Case study
สังขารดับ แต่ใจยังอาวรณ์
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
ออกอากาศครั้งแรก วันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2546
กล่าวถึงนักธุรกิจผู้ใจบุญท่านนี้ เนื่องจากใจยังพัวพันอยู่กับครอบครัว ดังนั้น บริวารที่เตรียมเทวรถ จึงยังลงมาไม่ได้ ต้องมีจังหวะบุญพอเหมาะ ความสว่างของบุญเต็มที่แล้ว พอเหมาะพอดีถึงจะดึงดูดลงมาได้ ในวันที่ ๑๗ นั้น เรืองๆ แค่นั้นเอง เพราะใจยังผูกพันอยู่ ผ่านมาได้ ๕ วัน ความผูกพันนั้นเริ่มคลายตัวลง
ที่คลายตัวลงเพราะว่าคู่ชีวิตเทพธิดาในเมืองมนุษย์ ได้ทำตามคำแนะนำของกัลยาณมิตรว่า อย่าไปร้องห่มร้องไห้อาลัยอาวรณ์ เท่ากับไปหน่วงเขาเอาไว้ แทนที่จะหมดห่วงหมดกังวลแล้วไปสู่สุคติ เขาก็จะผูกพันพัวพันอยู่ตรงนี้
อย่าร้องไห้ ให้บอกเขาไปเลยว่า อย่าห่วงกังวลเลย ลูก ๒ คนจะดูแลให้ดี เลี้ยงดูอย่างดีให้เป็นลูกที่ดีมีคุณธรรม อะไรต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้ความผูกพันของเขาก็คลายตัวลง จิตที่ห่วงใยเริ่มคลาย แม้ว่าไม่หมด เป็นที่น่าสังเกตคือเวลาจิตคลายตัวจากความห่วงใย ใจจะสว่างขึ้นกว่าเดิม พลอยให้กายสว่างเพิ่มขึ้นอีก แต่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว เป็นกลางๆ นิ่ง ๆ เป็นปกติ ถ้าปล่อยเต็มที่ คือคลายตัวเต็มที่ จะสว่างเต็มที่กว่านี้ ถึงระดับที่บริวารจะนำเทวรถมารับได้
สังเกตดูเหมือนกับการปฏิบัติธรรม เวลาที่ใจเราพัวพันกับเรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องอะไรต่าง ๆ ใจจะไม่ค่อยใส ตอนไหนเราวางใจนิ่ง ๆ ปล่อยวางทุกอย่างได้ ใจมันจะใส กระทั่งความใสปรากฏเกิดขึ้นมาในกลางกาย เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราจะยึดเกาะ ยึดมั่นถือมั่นแค่ไหน ถ้าปล่อยได้จะสบาย แล้วก็สว่าง ถ้าตายแล้วใจยิ่งไวมาก นึกถึงตรงไหนก็แวบไปตรงนั้นเลย
นี่เป็นกรณีศึกษาว่า ถ้าถึงตอนนั้นแล้วอย่ากังวลกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าอาลัยแม้ใจแทบขาด เพราะถ้าตอนนั้นผูกพัน มันจะอยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ยาวนานทีเดียว เพราะฉะนั้นมนุษย์ทุกคนต้องศึกษาตรงนี้เอาไว้ให้ดี เตรียมฝึกฝนตั้งแต่ยังแข็งแรงมีชีวิตอยู่ หัดปลด ปล่อย วาง ทำใจว่างๆ ว่า สักวันหนึ่งเราจะต้องถึงจุดตรงนี้ พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก จะต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง