ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 191


[ 11 พ.ย. 2552 ] - [ 18267 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 191
 
 
    จากตอนที่แล้ว มโหสถบัณฑิตและนางอมราเทวี พร้อมด้วยบริวาร ถวายบังคมลาพระราชาองค์น้อยแล้ว ก็พากันออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ปัญจาลนคร โดยมีราชสำนักของพระเจ้าจุลนีเป็นจุดหมายปลายทาง

   เมื่อพระเจ้าจุลนีทรงทราบว่า บัดนี้มโหสถบัณฑิตเดินทางมาถึงปัญจาลนครแล้ว ก็ทรงดีพระทัยเป็นล้นพ้น ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้เตรียมการต้อนรับมหาบัณฑิตจากมิถิลานครอย่างมโหฬาร แม้พระองค์เองก็เสด็จออกไปต้อนรับถึงประตูพระนคร ทรงเชื้อเชิญท่านมหาบัณฑิตและบริวารที่ติดตามมา เข้าสู่พระนครด้วยกองเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ พระเจ้าจุลนีทรงพระราชทานคฤหาสน์อันใหญ่โตโอ่โถง พอที่มโหสถและบริวารจะอยู่ได้อย่างสบาย แล้วพระราชทานบ้านส่วยให้ 80หลัง

    นับแต่นั้นมา มโหสถบัณฑิตก็ได้เข้ารับราชการในราชสำนักของพระเจ้าจุลนี ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และน้อมถวายความจงรักภักดีต่อพระอธิราชจุลนีตลอดมา

    การกลับมาสู่ปัญจาลนครของมโหสถในครั้งนี้ สร้างความไม่พอพระทัยให้กับพระนางนันทาเทวีเป็นอันมาก เพราะตอนที่พระนางเคยถูกคนของมโหสถจับกุมตัวไปยังมิถิลานคร แม้จะล่วงเลยมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ภาพเหล่านั้นก็ยังฉายชัดอยู่ในพระหทัย พระนางจึงทรงผูกพระทัยเจ็บฝังแน่นในพระหทัยตลอดมา ทรงหาโอกาสที่จะทำลายมโหสถเสียให้ได้

    ครั้งนั้น ในพระนครปัญจาละนั่นเอง มีนักบวชหญิงคนหนึ่งนามว่า เภรี แต่เดิมนางเป็นสตรีสูงศักดิ์ ภายหลังได้สละละวางทางโลก ออกบวชแสวงหาโมกขธรรม ถือเพศเป็นปริพาชิกาผู้มากด้วยการกล่าวธรรม ชนทั้งหลายต่างเรียกขานนามด้วยความเคารพว่า “พระแม่เภรี”
 
    เพราะเหตุที่พระแม่เภรีเป็นบัณฑิต ฉลาดในอรรถและธรรม ทั้งมีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งนัก พระแม่จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าจุลนีในฐานะนักบวชประจำราชสกุล และได้รับนิมนต์เข้าไปฉันภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ทุกวันเป็นประจำมิได้ขาด

    นับแต่มโหสถได้มาประจำอยู่ราชสำนักของพระเจ้าจุลนี พระแม่เภรีก็ยังมิเคยได้เห็นหน้ามโหสถเลย แม้มโหสถก็ไม่เคยได้พบปะกับพระแม่เภรีเช่นกัน เป็นแต่เพียงได้ยินกิตติศัพท์ของกันและกันอยู่เสมอ
 
    อยู่มาวันหนึ่ง พระแม่เภรีเข้ามาฉันในวังตามปกติ ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว ก็เดินออกจากวังด้วยท่วงทีสำรวม ขณะที่กำลังเดินผ่านบริเวณหน้าพระลานอยู่นั่นเอง เป็นเวลาพอดีกับที่มโหสถกำลังจะขึ้นเฝ้าพระเจ้าจุลนี
 
    เมื่อคนทั้งสองได้พบกัน มโหสถเห็นพระแม่เภรีแล้ว ทราบทันทีว่านักบวชนี้หาใช่ใครอื่น คือ พระแม่เภรีนั่นเอง ครั้นแล้วก็หยุดยืน ประคองอัญชลีนมัสการด้วยความเคารพ

   พระแม่เภรีมีความคุ้นเคยกับบรรดาข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่เป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อเห็นข้าราชการผู้มาใหม่ จึงคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าท่านผู้นี้ คือ มโหสถบัณฑิตโดยมิต้องสงสัย

    พระแม่เภรีดำริต่อไปว่า “เขาเล่าลือกันนักว่าเป็นมหาบัณฑิต ดีล่ะ...เราจักทดลองดูเสียหน่อยว่า เขาเป็นบัณฑิตหรือมิใช่บัณฑิต”

    เมื่อจะทดลองมโหสถ แทนที่จะชวนสนทนากัน พระแม่เภรีกลับมองดูมโหสถ แล้วแบมือเหยียดออกไปข้างหน้า ความหมายในใจคือ ต้องการถามว่า “พระราชาทรงชักชวนท่านมาจากแดนไกล ท่านมาอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงอุปถัมภ์ท่านเป็นอย่างดีหรือไม่”

    การทดลองด้วยชั้นเชิงของบัณฑิตเช่นนั้น สำหรับมโหสถบัณฑิตแล้ว มิใช่สิ่งเหลือวิสัยแต่อย่างใด เพียงมโหสถได้เห็นกิริยาของพระแม่เภรีเท่านั้น ก็สามารถแปลความหมายออกในทันที และเมื่อจะตอบกลับด้วยชั้นเชิงของบัณฑิต มโหสถจึงกำมือยื่นให้ มีความหมายว่า “ท่านผู้เจริญ พระราชายังทรงกำพระหัตถ์ไว้มั่น จนถึงบัดนี้ พระองค์ก็ยังมิได้พระราชทานสิ่งใด ๆนอกเหนือจากที่ทรงพระราชทานให้แล้วขอรับ”

   พระแม่เภรีดีใจที่มโหสถเข้าใจในสิ่งที่นางถาม จึงยกมือขึ้นลูบศีรษะ ต้องการสื่อสารว่า “แน่ะบัณฑิต ก็ในเมื่อท่านลำบาก เหตุใดจึงไม่บวชเหมือนอย่างอาตมาเล่า”

    มโหสถรู้ความนั้น จึงเอามือลูบท้อง พระแม่เภรีก็รู้อีกเช่นกันว่า บัดนี้มโหสถยังไม่พร้อมที่จะบวช เพราะยังมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูบุตรภรรยา

    พระแม่เภรีมีความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก ที่ปัญจาลนครได้มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาสถิตอยู่เป็นมิ่งขวัญ ภายหลังจากที่ได้สนทนากันด้วยชั้นเชิงแห่งบัณฑิตแล้ว ต่างคนก็ต่างลากลับ มโหสถนมัสการพระแม่เภรีอีกครั้งแล้วก็เดินเข้าวังไป

    ตลอดกาลที่ผ่านมา มโหสถบัณฑิตได้ตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าบริวารคนสนิทของพระนางนันทาเทวี แทบจะทุกย่างก้าวก็ว่าได้ แม้เหตุการณ์ในวันที่มโหสถได้พบกับพระแม่เภรี ณ ท้องพระลานนั้น ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหล่าสตรีนางในอีกเช่นกัน

    บรรดาสตรีเหล่านั้น พากันยืนซ่อนตัวอยู่ที่ช่องหน้าต่าง แอบมองดูกิริยาอาการของมโหสถและพระแม่เภรีแล้ว เข้าใจว่าคนทั้งสองคงมีเลศนัยอะไรสักอย่างที่อาจรู้กันเป็นการภายใน จึงสื่อสารกันด้วยภาษามือเพราะไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้

    “เธอดูนั่นซี เห็นไหมพระแม่เภรีกับมโหสถบุ้ยใบ้อะไรกัน” สตรีนางหนึ่งชี้ให้สหายอีกสองนางดู
 
    หญิงสหายต่างรับพร้อมกันว่า “อืมม..นั่นซิ คนหนึ่งแบมือ อีกคนหนึ่งกำมือ แล้วยังลูบหัวลูบท้องเสียอีก น่าสงสัยทีเดียว”

    “อาจเป็นรหัสลับอะไรสักอย่างก็ได้นะ แต่คงไม่กล้าเปิดเผยกันด้วยวาจา จะเป็นไปได้ไหมว่า มโหสถเคยติดต่อกับพระแม่เภรีมาก่อน หรือไม่พระแม่เภรีอาจเป็นคนของมโหสถก็เป็นได้” สตรีที่ชี้ให้ดู กล่าวชี้นำอีก

    “ป่วยการมาตีความกันเอง ไปเฝ้าพระแม่เจ้า กราบทูลให้ทรงทราบดีกว่า” สตรีผู้เป็นสหายรีบตัดบท
 
    “ก็ดีนะ เหตุเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะถือเป็นเงื่อนเอาผิดมโหสถได้ เราไปกันเถอะ” ว่าแล้วสตรีทั้งสามนางก็พากันไปเฝ้าพระนางนันทาเทวีถึงพระตำหนัก

    ส่วนว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร เมื่อเหล่าบริวารคนสนิทของพระนางนันทาเทวีหาเรื่องจับผิดมโหสถจนได้ โดยการให้ร้ายป้ายสี ใส่ความมโหสถต่างๆนานา แล้วนำความนั้นกราบทูลแด่พระนางนันทาเทวี และเมื่อพระนางนันทาเทวีทราบเรื่องราวทั้งหมด บวกกับความผูกแค้นที่ฝังแน่นในพระหทัยตลอดมา จะทรงมีอุบายจัดการกับมโหสถอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 192ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 192

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 193ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 193

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 194ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 194



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก