ชฎิลเศรษฐีผู้มีภูเขาทองคำเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์ด้วยบุญที่เคยทำไว้


[ 11 เม.ย. 2555 ] - [ 18276 ] LINE it!

ทองคำ
 
กับเส้นทางการสร้างบารมี
ของผู้มีบุญในพระไตรปิฎก
 
ชฎิลเศรษฐี 
 
        ในบรรดาประชากรโลกประมาณ 7,000 ล้านคน มีคนที่เป็นเศรษฐีอยู่ไม่มาก ยิ่งเศรษฐีระดับที่มีสมบัติตักไม่พร่องด้วยแล้ว ยุคนี้ยังไม่เคยเห็น แม้ในพุทธกาลก็นับได้ไม่กี่คน ทั้งๆ ที่การเป็นเศรษฐีไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นแต่อย่างใด หากรู้วิธีการ และทำถูกต้องตามวิธีการ
 
        การศึกษาเรื่องราวของเศรษฐีตัวจริงในพระไตรปิฎก เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้วิธีการเป็นเศรษฐี เพื่อนำมาใช้ออกแบบชีวิตให้สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ และเมื่อสมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์แล้ว เราจะได้ใช้ทรัพย์นั้นในการสร้างความดีได้อย่างสะดวกสบาย เช่น เกื้อกูลหมู่ญาติและเพื่อนมนุษย์ รวมทั้งสร้างประโยชน์แก่ตนเองด้วยการบำเพ็ญบุญกุศล แปรเปลี่ยนทรัพย์นั้นให้เป็นอริยทรัพย์เก็บไว้เป็นเสบียงบุญเลี้ยงตนเองไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน
 
        เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องของชฎิลเศรษฐี ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของเศรษฐีที่รวยที่สุดในครั้งพุทธกาล ในสมัยพุทธกาล ณ กรุงพาราณสี มีลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่งเป็นหญิงที่สวยงามมาก บิดาหวงแหนนางมากและไม่อยากให้ใครเห็น จึงให้นางขึ้นไปอาศัยอยู่บนปราสาทชั้นที่ 7 พร้อมกับคนรับใช้อีก 1 คน ต่อมานางได้อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากับวิทยาธรที่เหาะผ่านมา และตั้งครรภ์ขึ้น เรื่องที่นางคบกับวิทยาธรและตั้งครรภ์ ไม่มีใครรู้เลย นอกจากคนรับใช้
 
        เวลาผ่านไป 10 เดือน นางคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย ด้วยความกลัวว่าบิดามารดาจะรู้ นางจึงสั่งให้คนรับใช้อุ้มเด็กใส่ในภาชนะ ปิดฝาจนแน่น เอาพวงดอกไม้วางไว้ข้างบน แล้วนำไปลอยที่แม่น้ำคงคา ระหว่างทาง เวลามีคนถามว่า มีอะไรอยู่ในภาชนะนั้น คนรับใช้ตอบว่า “เป็นพลีกรรมของนายหญิงของฉัน”
 
        ทารกน้อยแรกเกิดที่นอนอยู่ในภาชนะ ลอยไปตามกระแสน้ำโดยไม่รู้ชะตากรรม จนกระทั่งไปถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง วันนั้นมีหญิง 2 คน กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำคงคา ทั้ง 2 มองเห็นภาชนะที่ถูกกระแสน้ำพัดมา หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ภาชนะนั้นเป็นของฉัน” ส่วนหญิงอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งที่อยู่ในภาชนะนั้นเป็นของฉัน” ครั้นช่วยกันเปิดภาชนะนั้นออกดู ก็เห็นทารกเพศชายหน้าตาน่ารัก ทั้งคู่อยากได้เด็กไปเลี้ยง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงกราบทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงตัดสิน พระราชาทรงวินิจฉัยให้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระมหากัจจายนะเป็นฝ่ายได้เด็กไป นางตั้งชื่อให้ทารกน้อยว่า ชฎิล (แปลว่า รุงรังยุ่งเหยิง) เพราะผมของเด็กรุงรังยุ่งเหยิง เนื่องจากเมื่อคลอดออกมาแล้วไม่มีใครช่วยทำความสะอาดผมให้เกลี้ยง
 
        หญิงคนนี้เลี้ยงดูทารกน้อยด้วยความรัก และตั้งใจว่าจะถวายเด็กน้อยแด่พระมหากัจจายนะ เพื่อให้บวชในสำนักของท่าน วันหนึ่ง พระมหากัจจายนะไปบิณฑบาตที่บ้านของหญิงผู้นี้ ตอนนั้นเด็กน้อยชฎิลอายุราว 7 ขวบ นางจึงถวายเด็กน้อยให้ไปบวชเป็นสามเณรในสำนักของท่าน แต่พระมหากัจจายนะเห็นด้วยญาณทัสสนะว่า เด็กน้อยคนนี้เป็นผู้มีบุญมาเกิด เมื่อโตขึ้นจะได้ครอบครองสมบัติในเพศคฤหัสถ์เสียก่อนแล้วจึงจะบวช ดังนั้น แทนที่จะให้ชฎิลบวชเป็นสามเณร ท่านจึงพาเด็กน้อยไปฝากไว้ที่บ้านของอุบาสกผู้เป็นอุปัฏฐากคนหนึ่งในกรุงตักสิลา ซึ่งอุบาสกได้เลี้ยงดูเด็กน้อยเสมือนบุตรชายของตน
 
        อุบาสกคนนี้มีอาชีพค้าขาย เขามีสินค้าจำนวนมากที่ตกค้างมาเป็นเวลานานถึง 12 ปี เพราะขายไม่ออก วันหนึ่งอุบาสกมีธุระ เขาฝากสินค้าเหล่านี้ไว้กับชฎิล ด้วยมหาทานบารมีที่ชฎิลเคยสั่งสมมาในกาลก่อน เทวดาผู้รักษาพระนครจึงบันดาลให้ผู้คนพากันหลั่งไหลไปซื้อสิ่งของที่พ่อค้าเก็บไว้นานถึง 12 ปี จนหมดเกลี้ยงภายในวันเดียว ตกตอนเย็น อุบาสกกลับมาไม่เห็นสินค้าแม้แต่ชิ้นเดียว ก็ตกใจมาก เขาถามชฎิลว่า “เจ้าทำสินค้าเสียหายหมดแล้วหรือ” แต่พอทราบว่า เด็กชายชฎิลขายสินค้าได้หมด เขาก็บังเกิดความตื่นเต้นยินดีและอัศจรรย์ใจ และรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นผู้มีบุญมาเกิด
 
        ต่อมา เมื่อชฎิลเติบโตเป็นหนุ่ม อุบาสกจึงยกบุตรสาวให้ และสั่งให้บริวารสร้างบ้านหลังใหญ่โตมโหฬารให้อยู่ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ชฎิลและภรรยาจึงเตรียมตัวย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ ในทันทีที่ชฎิลก้าวเท้าข้ามธรณีประตูแล้วเหยียบลงที่พื้นบ้านด้วยเท้าเพียงข้างเดียว เหตุมหัศจรรย์บังเกิดขึ้นคือ มีภูเขาทองประมาณ 80 ศอก แทรกแผ่นดินขึ้นมาบริเวณหลังบ้าน ด้วยอำนาจบุญของเขา ภูเขาทองคำนี้ เป็นสมบัติอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นสำหรับชฎิลและลูกชายคนเล็กเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครขุดทองออกมาได้นอกจากชฎิลกับลูกชายคนเล็ก คนอื่นแม้จะมีกำลังมหาศาลเพียงใด หรือใช้วัตถุที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถขุดได้ แต่สำหรับชฎิลนั้น เมื่อไรที่ต้องการทองคำ เขาก็ใช้จอบเพชรด้ามทองขุดทองขึ้นมาได้เลย
 
        ภูเขาทองคำที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์นี้ สร้างความแตกตื่นแก่มหาชนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อพระราชาทรงทราบว่ามีภูเขาทองคำบังเกิดขึ้นที่บ้านของชฎิล ก็ทรงแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งเศรษฐี พร้อมทั้งพระราชทานฉัตรประจำตำแหน่งเศรษฐีให้ นับตั้งแต่นั้นมา ชฎิลผู้มีบุญก็กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีสมบัติอันมหาศาลยิ่งกว่าใครๆ ในแคว้นนั้น มหาชนจึงพากันเรียกขานเขาว่า “ชฎิลเศรษฐี”
 
ชฎิลเศรษฐีผู้มีภูเขาทองคำที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์ด้วยอำนาจบุญที่เขาเคยทำไว้
ชฎิลเศรษฐีผู้มีภูเขาทองคำที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์ด้วยอำนาจบุญที่เขาเคยทำไว้
 
        ชฎิลเศรษฐี ใช้ชีวิตอยู่ในเพศคฤหัสถ์ท่ามกลางสมบัติอันมหาศาลเรื่อยมา จนวันหนึ่ง ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือน ท่านเห็นว่า การบวชคือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตพบกับความสุขสงบได้อย่างแท้จริง ท่านจึงคิดหาหนทางที่จะออกบวชเรื่อยมา ต่อมา เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสม ท่านจึงไปทูลขอพระบรมราชานุญาตออกบวช เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ชฎิลเศรษฐีจึงเรียกลูกชายทั้ง 3 คน มารับมรดก
 
        ก่อนอื่น ท่านให้ลูกๆ ทดลองขุดภูเขาทองคำ ปรากฏว่า ลูกคนโตและคนรองขุดไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด แต่ลูกชายคนเล็กกลับขุดได้ง่ายราวกับขุดดินเหนียว ท่านจึงมอบภูเขาทองคำให้ลูกชายคนเล็ก แล้วบอกกับลูกอีก 2 คนว่า “ภูเขาทองลูกนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อพวกเจ้า และไม่ใช่ของสาธารณะแก่คนทั่วไป แต่เกิดขึ้นเพื่อพ่อและน้องคนเล็ก หากลูกทั้ง 2 ต้องการทอง ก็จงขอจากน้องเถิด” เมื่อกล่าวให้โอวาทและอบรมสั่งสอนลูกเรียบร้อยแล้ว ชฎิลเศรษฐีก็ก้าวออกจากเรือนไปบวชเป็นพระภิกษุโดยปราศจากความอาลัยในทรัพย์สมบัติ ท่านตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม ในเวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น ก็สามารถทำพระนิพพานให้แจ้ง บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมคุณวิเศษทั้งหลาย
 
        ส่วนสาเหตุที่ท่านถูกแม่สั่งให้คนใช้เอาไปลอยน้ำ สาเหตุที่มีภูเขาทองเกิดขึ้นหลังบ้าน และสาเหตุที่ลูกชายคนเล็กขุดทองจากภูเขาทองได้นั้น อยู่ในเรื่องราวต่อไปนี้
 
        ย้อนไปเมื่อหนึ่งพุทธันดรที่ผ่านมา ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้น ชฎิลเศรษฐีมีอาชีพเป็นช่างทอง ภายหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว มหาชนได้ร่วมกันสร้างพระเจดีย์ทองคำเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เจดีย์นั้นมีความสูง 1 โยชน์ สร้างโดยใช้หรดาลมโนศิลาแทนดินเหนียว ใช้น้ำมันแทนน้ำ แล้วก่อด้วยอิฐทองคำ มหาชนทั้งหลายต่างช่วยกันสร้างพระเจดีย์อย่างเต็มที่เต็มกำลัง แต่ทองคำยังไม่เพียงพอ เมื่อพระอรหันต์องค์หนึ่งทราบข่าว ท่านจึงอาสานำข่าวบุญไปแจ้งแก่ชาวเมือง ท่านเดินแจ้งข่าวให้ชาวเมืองทราบโดยทั่วกันว่า ทองคำไม่พอสร้างเจดีย์ เมื่อเดินไปถึงบ้านนายช่างทอง ท่านก็แวะแจ้งข่าวให้นายช่างทองทราบว่า ทองสำหรับสร้างพระเจดีย์ยังไม่พอ ปรากฏว่าขณะนั้น นายช่างทองกำลังทะเลาะกับภรรยาอยู่ เขาอารมณ์ไม่ดี จึงตวาดออกไปว่า “ท่านจงโยนพระศาสดาของท่านลงในน้ำ แล้วจงไปเสีย” ภรรยาของเขาตกใจมาก กล่าวว่า “ท่านทำกรรมหนักเสียแล้ว ท่านโกรธดิฉัน ก็ควรจะด่าหรือเฆี่ยนตีดิฉัน เหตุไฉนท่านจึงสร้างเวรกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่า”
 
        เมื่อนายช่างทองได้ยินคำพูดของภรรยา ก็ได้สติสำนึกผิด และเกิดความร้อนใจในการกระทำของตน เขาจึงเข้าไปขอขมาพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์กล่าวว่า “ท่านไม่ได้ล่วงเกินอาตมาเลย ท่านล่วงเกินพระบรมศาสดาต่างหาก ท่านจงขอให้พระศาสดายกโทษให้เองเถิด” พร้อมทั้งแนะนำให้นายช่างทองทำหม้อดอกไม้ทองคำ 3 ใบ บรรจุไว้ภายในพระเจดีย์ แล้วไปกราบขอขมาพระศาสดาต่อหน้ามหาเจดีย์ กรรมหนักจะได้กลายเป็นเบา นายช่างทองตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของพระอรหันต์ เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลูกชายทั้ง 3 ฟังว่า เขาได้กล่าวถ้อยคำล่วงเกินพระบรมศาสดา และตอนนี้กำลังจะทำหม้อดอกไม้ทองคำบรรจุไว้ในพระเจดีย์ เพื่อเป็นการขอขมาพระองค์ นายช่างทองชวนลูกๆ ทั้ง 3 คน ให้มาช่วยกันทำหม้อดอกไม้ทองคำขนาด 1 คืบ 3 ใบ ด้วยฝีมือที่ละเอียด ประณีต งดงาม เสร็จแล้วก็พากันนำหม้อดอกไม้ทองคำทั้ง 3 ใบ ไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ แล้วไปกราบขอขมาพระบรมศาสดา น้อมระลึกถึงพระคุณอันไม่มีประมาณของพระพุทธองค์ ณ เบื้องหน้าพระเจดีย์นั้น
 
        ด้วยวิบากกรรมที่กล่าวคำดูหมิ่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้นายช่างทองถูกทิ้งลงแม่น้ำมาแล้วถึง 7 อัตภาพ ตลอด 1 พุทธันดร และด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(บุคคลบริสุทธิ์) ด้วยหม้อดอกไม้ทองคำที่ล้ำค่าและวิจิตรงดงาม(วัตถุบริสุทธิ์) เพื่อกราบขอขมาและระลึกถึงพระคุณอันไม่มีประมาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(เจตนาบริสุทธิ์) ทำให้ภูเขาทองคำสูง 80 ศอก บังเกิดขึ้นสำหรับช่างทองและลูกชายคนเล็กเป็นอัศจรรย์ ภูเขาทองที่เกิดขึ้นกับชฎิลเศรษฐีอย่างอัศจรรย์ เป็นเรื่องจริงที่ปรากฎขึ้นด้วยอำนาจบุญ และถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็นตำนานแห่งความดีสืบต่อกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน
 
        ประวัติศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจอดีต เพื่อนำมาเป็นบทเรียนในปัจจุบันได้ฉันใด เรื่องราวของชฎิลเศรษฐีก็ช่วยให้เราเข้าใจ know-how หรือวิธีการในการเป็นเศรษฐี เพื่อนำมาสร้างความเป็นเศรษฐีให้เกิดขึ้นกับตนเองได้ฉันนั้น จากเรื่องราวของชฎิลเศรษฐี เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า การเป็นเศรษฐีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนสามารถเป็นได้ด้วยการทำทานหรือการให้ และถ้าใครให้อย่างไร เขาก็จะได้อย่างนั้นเป็นการตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากให้ทานอย่างถูกหลักวิชา คือ ถึงพร้อมด้วยวัตถุบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ และบุคคลบริสุทธิ์ ซึ่งชฎิลเศรษฐีกระทำถูกต้องครบถ้วนทั้ง 3 ประการ ส่งผงให้ท่านได้ครอบครองภูเขาทองคำที่ตักใช้ไม่รู้จักพร่อง กลับกลายจากคนธรรมดามาเป็นเศรษฐีระดับ top five คือเป็นเศรษฐีที่รวยอยู่ในระดับ 1 ใน 5 ของเศรษฐีที่รวยที่สุดในครั้งพุทธกาล
 
        สำหรับการหล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยทองคำนั้น หากวัตถุทานของเราบริสุทธิ์ เจตนาของเราบริสุทธิ์ เชื่อได้เลยว่า บุญที่เกิดขึ้นก็สามารถส่งผลให้เรามีสมบัติที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน เพราะพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ เปี่ยมด้วยคุณธรรมและคุณวิเศษ หากใครทำบุญกับท่านเต็มที่เต็มกำลังจนกระทั่งบุญเต็มเปี่ยม อย่าว่าแต่ภูเขาทองเลย แม้สมบัติใหญ่กว่านี้ก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งเรื่องนี้มิได้กล่าวขึ้นมาลอยๆ ในพระไตรปิฎกก็มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า สมบัติที่ยิ่งใหญ่กว่าภูเขาทองหรือคนที่รวยกว่าชฎิลเศรษฐีนั้นมีอยู่จริงๆ ทั้งนี้ เพราะสมบัติทั้งหลายสามารถเกิดขึ้นได้ตามกำลังบุญของผู้เป็นเจ้าของ โดยไม่จำกัดปริมาณและยุคสมัย
 
(จากธรรมบท ภาค 8)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
กล้าสู้อุปสรรคกล้าสู้อุปสรรค

แหล่งกำเนิดกำลังใจแหล่งกำเนิดกำลังใจ

ผู้ชนะที่แท้จริงผู้ชนะที่แท้จริง



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก