แค่...นิ่งๆ เท่านั้นเอง


[ 6 พ.ย. 2551 ] - [ 18269 ] LINE it!

ผลการปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตรนรีรัตน์ วีระพงษ์ (ประเทศไทย)
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงค่ะ
 
    ลูกชื่อ นรีรัตน์ วีระพงษ์ อายุ 19ปี ชื่อเล่นว่า ทราย เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ค่ะ ทรายภูมิใจที่เอ็นท์ติดที่นี่ อีกทั้งยังภูมิใจอย่างไม่รู้จบ เมื่อมารู้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยนี้ด้วย
 
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อคะ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยของเราเปลี่ยนไปมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ พุทธธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว ได้หว่านเมล็ดไว้ จนเติบโตผลิดอกออกผลมาจนกระทั่งปัจจุบัน
 
    ตอนนี้ทรายเรียนอยู่ปี2 แล้วค่ะ แต่ถือว่ายังเป็นเฟรชชี่ของวัดพระธรรมกายอยู่ดี เพราะทรายเพิ่งเข้าวัดได้เพียง 5เดือนเท่านั้น ดูเหมือนทรายจะมาช้าไป แต่ก็มาทันในยุคทองแห่งมหาปูชนียาจารย์นะคะ เพราะเราเพิ่งจะหล่อรูปเหมือนทองคำ พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ กันไปไม่นานนี้เอง ทรายยังปลื้มไม่รู้จบอยู่เลยค่ะ
 
    ทรายเป็นคนชอบทะเล ชอบความสวยงามของเกลียวคลื่น ชายหาด และดินแดนแห่งท้องน้ำอันกว้างไกล เพราะมองแล้วใจมันสงบ อิสระ ไม่มีอะไรวุ่นวาย มนต์เสน่ห์ตรงนี้ ทำให้ทรายเป็นคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาเรียนคณะประมงอย่างผู้มีอุดมการณ์ อย่าเพิ่งเข้าใจทรายผิดว่า ทรายจะเรียนไปเพื่อจับปลานะคะ เพราะทรายรู้ดีว่ามันเป็นบาป แต่ทรายเรียนเพราะอยากจะเอาความรู้จากคณะนี้ ไปใช้ในการอนุรักษ์ทะเล และทรัพยากรทางทะเล เช่น พันธุ์ไม้น้ำ ปะการัง ซีแอนนีโมนี่ และปลาการ์ตูน ธรรมชาติใต้น้ำจะได้ดำรงอยู่อย่างสวยงามคู่โลกใบนี้ต่อไปค่ะ
 
    ทรายเป็นผู้หนึ่งที่ชอบการนั่งสมาธิมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังให้เห็นประโยชน์ของการนั่งสมาธิมาตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ทรายสนใจนั่งสมาธิเรื่อยมา แต่ก็ได้แต่นั่งค่ะ นั่งแบบศิษย์ไม่มีครู ไม่มีวิธีการ แถมยิ่งนั่งก็มีแต่เรื่องฟุ้งซ่านให้คิดเต็มไปหมด คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่อยเปื่อย ซึ่งทรายก็หาสาเหตุไม่ได้ด้วยว่า ทำไมมันฟุ้งไปได้ถึงขนาดนั้น
 
    จนกระทั่งทรายเข้ามหาวิทยาลัย ได้มาเจอชมรมที่สอนให้นั่งสมาธิ ทรายจึงตัดสินใจเข้าชมรมนี้ และก็สมัครไปค่าย “สบาย Mind camp” 7วัน ระหว่างวันที่ 16-22 มีนาคม พ.ศ.2551 ทรายประทับใจกับค่ายนี้มากค่ะ เพราะจากศิษย์ไม่มีครู กลับมีครูแล้ว และครูคนนั้นก็เป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากคุณครูไม่ใหญ่ ตอนนี้ทรายเลยได้คำตอบว่า การนั่งสมาธิเป็นสิ่งที่ดี แต่หากนั่งไม่ถูกวิธี ก็ได้รับประโยชน์น้อยมากๆ
 
    อีกทั้งทรายก็ยังมาพบคำตอบอีกว่า ทำไมที่ผ่านๆ มาทรายถึงฟุ้งซ่านไปเรื่อย ก็เพราะระหว่างที่ทรายนั่งหลับตา มันไม่มีอะไรให้ใจทำ ใจมันก็เลยฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย แต่พอมีกุศโลบายมาให้ใจทำ คือ ให้นึกดวงแก้วหรือองค์พระ มีการบริกรรมภาวนาว่า สัมมา อะระหัง ใจมันก็ไม่ฟุ้งแล้ว เพราะใจมันมีที่ยึดที่เกาะ ใจมันมีกิจกรรมทำ
 
    หลังจากกลับมาจากค่ายนี้ อีก 1สัปดาห์ต่อมา ก็ได้ไปนั่งสมาธิกับค่าย Meditation for you (M 4 U) ต่อเนื่องกันอีก 3สัปดาห์ จึงทำให้ผลการปฏิบัติธรรมของทรายดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งทรายมีผลการปฏิบัติธรรมมาฝากพระเดชพระคุณหลวงพ่อดังนี้ค่ะ
 
    ทุกครั้งที่ทรายนั่งสมาธิ จะปรับกายให้สบายก่อนปรับใจ คือ จะนั่งในท่าที่สบายที่สุด ให้ร่างกายเกิดความรู้สึกที่ผ่อนคลายจริงๆ เพราะถ้ากายสบายแล้ว เวลามาปรับใจ จะได้ไม่ต้องกลับไปกังวลเรื่องกายอีก เมื่อปรับเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ปรับใจ คือ ทำใจให้ผ่อนคลาย ลืมเรื่องราวต่างๆนานาในชีวิตของเราให้หมด ไม่ต้องคิดอะไร จากนั้นก็นึกถึงองค์พระไว้ที่ศูนย์กลางกาย และมองไปเรื่อยๆอย่างสบายๆ แต่ไม่นานนักองค์พระท่านก็หายไปค่ะ กลายเป็นความมืด…
 
    แต่ขณะที่ทรายเห็นความมืด ใจของทรายกลับยิ่งนิ่งมากขึ้นๆ และอยู่ๆก็มีแสงสว่างเกิดขึ้น เป็นแสงที่ไม่แสบตา เย็นตาเหมือนกับรัศมีของพระจันทร์เต็มดวง เห็นอยู่นานมาก ทรายมองจนกระทั่งแสงสว่างนั้นหายไปอีก แล้วเห็นเป็นดวงแก้วดวงเล็กๆ กำลังลอยขึ้นมาจากด้านล่างและขยายใหญ่ขึ้น ลอยจนมาหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่7...
 
    เมื่อมาหยุดที่ฐานที่7...แล้ว ดวงแก้วก็ขยายใหญ่ขึ้นซ้อนๆกันอีก เป็นภาพที่เกิดขึ้นโดยที่ทรายเองก็ไม่ได้คิด เพราะใจกำลังนิ่ง นิ่งจนทำให้ทรายซาบซึ้งถึงคำว่า นิ่งในนิ่ง ว่ามันเป็นอย่างไร และหลังจากที่นิ่งนั่นเอง ทรายก็มีอาการเหมือนกับถูกดูดลงไปกลางศูนย์กลางกายลึกลงไปเรื่อยๆอีก ทรายจึงปล่อยใจตามไปอย่างไม่ฝืน และสักครู่องค์พระ...ท่านก็ลอยขึ้นมาแทนที่
 
    ทรายก็มององค์พระต่อไปอีก โดยใช้สูตรเดิม คือ นิ่งๆ เพราะถ้าใจยิ่งนิ่งมากเท่าไร ภาพองค์พระจะถูกปรับให้ชัดขึ้นเองแบบอัตโนมัติ องค์พระก็จะชัดสว่างขึ้นเอง หากยิ่งนิ่งมากก็จะสามารถเห็นรายละเอียดขององค์พระได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปบังคับอะไรเลยค่ะ ทรายทำใจนิ่งๆ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกเข้าไปอยู่ภายใน ทรายมีความสุขมาก เป็นความสุขที่ไม่อยากจะเรียกว่า ความสุข เพราะมันเกินคำว่าความสุข เพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัย อิสระ สงบ พึงพอใจ และไม่อยากได้อะไรอีก เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันค่ะ
 
    นับจากนั้นเอง หลังจากที่ทรายกลับมาจากค่าย ทรายก็นั่งสมาธิเป็นประจำ จนสมาธิกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทราย และแล้ว..ทรายก็พบว่า สมาธิได้เปลี่ยนชีวิตทรายให้ดีขึ้น เพราะตั้งแต่ทรายหันมานั่งสมาธิ ทรายก็เป็นคนใจเย็นขึ้นมาก รู้จักคิดก่อนพูดมากขึ้น ทั้งๆที่เมื่อก่อนทรายคิดอย่างไร ก็พูดโพล่งไปอย่างนั้น โดยไม่ได้คิดว่าคนฟังเขาจะคิดอย่างไร จะมีผลเสียตามมาอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ ทรายคิดก่อนพูด รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นคนสุขุม ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นค่ะ
 
    สุดท้ายนี้ ทรายต้องขอกราบขอบพระคุณ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมากๆ ที่เปิดหนทางสว่างให้กับทราย ทำให้ทรายค้นพบความสุขที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัวเอง รู้จักคำว่า สมาธิ และสามารถนำไปใช้ได้อย่างเห็นผลอย่างแท้จริง ทรายขอกราบอาราธนาให้พระเดชพระคุณหลวงพ่ออายุยืน 222ปี และมีสุขภาพแข็งแรงมากๆค่ะ
 
ทรายขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างสูงสุดค่ะ
                                               
ลูกทราย


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ดิฉันเคยแพ้ตัวเองอย่างแท้จริงดิฉันเคยแพ้ตัวเองอย่างแท้จริง

กุศลนิมิต...สะกิดใจกุศลนิมิต...สะกิดใจ

พลังที่หายไปพลังที่หายไป



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ