได้
เมื่อใดมันทะเลาะกัน
เมื่อนั้นมันจักตกอยู่ในอำนาจของเรา