เรื่องผีๆ
เรื่องผีๆ
ความจริงของผีๆ กำลังจะเปิดเผย
ใครขวัญอ่อน ระวังใจเอาไว้ให้ดี
เรื่องผีผี
เรื่องผีคืออะไร
ผี คือ อดีตมนุษย์
เรื่องผีผี
สำหรับคำว่า “ผี” ก็เช่นเดียวกันสามารถแบ่งผีออกเป็นรายละเอียดปลีกย่อยได้อีก
เรื่องผีๆ เพลงผีๆ
เรื่องผี..ผีมีกี่ประเภท
เราสามารถแบ่ง ผี ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้คือ
เรื่องผีๆ
ผีประเภทที่ 2 พวกสัมภเวสี หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามว่า “ผีเร่ร่อน” คือพวกกายละเอียดที่ไม่มีบุญมากพอที่จะไปบังเกิดอยู่ในสวรรค์ และก็ไม่มีบาปมากพอที่จะต้องไปตกนรก เมื่อ เป็นเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นผีที่เร่ร่อนไปมาอยู่ภายในเมืองมนุษย์ และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่มีบุญพอที่จะมีเรือนเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นพวกไม่มีบ้าน นั่นเอง
ผีประเภทที่ 3 นั้นก็คือ พวกภุมมะเทวาระดับล่าง หรือพวกผีบ้านผีเรือน
ผีประเภทที่ 1 : อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ หรือ พูดง่ายว่าเพิ่งตาย!
สำหรับผู้ที่ละโลกแล้วใจไม่หมองไม่ใส คือ ก่อนตายภาพแห่งความชั่ว หรือความดี ยังไม่มีฝ่ายใดที่จะส่งผลชัดเจนกว่ากัน เมื่อตายแล้วกายละเอียดก็ออกจากกายหยาบ วนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์ เนื่องจากตนไม่เคยศึกษาเรื่องความจริงของชีวิตหลังความตาย จึงทำอะไรไม่ถูก ก็วนเวียนไปเยี่ยมญาติตามที่ต่างๆ แต่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ วนเวียนจนครบ 7 วัน ที่ต้อง 7 วัน เพราะ เป็นระยะเวลาที่เปิดโอกาสให้นึกถึงบุญให้ได้
เรื่องผีๆ
เมื่อครบ 7 วัน ถ้านึกถึงบุญไม่ออก เพราะว่าใจสับสน หรือไม่ค่อยทำบุญ ผู้ตายก็จะกลับไปที่เดิมที่ตนเองเสียชีวิต เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่จากยมโลกที่เราเรียกว่า ยมทูต มีลักษณะผมหยิก ตัวดำ ตาโปน นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง จะมารับตัวไป โดยวิธีการต่างๆ เช่น ล่ามโซ่ตรวน หรือใช้อาวุธคุมไปเฉยๆ แล้วแต่ความถือตัวของผู้ตาย หากเป็นพวกนายทหารมียศมาก ไม่เชื่อฟังก็จะต้องใส่โซ่ตรวนล่ามไปยมโลก หากดิ้นรนขัดขืน ก็จะถูกทุบตี ทำร้าย อย่างไม่มีปรานี
ผีประเภทที่ 2 : ผีเร่ร่อน หรือสัมภเวสี คือผีอะไร
สัมภเวสี หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามว่า “ผีเร่ร่อน” คือ พวกกายละเอียดที่ไม่มีบุญมากพอที่จะไปบังเกิดอยู่ในสวรรค์ และก็ไม่มีบาปมากพอที่จะต้องไปตกนรก เมื่อ เป็นเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นผีที่เร่ร่อนไปมาอยู่ภายในเมืองมนุษย์
เรื่องผีเร่ร่อน
ผีเร่ร่อนหรือสัมภเวสีมีรูปร่างอย่างไร
สำหรับรูปร่างลักษณะของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับคนที่อดๆ อยากๆ มีร่างกายซูบผอม และก็ต้องคอยอาศัยอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผี หรือไหว้เจ้าในการประทังชีวิตไปวันๆ โดยพวกเขาจะกินโอชารสหรือส่วนละเอียดของอาหาร ส่วนว่าโอชารสของอาหารจะดีหรือไม่ดีนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของอาหาร กล่าวคือ ถ้าเป็นอาหารที่จัดไว้เพื่อเซ่นไหว้ โอชารสของอาหารก็จะดีและประณีตกว่าโอชารสของอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว
ผีเร่ร่อนกินอาหารเซ่นไหว้อย่างไร?
และเมื่อพวกสัมภเวสีกินโอชารสของอาหารดังกล่าวเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านั้นก็จะเหลือเพียงแค่ส่วนหยาบที่ปราศจากโอชารสของอาหารเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าอาหารส่วนหยาบนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่สารอาหารและรสชาติของอาหารได้สูญสลายหายไปแล้วนั่นเอง ส่วนอากัปกิริยาในการกินโอชารสของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะใช้มือหยิบจับอาหารในส่วนละเอียดขึ้นมากินอย่างหิวกระหายเป็นปกติ
เรื่องการกินของผีเร่ร่อน
ส่วนว่า พวกเขาจะมีความหิวกระหายมากน้อยขนาดไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ในพื้นที่นั้นๆ มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรือมีอาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามากน้อยขนาดไหน คือถ้าหากมีอาหารดังกล่าวน้อย พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายมาก แต่ถ้าหากมีอาหารดังกล่าวมาก พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายน้อย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความหิวกระหายน้อยแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นความหิวกระหายของพวกเขา ก็ยังมีปริมาณที่มากกว่ามนุษย์ที่หิวโซแบบมากๆ มากๆ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกสัมภเวสีจะไม่มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ยังสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรมที่มาหล่อเลี้ยงพวกเขาเอาไว้ เพื่อให้พวกเขาได้รับความหิวกระหายอย่างที่สุดนั่นเอง
เรื่องราวของสัมภเวสีนั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าเราจะมาลงรายละเอียดกันทั้งหมด มันก็จะยาวมากๆ เอาไว้เราค่อยมาศึกษาเรื่องของสัมภเวสีกันต่อไปในภายหลัง
ผีประเภทที่ 3 : ผีบ้านผีเรือนคืออะไร
เรื่องราวเกี่ยวกับผีบ้านผีเรือนนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเรียนรู้ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวของพวกเราทุกคน แบบคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว
ผีบ้านผีเรือน
ผีบ้านผีเรือน อยู่ที่ไหน
แม้ว่าพวกผีบ้านผีเรือนเหล่านี้จะอาศัยโครงสร้างของเรือนหยาบหรือบ้านของมนุษย์ เป็นที่อาศัยอยู่ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นรูปแบบการตกแต่งภายในบ้าน รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้และอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ของพวกผีบ้านผีเรือนก็จะมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง ที่เกิดขึ้นตามกำลังบุญของแต่ละตน โดยพวกเขาจะไม่ได้ใช้ข้าวของต่างๆ ร่วมกับมนุษย์เลย
ผีบ้านผีเรือน
ผีบ้านผีเรือนก็มักจะเป็นญาติของเรามาก่อน หรือไม่ใช่?!?
โดยส่วนใหญ่แล้ว ผีบ้านผีเรือนแต่ ละตน มักจะไปบังเกิดอยู่ในสถานที่ หรือบ้านเรือนที่มีคน สัตว์ สิ่งของ ที่พวกเขาคุ้นเคยในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ เช่น เคยเป็นบ้านเดิมของตัวเอง หรือเป็นบ้านของคนที่ตัวเขารักและผูกพันเป็นอย่างมาก เช่นบ้านของคุณแม่ หรือเป็นบ้านของญาติ เป็นต้น
ผีบ้านผีเรือน
ผีบ้านผีเรือนย้ายที่อยู่ตามเจ้าของบ้านได้หรือไม่????
ถ้าหากวันใดเจ้าของบ้านที่พวกผีบ้านผีเรือนรักและผูกพันเป็นอย่างมาก ย้ายไปอยู่ที่อื่น พวกผีบ้านผีเรือนเหล่านั้น ก็จะย้ายตามไปอยู่กับเจ้าของบ้านที่พวกเขาผูกสมัครรักใคร่ด้วย แต่ก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปได้นั้น พวกเขาก็จะต้องขออนุญาตจากท่านเทพบุตรภุมมะเทวาที่เป็นหัวหน้าเขตแห่งนั้น เสียก่อน
ผีบ้านผีเรือน
ถ้าหากวันใดเรือนหยาบหรือบ้านของมนุษย์ ที่พวกผีบ้านผีเรือนเหล่านั้นอาศัยอยู่ถูกรื้อถอน หรือถูกทำลายไป พวกผีบ้านผีเรือนเหล่านั้นก็จำเป็นที่จะต้องย้ายไปหาที่อยู่อาศัยใหม่ ตามกำลังแห่งบุญของผีบ้านผีเรือนแต่ละตน ซึ่งหัวหน้าเขตก็จะเป็นผู้ที่จัดสรรที่อยู่ใหม่ให้กับผีบ้านผีเรือนเหล่า นั้นตามความเหมาะสม แต่ถ้าหาก ณ ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่ผีบ้านผีเรือนตนนั้นจะต้องไปเกิดใหม่พอดี ผีบ้านผีเรือนตนนั้นก็จะไปบังเกิดใหม่ตามกำลังแห่งบุญและบาปที่ตัวเขาได้เคย กระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่
ผีบ้านผีเรือนเกิดขึ้นได้อย่างไร?
สำหรับการบังเกิดขึ้นของพวกผีบ้านผีเรือน หรือภุมมะเทวาระดับกลางและล่างนั้น ก็จะมีลักษณะที่คล้ายๆ กับการบังเกิดขึ้นของเทวดาทั่วๆไป นั่นก็คือ มีการบังเกิดขึ้นแบบ “โอปปาติกะ หรือเกิดแบบ เกิดปุ๊บโตปั๊บ” เพียงแต่การเกิดแบบ “โอปปาติกะ” ของพวกผีบ้านผีเรือนนั้น จะมีลักษณะที่แตกต่างจากพวกเทวดาที่อยู่บนสวรรค์ทั่วๆ ไปตรงที่ เวลาที่พวกผีบ้านผีเรือนบังเกิดขึ้น พวกเขาจะเกิดมามีรูปร่างลักษณะหน้าตาและอายุ ที่ละม้ายคล้ายกับตอนที่พวกเขาใกล้จะเสียชีวิต เช่น ถ้าหากพวกเขาเสียชีวิตในช่วงวัยเด็ก พวกเขาก็จะเกิดมาเป็นผีบ้านผีเรือนที่อยู่ในวัยเด็ก หรือถ้าหากพวกเขาเสียชีวิตในช่วงสูงวัย พวกเขาก็จะเกิดมาเป็นผีบ้านผีเรือนสูงวัย เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างและไม่เหมือนกับการบังเกิดขึ้นของเทพบุตรเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั่นเอง
การพัฒนาการของผีบ้านผีเรือนทางกายภาพ
ส่วนการเจริญเติบโต หรือพัฒนาการทางกายภาพของผีบ้านผีเรือนนั้น ผีบ้านผีเรือนแต่ละตนก็จะมีการเจริญเติบโต หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หรือลักษณะภายนอกที่คล้ายๆ กับมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเกิดมาเป็นผีบ้านผีเรือนในตอนวัยเด็ก เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผีบ้านผีเรือนที่เป็นเด็กน้อย ก็จะเจริญเติบโตเป็นผีบ้านผีเรือนวัยรุ่น ไล่เรื่อยไปจนกระทั่งผีบ้านผีเรือนตนนั้นกลายเป็นผีบ้านผีเรือนสูงวัยนั่น เอง เป็นต้น
แต่ถ้าหากผีบ้านผีเรือนตนไหน ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่หมู่ญาติอันเป็นที่รักได้ทำแล้วก็อุทิศส่งมาให้ ผีบ้านผีเรือนตนนั้น ก็จะสามารถย้อนวัย หรือกลับคืนความเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาได้อีกครั้ง
ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกผีบ้านผีเรือน
ลักษณะชีวิตความ เป็นอยู่ของพวกผีบ้านผีเรือน หรือภุมมะเทวาระดับกลางและล่างนั้น ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีการทำมาหากิน หรือประกอบอาชีพต่างๆ เหมือนอย่างมนุษย์ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังต้องรับประทานอาหาร เข้าสังคม และยังต้องพักผ่อนนอนหลับเหมือนอย่างมนุษย์นั่นเอง
ความเป็นอยู่ของผีบ้านผีเรือน
นอกจากพวกผีบ้านผีเรือนจะมีลักษณะชีวิตความเป็นอยู่หลายๆ อย่างคล้ายๆ กับมนุษย์แล้ว พวกผีบ้านผีเรือนยังมีลักษณะการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นส่วนๆ คล้ายๆ กับในเมืองมนุษย์อีกด้วย โดยในแต่ละเขตการปกครองนั้น ก็จะมีภุมมะเทวาระดับไฮโซที่เป็นหัวหน้าเขตต่างๆ เป็นผู้ดูแลพวกผีบ้านผีเรือนเหล่านั้นอยู่
ผีๆ ก็ต้องมีการขออนุญาตข้ามเขต
และถ้าหากผีบ้านผีเรือนตนไหน มีความต้องการที่จะเดินทางข้ามไปยังเขตการปกครองอื่น ผีบ้านผีเรือนตนนั้นก็จะต้องขออนุญาตทั้งหัวหน้าเขตการปกครองของตัวเอง และหัวหน้าเขตการปกครองที่ตัวเขาต้องการจะไปก่อน และเมื่อผีบ้านผีเรือนตนนั้นได้รับอนุญาตจากหัวหน้าเขตการปกครองทั้งสองแล้ว ผีบ้านผีเรือนตนนั้นจึงจะสามารถเดินทางไปยังเขตการปกครองดังกล่าวได้ แต่โดยปกติแล้วพวกผีบ้านผีเรือน มักจะไม่ค่อยชอบเดินทางไปไหน เพราะชอบที่จะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน สมดังชื่อที่พวกเขาได้รับว่า “ผีบ้านผีเรือน” นั่นเอง
ผีบ้านผีเรือนนับถือศาสนาอะไร?
ลักษณะความเชื่อของพวกผีบ้านผีเรือนแต่ ละตนนั้น ก็จะมีความแตกต่างหลากหลายกันไปคล้ายๆ กับพวกมนุษย์ เช่น บางพวกก็นับถือพระพุทธศาสนา บางพวกก็นับถือศาสนาอื่น หรือบางพวกก็ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เป็นต้น
ผีๆ ก็มีความเชื่อต่างๆเหมือนมนุษย์
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว พวกผีบ้านผีเรือนแต่ละตน ก็มักจะนับถือลัทธิความเชื่อแบบเดิมหรือแบบเดียวกันกับในสมัยที่ตัวเองยังมี ชีวิตอยู่ แต่ก็มีพวกผีบ้านผีเรือนบางส่วนที่พอกาลเวลาผ่านไป ความเชื่อของพวกเขาก็ค่อยๆ ซึมซับและแปรเปลี่ยนไปตามความเชื่อของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า อยู่ใกล้คนเช่นไร ก็มักจะเป็นคนเช่นนั้น
แต่ไม่ว่าพวกผีบ้านผีเรือนแต่ละตนจะนับถือลัทธิความเชื่ออะไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยบุญด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งบุญที่มาหล่อเลี้ยงชีวิตหลังความตายของพวกผีบ้านผีเรือนนั้นก็คือ บุญที่ผีบ้านผีเรือนแต่ละตนได้เคยสั่งสมเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่เป็น หลัก และบุญที่หมู่ญาติอันเป็นที่รักได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลส่งมาให้พวกเขา รวมไปถึงบุญที่พวกเขาได้อนุโมทนาบุญกับมนุษย์ที่ทำความดี เช่น ทำบุญใส่บาตรหรือถวายสังฆทาน เป็นต้น
ผีบ้านผีเรือนต้องการบุญ
คนดีผีคุ้ม จริงหรือเปล่า?
สำหรับบุญพิเศษที่สำคัญอีกบุญหนึ่ง ที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตของผีบ้านผีเรือนได้นั้น ก็คือบุญที่เกิดจากการปกป้องคุ้มครองมนุษย์ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านให้รอดพ้นจากอันตราย และให้มีโอกาสในการสั่งสมบุญสร้างความดีได้ยิ่งๆ ขึ้นไป
คนดีผีคุ้มครอง
3. เจ้าของบ้านเป็นคนที่มีจิตใจดีชอบสร้างบุญสร้างกุศล พวกผีบ้านผีเรือนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นๆ ก็จะเกิดความปรารถนาอยากที่จะมาปกป้องคุ้มครองเจ้าของบ้านหลังนั้น เพราะ ผีบ้านผีเรือนเหล่านั้นจะมีส่วนร่วมในบุญกับเจ้าของบ้านหลังนั้นไปด้วย หรือที่พวกเรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ ว่า “คนดีผีคุ้ม” นั่นเอง
และเมื่อพวกผีบ้านผีเรือนได้มาปกป้องคุ้มครองและอยู่ใกล้ๆ เจ้าของบ้านที่มีจิตใจดีชอบสร้างบุญสร้างกุศล และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตตามหลักของ พระพุทธศาสนาแล้ว พวกเขาก็จะได้ซึมซับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องบุญเรื่องกุศลจากเจ้า ของบ้านหลังนั้นไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสั่งสมบุญหรือการอนุโมทนาบุญ เป็นต้น
เรื่องของภูตผีปีศาจ
เมื่อพูดถึงคำว่า “ผี” แล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงภูติและปีศาจตามไปด้วย เพราะเรามักจะได้ยินได้ฟังกันจนคุ้นหูว่า ภูติผีปีศาจ ซึ่งคำว่า “ภูติผีปีศาจ” นั้น ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคำก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายเฉพาะเป็นของตัวเอง คือภูติก็อย่างหนึ่ง ผีก็อย่างหนึ่ง ปีศาจก็อีกอย่างหนึ่ง
ผีกระสือกระหัง
ภูติอีกประเภทหนึ่งที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ หรือวิชาอาคมที่ใช้ในการเบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์ ซึ่งตรงกันข้ามกับวิชาไสยเวทย์สายขาว ที่เป็นวิชาอาคมที่ใช้ในการรักษาและช่วยเหลือมนุษย์ สำหรับภูติประเภทนี้ จะเป็นกายละเอียดที่มีลักษณะภายนอกที่หลากหลาย แลดูน่ากลัวแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดมากนัก ยกตัวอย่างเช่น บางตนก็มีร่างกายซูบผอมและมีผิวหนังที่เหี่ยวแห้งช้ำเลือดช้ำหนอง, บางตนก็มีนิ้วที่ยาวกว่าปกติ หรือบางตนก็มีร่างกายใหญ่โตผิดมนุษย์ แต่ก็ไม่ถึงกับสูงใหญ่เท่ากับเปรต เป็นต้น
เรื่องผีๆภูติๆ
1. ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง
2. ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยการไปเรียนกับอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า
3. ฝึกฝนเพิ่มเติมโดยมีอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า คอยส่งฤทธิ์และส่งวิชามาให้
และยิ่งพวกภูติประเภทนี้มีอายุที่ยืนยาวมากเท่าไหร่ ฤทธิ์ของพวกเขาก็จะยิ่งแก่กล้าเพิ่มมากขึ้นตามอายุของพวกเขาไปด้วย
ภูติผีปีศาจ
สาเหตุที่ต้องมาบังเกิดเป็นภูต!
สำหรับสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นภูติ ที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ หรือวิชาอาคมที่ใช้ในการเบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์นั้น ทั้งนี้ก็เกิดจากในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีความชอบและสนใจในการศึกษาวิชาไสยเวทย์สายดำอยู่เป็นประจำ ดังนั้น เมื่อถึง ณ ช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต ด้วยความที่ใจของพวกเขามีความผูกพันอยู่กับวิชาไสยเวทย์สายดำเป็นอย่างมาก กอปรกับ ณ ช่วงเวลานั้น บาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ได้ช่องที่จะส่งผล ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นภูติประเภทนี้นั่นเอง
เรื่องผีๆของคนที่ชอบไสยเวทย์สายดำ
ภูตเฝ้าป่าเฝ้าเขา
การจะไปบังเกิดเป็นภูติอยู่ ณ ที่แห่งไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากพวกเขามีความห่วงหรือผูกพันอยู่กับสถานที่ใดเป็นพิเศษ พวกเขาก็จะต้องไปเฝ้ารักษาอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น โดยพวกเขาก็จะใช้วิชาอาคมที่เคยร่ำเรียนมาในสมัยที่ยังมีชีวิต ดูแลรักษาพื้นที่แห่งนั้นอยู่ตลอดเวลา เช่น ภูติที่หวงแหนและเฝ้าพื้นที่ป่า
ภูติเฝ้าป่าเฝ้าเขา
ภูติที่คอยตามไปล้างแค้น จองเวรกัน!
ถ้าหากพวกเขายังมีความอาฆาต หรือจองเวรกับใครเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิต เช่น มีคนมาฆ่า หรือมาทำร้ายพวกเขา เมื่อพวกเขาละจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาก็จะไปบังเกิดเป็นพวกภูติที่คอยตามไปล้างแค้น หรือคอยคิดบัญชีกับคนที่พวกเขาผูกอาฆาตเอาไว้ ด้วยการตามไปหลอกหลอนหรือทำร้ายคนเหล่านั้น เป็นต้น
ภูติที่คอยเฝ้าทรัพย์
ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
เรื่องของปีศาจ
ส่วนปีศาจนั้น ก็มีหลากหลายประเภทหรือหลากหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน แต่ในวันนี้คุณครูไม่ใหญ่ก็จะขอยกตัวอย่างปีศาจขึ้นมาพอเป็นสังเขป ดังต่อไปนี้
ปีศาจตัวอย่างที่ 1. คือ ปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว และมีอวัยวะที่ผิดปกติไปจากโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ เช่น หัวไปทางหนึ่งตาไปอีกทางหนึ่ง หรือมีกายบูดเบี้ยวบิดเบี้ยวไปทั้งตัว เป็นต้น
ปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว
ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ ทั้งนี้ก็เกิดจากในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีใจหมกมุ่นหรือจมปลักอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก จนลืมความเป็นตัวของตัวเองไป
มีจิตหมกมุ่นวิชาไสยเวทย์สายดำมากๆจะเกิดเป็นปีศาจ
ปีศาจที่อดีตชอบทำคุณไสยใส่คนอื่น
ปีศาจตัวอย่างที่ 2. คือ ปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับเด็กทารกที่ยังไม่เกิด หรือมีการเจริญเติบโตที่ยังไม่เต็มที่ อีกทั้งพวกเขาจะมีดวงตาสีขาวหม่นหมองที่เบิกโพลง, มีรูจมูกเป็นช่องๆ และยังไม่ยื่นออกมาเหมือนจมูกคนปรกติ, มีปากที่กว้างมากเหมือนกับจะฉีกขาด และปากที่กว้างนั้นก็จะถูกเชือกร้อยและเย็บเอาไว้ให้ติดกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะ ผลแห่งกรรมที่พวกเขาได้เคยทำคุณไสยใส่คนอื่น จนทำให้คนอื่นพูดไม่ได้หรือเป็นใบ้ ได้ย้อนกลับมาส่งผลกับพวกเขา
ปีศาจคล้ายเด็กทารก
นอกจากนี้ พวกเขายังมีรูปร่างที่ใหญ่โต น่ากลัว และผอมโซจนเห็นแต่ซี่โครงและกระดูก, มือแขนจะเล็กลีบ และนุ่งหยักรั้งสีดำ ไม่เพียงแค่นั้น ตามลำตัวของพวกเขายังมีแต่รอยสักเป็นลายพร้อยอยู่เต็มไปหมดอีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะ ผลแห่งกรรมที่พวกเขาได้เคยเป็นอาจารย์ที่สักยันต์ และลงอาคมให้กับลูกศิษย์เอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ หรือปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับเด็กทารกที่ยังไม่เกิด ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ ในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเป็นจอมขมังเวทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำกุมารทอง โดยพวกเขาจะนำเอาซากหรือร่างของเด็กทารกที่เพิ่งตายใหม่ๆ มาทำพิธีสะกดวิญญาณเอาไว้ไม่ให้วิญญาณของเด็กทารกเหล่านั้นไปผุดไปเกิด
วิบากกรรมชอบทำกุมารทอง
และเมื่อถึงคราวที่พวกเขาต้องละจากโลกนี้ไป วิชาไสยเวทย์สะกดวิญญาณก็ได้ย้อนกลับมาเข้าตัวของพวกเขาเอง จนเป็นผลทำให้พวกเขาต้องมาเกิดเป็นปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับเด็กทารกที่ยังไม่เกิดและมีฤทธิ์มากนั่นเอง
ปีศาจตัวอย่างที่ 3 คือ ปีศาจที่มีผมหยิก ตาปูดโปน ดุร้าย น่าเกลียดน่ากลัว และมีแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพวกปีศาจเหล่านี้ จะมีฤทธิ์และมีความน่ากลัวมากกว่าพวกภูติเป็นอย่างมาก โดยพวกเขาจะชอบอาศัยอยู่แต่ในป่าหรือในถ้ำ
ปีศาจผมหยิก ตาปูดโปน น่าเกลียดน่ากลัว
ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเป็นถึงระดับปรมาจารย์ไสยเวทย์สายดำ ที่มีความช่ำชองและเชี่ยวชาญทางด้านการใช้ไสยเวทย์สายดำ ไปเบียดเบียนมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่งอาจารย์ไสยเวทย์พวกนี้จะชอบอยู่กับป่ากับถ้ำ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองจึงทำให้หลังจากที่พวกเขาละจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาจึงต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจตาปูดโปน ดุร้าย ชอบอาศัยอยู่แต่ในป่าหรือในถ้ำนั่นเอง
ปีศาจตัวอย่างที่ 4 คือ ปีศาจที่มีผมหยิกฟู เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล มีกลิ่นกายเหม็นเน่าคละคลุ้ง และมีหน้าตาเละเทะ น่าเกลียดน่ากลัว ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ พวกเขาถูกทรมานก่อนที่จะเสียชีวิต เช่น ถูกทารุณกรรม หรือถูกฆาตกรรม เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธแค้นและผูกพยาบาทอาฆาตคนที่มาทำร้ายพวกเขาเป็นอย่างมาก
ปีศาจผมหยิกฟู มีบาดแผล หน้าตาเละเทะ น่าเกลียดน่ากลัว
และเมื่อพวกเขาได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ด้วยจิตที่โกรธแค้นและผูกพยาบาทอาฆาตอย่างสุดๆ นี้เอง จึงดึงดูดให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจที่มีผมหยิกฟู และมีเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกปีศาจเหล่านี้ไม่ต้องไปบังเกิดอยู่ในอบายนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ ณ ช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต บาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ได้ช่องที่จะส่งผลนั่นเอง