ศาสดาเอกของโลก (3)


[ 28 พ.ค. 2553 ] - [ 18266 ] LINE it!

ศ า ส ด า เ อ ก ข อ ง โ ล ก
( ๓ )

 
     พระพุทธเจ้า ผู้มีพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ บำเพ็ญบารมีทุกประการจนเต็มเปี่ยม บรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยอำนาจแห่งการนอบน้อมนั้น ขอความชนะและความเป็นมงคล จงบังเกิดมีแก่ข้าพระพุทธเจ้า

      บัณฑิตทั้งหลายพิจารณาเห็นว่า การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ความแก่ ความเจ็บและความตายก็เป็นทุกข์ ท่านจึงแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เพราะคิดว่าเมื่อมีความทุกข์ย่อมต้องมีวิธีแก้ไขให้พบความสุขได้ ด้วยวิธีการลองผิดลองถูกกันมายาวนาน แม้บางคนแสวงหามาตลอดชีวิตก็ยังไม่พบ แต่พวกเราโชคดีที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา มารู้จักหนทางแห่งความพ้นทุกข์ หนทางไปสู่อายตนนิพพานว่า อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นหนทางเอกสายเดียวที่จะนำไปสู่อายตนนิพพานได้ เป็นที่ๆเดียว ที่ความทุกข์มากล้ำกรายไม่ได้ มีแต่ความสุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปนเลย ดังนั้นเราควรหมั่นนำใจของเรามาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ตลอดเวลา เพื่อจะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงภายในกันทุกคน
 
    มีพระกถานอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบทหนึ่งว่า
 
    " มหาการุณิโก นาโถ        หิตาย สพฺพปาณินํ
      ปูเรตฺวา ปารมี สพฺพา    ปตฺโต สมฺโพธิมุตฺตมํ    
      เอเตน สจฺจวชฺเชน        โหตุ เต ชยมงฺคลํ
 
    พระพุทธเจ้า ผู้มีพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ บำเพ็ญบารมีทุกประการจนเต็มเปี่ยม บรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยอำนาจแห่งการนอบน้อมนั้น ขอความชนะและความเป็นมงคล จงบังเกิดมีแก่ข้าพระพุทธเจ้า "

    การอุบัติขึ้นของเอกบุรุษในโลก เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง อะไรที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่เราเรียกว่าปาฏิหาริย์ มักจะเกิดขึ้นเสมอกับพระบรมโพธิสัตว์ ผู้สั่งสมบุญบารมีมายาวนาน เพื่อหวังจะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการจะเอาบุญบารมีเพียงเล็กน้อย ของเราไปเทียบกับบารมีของพระองค์นั้น เปรียบเสมือนเอาเมล็ดงาไปเทียบกับเขาพระสุเมรุ หรือหากจะเปรียบดวงปัญญาของเรากับของพระพุทธองค์ ก็เสมือนเอาแสงหิ่งห้อยไปเทียบแสงของดวงอาทิตย์ เพราะพระองค์เป็นยอดนักสร้างบารมีที่สั่งสมบารมีมาอย่างยิ่งยวด ทรงเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบารมีมาโดยตลอด
 
     กว่าที่พระองค์จะตรัสรู้ธรรม และได้คุณสมบัติที่เป็นสิ่งเฉพาะมีอาเวณิกธรรมเป็นต้นเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องสั่งสมบารมีกันเป็นอสงไขยชาติ ใจท่านยิ่งใหญ่มาตลอด คิดแต่จะนำตนและสรรพสัตว์ให้ข้ามฝั่งแห่งสังสารวัฏ ท่านเคยตั้งมโนปณิธานเอาไว้ว่า "ประโยชน์อะไรของเรา ผู้จะข้ามห้วงแห่งสงสารแต่เพียงลำพังผู้เดียว เมื่อเราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้ว เราจะยังโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามไปด้วย ด้วยบุญญาบารมีที่เราได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว เมื่อเรากำจัดภพสามได้แล้วขึ้นสู่นาวาแห่งธรรม จงยังโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามวัฏสงสารนี้ด้วยเถิด"
 
    * เพราะฉะนั้น เมื่อบารมีของพระโพธิสัตว์เจ้าแต่ละพระองค์แก่กล้าขึ้น ท่านจะไปเสวยสุขในดุสิตสวรรค์ รอคอยเวลาอันสมควรที่จะลงมาตรัสรู้ธรรม หากถึงเวลา เหล่าเทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุต่างพร้อมใจกันมาอัญเชิญท่าน คือ เวลาผู้มีบุญจะมาเกิด เขาต้องอัญเชิญให้ลงมาเกิด ตัวแทนก็กล่าวอาราธนาว่า "กาโลยนฺเต มหาวีร อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ สเทวกํ ตารยนฺโต พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปทํ" แปลว่า "ข้าแต่พระมหาวีระ นี้เป็นกาลอันสมควรสำหรับพระองค์แล้ว โปรดเสด็จอุบัติในพระครรภ์ของพระมารดาเถิด พระองค์จักทรงยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร ได้โปรดลงตรัสรู้อมตธรรมเถิด"

    เมื่อได้รับอาราธนา พระองค์จะตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ว่า ขณะนี้บนโลกมนุษย์เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ตรัสรู้ธรรมหรือยัง ตั้งแต่ดูกาลเวลาที่สมควร ดูว่าอายุมนุษย์ไม่ยืนยาวจนเกินไปและไม่สั้นจนเกินไป จะลงมาเกิดในทวีปไหน ประเทศอะไร จะบังเกิดในตระกูลพราหมณ์หรือกษัตริย์ และตรวจดูมารดาผู้มีบุญที่ได้สั่งสมบุญบารมีมาทางนี้ เมื่อพร้อมแล้วท่านจึงตัดสินใจลงมาเกิด ดังตัวอย่างของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากรับอาราธนาแล้วเสด็จอุบัติในพระครรภ์ของพระสุเมธาเทวี ประทับอยู่ในพระครรภ์ด้วยท่านั่งขัดสมาธิตลอดเวลา เหตุอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ต่างๆ ก็บังเกิดขึ้นกับชาวโลก คือ เมื่อพระองค์เสด็จสู่พระครรภ์ของพระมารดา ทั่วหมื่นโลกธาตุก็สะเทือนสะท้านหวั่นไหว
 
     ครั้นพระมหาสัตว์ประสูติ เทวดาทั้งหลายรับไว้ก่อน ต่อมามนุษย์จึงรับพระองค์ เสียงกลองทุกชนิด และเครื่องดนตรีทิพย์ ที่ไม่มีใครประโคม ต่างเกิดเสียงดังไพเราะขึ้นมาเอง เครื่องพันธนาการทั้งหลายก็ขาดหลุดหมด โรคภัยทั้งปวงก็หายไปเอง คนตาบอดแต่กำเนิดก็มองเห็นได้ คนหูหนวกก็ได้ยินเสียงเป็นปกติ คนเป็นใบ้แต่กำเนิดก็พูดได้ คนขาพิการไม่สมประกอบก็เดินได้เป็นปกติ รัตนะทุกอย่างทั้งที่อยู่ในอากาศ ทั้งที่อยู่ตามพื้นดินต่างเรืองแสงได้เอง
 
     ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น คือ ไฟในนรกที่ร้อนแรงเพียงใด ก็ดับลงชั่วคราว แม่น้ำที่มีกระแสเชี่ยวกรากก็หยุดไหลชั่วคราว แสงสว่างที่รุ่งโรจน์โชติช่วงก็บังเกิดขึ้น ทั้งสามารถส่องสว่างไปถึงโลกันตนรกได้ ซึ่งที่นั้นเป็นที่ที่ไม่เคยว่างเว้นจากการเสวยทุกข์ ตามปกติแล้วแสงของดวงอาทิตย์ไม่สามารถส่องไปถึงนรกได้ แต่แสงแห่งไฟสันติภาพที่พระบรมโพธิสัตว์นำมาสู่ภพสาม สามารถส่องไปถึงสัตว์นรกเหล่านั้นได้
 
     เท่านั้นยังไม่พอ มหาสมุทรที่มีเกลียวคลื่นถาโถมซัดกระหน่ำเข้าหาฝั่ง ก็สงบลง ทะเลปราศจากคลื่น น้ำที่มีรสเค็มก็มีรสจืดอร่อยดื่มกินได้เหมือนน้ำจืดทั่วไป ลมพายุที่พัดแรงทำความเสียหายก็หยุดหมด ต้นไม้ทั้งหลายต่างออกดอกบานสะพรั่ง ดวงจันทร์พร้อมทั้งดวงดาวเปล่งแสงเจิดจรัสเย็นตาเย็นใจ แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ไม่ร้อนแรงดังที่เห็น
 
     ความยินดีนี้มีไปถึงเหล่าทวยเทพทั้งหลาย พวกเทวดาที่อยู่ในภพภูมิอันเป็นทิพย์ของตนเอง ต่างมีจิตเลื่อมใส พากันฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรีด้วยความสนุกสนานบันเทิงใจ ส่วนหมู่สัตว์ที่จองเวรก็มีเมตตาจิตต่อกัน กาก็เที่ยวไปกับนกเค้าแมว หมาป่าก็เป็นมิตรกับหมูป่า งูมีพิษและงูไม่มีพิษก็เล่นหัวกับพังพอน หนูที่อยู่ในบ้านก็จับกลุ่มเล่นกันกับแมว นับเป็นเรื่องแปลกและอัศจรรย์มาก เพราะกระแสแห่งเมตตาธรรมของพระบรมโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายมาโดยตลอด โดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง จึงทำให้สรรพสัตว์มีความรักและเมตตาต่อกัน นอกจากนี้ความกระหายน้ำในภพภูมิของพวกภูตผีปีศาจทั้งหลาย ที่ไม่เคยได้ดื่มน้ำมาเป็นพุทธันดรก็หายไป ทั่วหมื่นโลกธาตุก็เกลื่อนกลาดด้วยจุณจันทน์หอมกรุ่น อบอวลหอมหวนด้วยกลิ่นไม้ดอกนานาพันธุ์
 
     นี่คือความมหัศจรรย์ของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้มีบุญบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ท่านเสด็จอุบัติมาพร้อมกับความสุขของสรรพสัตว์ เป็นการมาอย่างมีเป้าหมายเพื่อนำสันติสุขมาสู่ชาวโลก ตลอดมนุษย์ ทิพย์ ธรรม และบุพนิมิตแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นนี้ มีความหมายต่อพระองค์มาก อย่างเช่นการที่หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เป็นบุพนิมิตว่า พระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ การที่คนหูหนวกตาบอดบ้าใบ้แต่กำเนิด สามารถกลับเป็นปกติได้ หรือคนง่อยเปลี้ยเสียขาก็กลับเดินได้เป็นปกติ เป็นบุพนิมิตว่า พระองค์จะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ ได้บรรลุวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ และจรณะ ๑๕ จะเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งหมดทุกอย่าง
 
     เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสมความปรารถนาแล้ว จึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยพุทธคุณ ๙ ประการ ตามที่เราได้สวดมนต์สรรเสริญพระองค์ทุกเช้าค่ำ และผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า "บุคคลเอกเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดังนั้นบุคคลเอก คือ พระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
 
     เมื่อเราได้รู้ถึงความมหัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ควรสวดมนต์สรรเสริญ และหมั่นตรึกระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธองค์เสมอ ใจของเราจะได้มีความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศในพระธรรมอันประเสริฐ ในพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ จะไปบังเกิดในที่ใด ย่อมทำให้เราเข้าถึงความเป็นเลิศในสถานที่นั้นๆ นี้เป็นเพียงอานิสงส์แห่งความเลื่อมใส หากเราปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำ ก็จะเกิดอานิสงส์ใหญ่ เกิดมรรคผลนิพพาน และหากเราฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ดำเนินจิตเข้าสู่เส้นทางสายกลางภายใน เราย่อมจะเข้าถึงดวงธรรมภายใน เข้าถึงกายในกายและเข้าไปพบพระธรรมกาย ซึ่งเป็นกายแห่งการตรัสรู้ธรรมอันเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง เข้าถึงเมื่อไรก็ปิดนรกเปิดสวรรค์ไปสู่นิพพานกันทีเดียว เพราะฉะนั้นให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งกันให้ได้ทุกวัน จนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน 
 
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* พุทธประวัติ เล่ม ๑ (หลักสูตรนักธรรมตรี)
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ศาสดาเอกของโลก (4)ศาสดาเอกของโลก (4)

ศาสดาเอกของโลก (5)ศาสดาเอกของโลก (5)

ศาสดาเอกของโลก (6)ศาสดาเอกของโลก (6)



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน